โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ก้าวสู่ยุคใหม่ 'อัลไซเมอร์' รักษาได้? | จักรกฤษณ์ สิริริน

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 20 ส.ค. 2566 เวลา 15.40 น. • เผยแพร่ 20 ส.ค. 2566 เวลา 15.34 น.

“อัลไซเมอร์” เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง เนื่องจากมีการสะสมของโปรตีนBeta-Amyloid และTau ในสมองมากเกินไป

เมื่อโปรตีนทั้ง2 ชนิดดังกล่าว เข้าไปจับกับCell สมองจะเกิดเป็นหินปูน ส่งผลให้Cell สมองเสื่อม และฝ่อลง จนสมองไม่สามารถทำงาน(ส่งสัญญาณไฟฟ้าด้วยเคมี) ตามปกติได้

ทำให้ระบบสื่อสารภายในCell สมองได้รับความเสียหาย จากการลดลงของสารสื่อประสาทAcetylcholine ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ส่งผลโดยตรงกับความจำ

การที่สมองมีโปรตีนBeta-Amyloid และTau มากเกินไปทำให้การสื่อสารระหว่างเซลล์สมองเสียหาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมองส่วนHippocampus ซึ่งมีหน้าที่จดจำข้อมูล เมื่อCell สมองส่วนนี้ถูกทำลาย ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาเรื่องความจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความจำระยะสั้น

จากนั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นจะแพร่กระจายไปสู่สมองส่วนอื่นๆและส่งผลต่อการเรียนรู้ความรู้สึกนึกคิดภาษาและพฤติกรรมนำไปสู่อาการ“อัลไซเมอร์“

ข้อมูลจากหลายแหล่งวิจัย ชี้ตรงกันว่า ความสามารถในการจดจำของมนุษย์นับจากอายุ19 ปีเป็นต้นไปจะค่อยๆ เสื่อมลงตามวัย และจะเสื่อมลงเรื่อยๆ ทุกๆ ปี

จากความทรงจำที่แม่นยำ95% ในช่วงอายุ19 ปี จะลดเหลือ45% เมื่อถึงวัย75

“อัลไซเมอร์” จึงเป็นสาเหตุหนึ่งของ“ภาวะสมองเสื่อม” และเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดนั่นเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง“ความชุกของโรค” ที่จะเพิ่มขึ้นตามช่วงอายุ ซึ่งจะพบความชุก10-15% ในประชากรที่มีอายุมากกว่า65 ปี และจะพบความชุก20-30% ในประชากรที่มีอายุมากกว่า80 ปี

ล่าสุดมีการเปิดตัวยารักษา“อัลไซเมอร์” ตัวใหม่

เป็นของEli Lilly ซึ่งใช้ได้ผลในรูปแบบเดียวกับยาอัลไซเมอร์ของEisai and Biogen ที่เคยเป็นพาดหัวข่าวใหญ่ไปทั่วโลก ในฐานะ“ยารักษาอัลไซเมอร์ตัวแรกของโลก” ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า สามารถชะลออาการ“อัลไซเมอร์” ได้จริง!

แม้ยาทั้งสองจะถือเป็นความหวังของมวลมนุษยชาติทว่าทั้ง2 ตัว ยังไม่สามารถรักษา“อัลไซเมอร์” ได้อย่างสิ้นเชิง รวมทั้งยังมีความเสี่ยงในการใช้

อาทิเคยมีอาสาสมัคร2 คน เสียชีวิตจากอาการบวมในสมอง เป็นต้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง“ยารักษาอัลไซเมอร์” อีกตัวหนึ่ง เคยถูกสหภาพยุโรปปฏิเสธการใช้ จากความกังวลด้านความปลอดภัย และขาดหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่ายาใช้ได้ผล

ยาอัลไซเมอร์ล่าสุดเป็นยาที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อขจัดปัจจัยสำคัญซึ่งนำมาสู่การเป็น“อัลไซเมอร์” นั่นคือ โปรตีนBeta-Amyloid และTau ในสมอง

