โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ต้นเหตุกำเนิดมหาวิทยาลัยครั้งแรกในไทย ทำไมก่อตัวเป็น "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 08 ก.พ. 2566 เวลา 01.57 น. • เผยแพร่ 23 ธ.ค. 2565 เวลา 10.06 น.
“เมืองมหาวิทยาลัย” จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ภาพจากหอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

การถือกำเนิดของ “มหาวิทยาลัย” เป็นครั้งแรกในไทย เกิดขึ้นโดยเริ่มมาจาก โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน แล้วต่อมาจึงสถาปนา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการที่ศึกษาพัฒนาการด้านการศึกษาของไทยล้วนบ่งชี้ว่า สถาบันการศึกษาแห่งนี้ล้วนมีพัฒนาการที่สัมพันธ์กับบริบททางการเมืองและสังคมอย่างต่อเนื่องเสมอมา

หากกล่าวโดยคร่าว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นการก่อกำเนิดมหาวิทยาลัยครั้งแรกในเมืองไทยที่มี “การศึกษาตามแบบตะวันตก” กำเนิดจากโรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้น ณ ตึกยาวข้างประตูพิมานชัยศรีในพระบรมมหาราชวัง เมื่อ พ.ศ. 2442 และได้รับพระบรมราชานุญาตให้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนมหาดเล็ก เมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2445

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงพระบรมราโชบายในสมเด็จพระบรมชนกาธิราชที่จะ “ให้มีมหาวิทยาลัยขึ้นสำหรับเป็นสถาบันอุดมศึกษาของชาวสยาม” พอที่จะช่วยให้กิจการปกครองท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยดำเนินไปได้ เมื่อสมควรขยายการจัดการศึกษาเพื่อสนองความต้องการของกระทรวง ทบวง กรมอื่นๆ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กเป็นสถาบันอุดมศึกษา พระราชทานนามว่า “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เมื่อ 1 มกราคม 2453

จากนั้นในวันที่ 26 มีนาคม 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมกับโอนมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไปขึ้นกับกระทรวงธรรมการ

การเกิดขึ้นของมหาวิทยาลัยในช่วงเวลานั้น บริบททางสังคมในช่วงพุทธศตวรรษที่ 24 เป็นช่วงที่มหาอำนาจตะวันตกเข้ามามีบทบาทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดร. นนทพร อยู่มั่งมี อธิบายไว้ว่า “เป็นผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ชาติมหาอำนาจตะวันตกเข้ามาครอบครองดินแดนต่างๆ ทั้งเพื่อแสวงหาทรัพยากรทางเศรษฐกิจและเพื่อแข่งขันอำนาจทางการเมืองระหว่างกัน สิ่งที่ตามมาล้วนมีผลกระทบต่อคนพื้นเมือง ได้แก่ การพัฒนาดินแดนอาณานิคมต่างๆ ของชาติตะวันตก เช่น ด้านสาธารณูปโภค ระบบการศาล รวมทั้งการอบรมชนพื้นเมืองไว้สำหรับช่วยงานของเจ้าอาณานิคมตะวันตก ด้วยการวางแบบแผนของการศึกษาตามอย่างตะวันตก ทั้งทางด้านเทคนิควิทยาการต่างๆ รวมทั้งด้านภาษาให้สามารถสื่อสารระหว่างกันได้ ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบด้านการศึกษามีทั้งรัฐบาลเจ้าอาณานิคมและคณะสอนศาสนา ซึ่งต่อมาจะขยายออกเป็นวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยตามลำดับ”

พ.ศ. 2400 (ค.ศ. 1857) ภายในทวีปเอเชียเกิดการตั้งมหาวิทยาลัยตามแบบตะวันตกแห่งแรกในอินเดียซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ได้แก่University of Calcutta หลังจากนั้นปีเดียว ญี่ปุ่นก็ตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกคือ Keio University ขณะที่ในสยามซึ่งเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงด้วยการรับวิทยาการและการค้าการติดต่อกับชาติตะวันตก ในช่วงเวลาเดียวกันได้มีมิชชันนารีชาวอเมริกัน คือ หมอบรัดเลย์ มีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลตั้ง “ยูนิเวอซิติ” ผ่านหนังสือพิมพ์ The Bangkok Recorder ของตนเมื่อ พ.ศ. 2408

เวลาล่วงเลยไปอีก 20 ปี ใน พ.ศ. 2420 ศาสนาจารย์แซมวล จี. แมกฟาร์แลนด์ (Samuel G. McFarland) ซึ่งทำงานเผยแผ่ศาสนาที่เพชรบุรี เสนอแผนการตั้งวิทยาลัยให้การศึกษาแก่เด็กๆ ที่กรุงเทพฯ ต่อรัฐบาล ซึ่งได้รับความสนพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้แมกฟาร์แลนด์รับผิดชอบการดำเนินงานโรงเรียนสวนอนันต์ ที่วังนันทอุทยาน ซึ่งเปิดในเดือนมกราคม พ.ศ. 2421 (ห้ามสอนคริสต์ศาสนา สอนได้เฉพาะธรรมเนียมการหนังสือ และฝึกหัดลายมือสำหรับเป็นเสมียน รวมถึงวิชาเลขและช่างต่างๆ)

ดร. นนทพร แสดงความคิดเห็นว่า “ข้อเสนอของชาวตะวันตกดังกล่าวจึงสะท้อนถึงสภาพของบ้านเมืองที่ต้องปรับตัวอย่างสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทั้งจากการติดต่อกับชาติตะวันตก อย่างไรก็ดีพระราชกรณียกิจที่สำคัญประการหนึ่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ การปฏิรูประบบราชการ นับเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้รัฐพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อสร้างบุคลากรเข้าสู่ระบบราชการที่กำลังขยายตัวในขณะนั้น”

ระบบราชการที่เปลี่ยนไปในระยะนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ เช่น การแยกผลประโยชน์ที่ชัดเจนระหว่างผลประโยชน์ของรัฐและของส่วนบุคคลด้วยการกำหนดเงินเดือน การกำหนดเวลาและสถานที่ทำงานราชการ ขณะที่การเลือกรับบุคลากรก็พิจารณาจากความรู้เป็นหลักมากกว่าก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะความเข้าใจในวิชาการตะวันตกและระบบบริหารแบบใหม่ ทั้งนี้ยังสอดคล้องกับการจัดรูปแบบงานอย่างใหม่ด้วยการแบ่งสัดส่วนของงานแยกไปตามประเภทของงาน ด้วยการจัดเป็นกระทรวงและกรมต่างๆ มีระเบียบการบริหารงานอย่างชัดเจน

ดร. นนทพร อธิบายว่า หลังจากการปฏิรูประบบราชการที่ล้วนต้องการผู้ปฏิบัติงานที่มีความรู้ในงานราชการแบบใหม่ และเป็นแรงผลักดันสำคัญให้มีการขยายโอกาสการศึกษาด้วยการตั้งโรงเรียน โดยในระยะแรกเน้นการฝึกหัดผู้ที่จะเป็นมหาดเล็กเนื่องจากเป็นผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท กับทั้งยังสอดคล้องกับธรรมเนียมเดิมซึ่งผู้ที่จะการเข้ารับราชการมักต้องถวายตัวเป็นมหาดเล็กต่อองค์พระมหากษัตริย์ก่อนเสมอ

ต่อมา ระบบเริ่มประสบปัญหาเนื่องจากผู้ที่เป็นขุนนางใหม่ในขณะนั้นมักไม่ใช่บุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงรู้จัก เพราะธรรมเนียมการรับราชการก่อนหน้านี้มักอาศัยการถวายตัวเป็นมหาดเล็กในเบื้องต้น แต่ขุนนางที่มีขึ้นตั้งแต่ช่วงปฏิรูประบบราชการใน พ.ศ. 2435 เป็นต้นมา มักเป็นบรรดาเสมียนตามกระทรวงต่างๆ เป็นพื้นฐาน ทำให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเห็นว่าควรมีโรงเรียนขึ้นในกรมมหาดเล็กเพื่อให้ศึกษาขนบธรรมเนียมราชสำนัก ควบคู่กับความรู้เบื้องต้นสำหรับราชการในกระทรวงต่างๆ

ใน พ.ศ. 2440 ทรงปรับปรุงงานด้านมหาดเล็ก ความต้องการข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถนำไปสู่การตั้งโรงเรียนคือ โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน

แต่กว่าที่โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน จะเปิดขึ้นก็ต้องรอจนถึง พ.ศ. 2442 หลังจากนั้นอีก 3 ปีต่อมาจึงมีการประกาศพระบรมราชโองการเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนมหาดเล็กอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2445 จากที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ (พระยศขณะนั้น) ขอพระราชทานเปลี่ยนชื่อโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการพลเรือนใหม่ว่า โรงเรียนมหาดเล็ก และได้มีพระบรมราชโองการประกาศตั้งโรงเรียนมหาดเล็กอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2445 ซึ่งโรงเรียนดังกล่าวนี้ได้ดำเนินการมาจวบจนสิ้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระองค์มีพระราชดำริแก้ไขการดำเนินงานของโรงเรียนมหาดเล็ก ซึ่งอาศัยแนวการดำเนินงานตามที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพิษณุโลกประชานาถ มีพระดำริให้นำเงินที่เหลือจากการเรี่ยไรสร้างพระบรมรูปทรงม้ามาขยายกิจการของโรงเรียนมหาดเล็ก โดยให้จัดการเรียนการสอนอย่างโรงเรียนในประเทศเยอรมนีและประเทศฝรั่งเศส ที่เรียกว่า “School of Science” แบ่งแผนกสอนวิชาต่างๆ เช่น กฎหมาย การปกครอง การเพาะปลูก พร้อมกับให้รับบุคคลทั่วไปโดยไม่จำกัดชาติตระกูล

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชวินิจฉัยเห็นพ้องด้วยกระแสพระดำริของ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพิษณุโลกประชานาถ ดังนั้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2453 (นับอย่างปฏิทินเก่า) หรือ 2 เดือนหลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กขึ้นเป็น โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีสภากรรมการจัดการกับทั้งพระราชทานเงินที่เหลือจากการเรี่ยไรสร้างพระบรมรูปปิยมหาราชานุสาวรีย์จำนวนเงิน 982,672.47 บาท เป็นทุนก่อสร้างโดยทำการเรียนการสอนในพระบรมมหาราชวัง

พ.ศ. 2456 สภากรรมการโรงเรียนข้าราชการพลเรือนได้ปรึกษาเห็นสมควรสร้างตึกใหญ่ของโรงเรียน หรือตึกบัญชาการเป็นแบบไทย โดยมอบให้ ด๊อกเตอร์คาร์ล ดอห์ริง (Dr. Karl Dohring) นายช่างชาวเยอรมันซึ่งรับราชการในกระทรวงมหาดไทย และมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์ (Edward Healey) นายช่างชาวอังกฤษ ซึ่งรับราชการในกระทรวงธรรมการ เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ โดยใช้แบบไทยโบราณที่สุโขทัยและสวรรคโลกเป็นแบบตึกของโรงเรียน ซึ่งปรากฏเป็นถาวรวัตถุอันทรงคุณค่าของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในเวลาต่อมา

ก่อนหน้าที่จะสถาปนาเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปรากฏหลักฐานมีข้าราชการผู้ใฝ่ใจในการศึกษาได้เสนอแผนการยกสถานะจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเมื่อ พ.ศ. 2456 โดยพระยาวิสุทธสุริยศักดิ์เสนอให้จัดการเรียนการสอนระดับการอุดมศึกษา ด้วยการตั้งมหาวิทยาลัย

ขุนนางอีกท่านหนึ่งที่เสนอแนวคิดให้สร้างมหาวิทยาลัย คือ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ได้แถลงแนวคิดของตนเมื่อ พ.ศ. 2457 ในบทความเรื่องของโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงพิมพ์ในหนังสือล้อมรั้ว

เมื่อถึง พ.ศ. 2458 เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้กราบทูลถึงเรื่องการตั้งมหาวิทยาลัยต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระราชดำริเห็นชอบก่อตั้งมหาวิทยาลัย ในปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2459

รวมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมมหาวิทยาลัยขึ้นอีกกรมหนึ่งขึ้นตรงต่อกระทรวงธรรมการ มีตำแหน่งหัวหน้าเป็นชั้นอธิบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขึ้นกับกรมนี้ โดยมีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นชัยนาทนเรนทร ทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัยเป็นพระองค์แรก และมีพระยาอนุกิจวิทูร (สันทัด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นผู้บัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคนแรก (ต่อมาตำแหน่งนี้เปลี่ยนไปเรียกเป็นอธิการบดี ตั้งแต่ พ.ศ. 2478 เป็นต้นมา)

ภายหลังการสถาปนาอย่างเป็นทางการ ใช่ว่าการดำเนินงานจะราบรื่น ยังปรากฏปัญหาบางประการ อาทิ งบประมาณที่ไม่เพียงพอ สถานที่ตั้งห่างไกลไม่เหมาะเป็น “ตลาดวิชา” สำหรับการศึกษาที่กระจายไปสู่ราษฎรทั่วไป เพราะการคมนาคมลำบากแก่ทั้งคณาจารย์ที่จะไปสอนและไม่จูงใจแก่นักศึกษาที่จะไปเรียน และยังกระทบต่อการใช้เงินงบประมาณเพราะมีอยู่อย่างจำกัดเพียงแค่ 9 แสนกว่าบาทเท่านั้น แต่ต้องลงทุนสร้างสถานที่ ระบบสาธารณูปโภค กับซื้อหาครุภัณฑ์ใหม่หมด

อีกทั้งมหาวิทยาลัยยังไม่มีแนวทางในการจัดการผลประโยชน์อันจะก่อให้เกิดรายได้ทั้งที่มีที่ดินจำนวนมาก หรือแม้แต่ตัวตึกเรียนก็ไม่มีความเหมาะสม ทั้งสถานที่ตั้งซึ่งสร้างชิดถนนมากเกินไป หรือการออกแบบที่ไม่เหมาะสม เช่น มีห้องเรียนขนาดเล็ก หรือบันไดที่มีขนาดคับแคบ แต่ตัวตึกกลับมีขนาดใหญ่เกินไปจนยากแก่การดูแลรักษา เป็นต้น

ครั้นสิ้นสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัญหาการดำเนินงานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการติดตามอย่างต่อเนื่อง กระทั่งภายหลัง พ.ศ. 2475 ความเปลี่ยนแปลงอีกเช่นกันที่จะนำไปสู่ภาวะความมั่นคงของสถาบันการศึกษาแห่งนี้ในเวลาต่อมา พ.ศ. 2477 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เปิดการเรียนการสอนถึงระดับปริญญาเพิ่มเติม กำหนดรูปแบบการบริหารงานใหม่โดยการประกาศใช้พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พุทธศักราช 2477 กำหนดให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นนิติบุคคลอยู่ในความควบคุมของสภามหาวิทยาลัย ตั้งตำแหน่งอธิการบดีแทนตำแหน่งผู้บัญชาการ

ดร. นนทพร ชี้ว่า

“สิ่งที่สำคัญประการหนึ่งต่อการดำรงความเป็นสถาบันการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคือ การมีกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นให้กับนักศึกษาและบุคลากรโดยเริ่มจากการตั้งสโมสรนิสิตใน พ.ศ. 2465 เพื่อให้นิสิตรู้จักการช่วยเหลือกัน และเชื่อมการสมาคมในหมู่อาจารย์นิสิตเก่าและนิสิตใหม่ ตลอดจนเป็นเวทีสำหรับให้นิสิตได้ฝึกหัดการบริหาร งานแสดง งานสังคม ให้แก่นิสิตผู้เป็นกรรมการสโมสร…”

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในสมัยแรกสถาปนา” เขียนโดย ดร. นนทพร อยู่มั่งมี ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับมีนาคม 2560

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2563

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...