เป็นการรักษาแบบ“ภูมิคุ้มกันบำบัด” ที่สามารถช่วยชะลออาการของ“อัลไซเมอร์” ได้ในช่วงแรกเริ่มแสดงอาการ และแม้ตัวยาจะใช้กับ“อัลไซเมอร์” ได้ดี ทว่า ไม่สามารถนำไปใช้กับภาวะสมองเสื่อมอื่นๆ ได้ รวมถึงโรคหลอดเลือดสมอง

ล่าสุดมีการตีพิมพ์เผยแพร่ผลการวิจัยของยานี้ในวารสารวิชาการJAMA ที่พบว่า สามารถชะลออาการสมองเสื่อมได้ถึง1 ใน3

นี่จึงถือเป็น“จุดเปลี่ยนสำคัญ” ต่อการรักษา“อัลไซเมอร์” ของโลกเลยทีเดียว!

สําหรับเบื้องหลังกระบวนการพัฒนายาอัลไซเมอร์ที่ว่านี้ นักวิจัยของEli Lilly เริ่มต้นด้วยการตรวจอาการของประชาชน1,736 คน อายุระหว่าง60-85 ปี ที่กำลังป่วยด้วย“อัลไซเมอร์” ระยะแรกเริ่ม

โดยกำหนดระยะเวลาในการทดลองจำนวนทั้งสิ้น18 เดือน ซึ่งจะให้“ผู้ป่วยครึ่งหนึ่ง” จะได้รับยาอัลไซเมอร์ เดือนละหนึ่งครั้ง ส่วน“ผู้ป่วยอีกครึ่งหนึ่ง” จะได้รับ“ยาหลอก“

ผลการทดลองพบว่า

1. ยานี้มีประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญ อย่างน้อยก็กับผู้ป่วยบางคน

2. จากการสแกนสมองเพื่อตรวจสอบ ผู้ป่วยที่มีอาการในระยะแรกเริ่ม และมีโปรตีนBeta-Amyloid และTau ในสมองน้อยกว่า จะได้รับประโยชน์มากกว่า เพราะพบว่าโปรตีนBeta-Amyloid และTau ในสมองหายไปมากกว่า

3. ผู้ป่วยที่ได้รับยา สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ พูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน รับโทรศัพท์ หรือทำงานอดิเรกได้

4. จากการสังเกตการณ์สิ่งที่ผู้ป่วยสามารถทำได้ในแต่ละวัน ประเมินได้ว่าอาการ“อัลไซเมอร์” ชะลอลง20-30% และอาจถึง30-40% สำหรับผู้ป่วยในกลุ่มที่ยาใช้ได้ผลมากกว่า

5. การใช้ยานี้มีผลข้างเคียงที่มีนัยสำคัญ และผู้ป่วยจำเป็นต้องตระหนักถึงความเสี่ยงในการรักษา

6. ผู้ป่วยที่ได้รับยา ครึ่งหนึ่งสามารถยุติการรักษาได้หลังรับยาต่อเนื่อง1 ปี เพราะตัวยาได้ขจัดโปรตีนBeta-Amyloid และTau ในสมองออกไปเป็นจำนวนมากแล้ว

7. ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า โปรตีนBeta-Amyloid และTau ในสมองเป็นเพียงส่วนหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดอาการของ“อัลไซเมอร์” เท่านั้น ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่า การรักษาจะสร้างความเปลี่ยนแปลง หากรักษาในระยะยาวต่อไปได้หรือไม่

8. ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า แม้ผลของยาอาจจะไม่มากนัก แต่ผลลัพธ์สำคัญก็คือ ข้อเท็จจริงที่ว่า การขจัดโปรตีนBeta-Amyloid และTau ในสมอง อาจชะลอพัฒนาการของ“อัลไซเมอร์” และจะช่วยผู้ป่วยหายจาก“อัลไซเมอร์” ได้ หากได้รับการรักษาในช่วงเวลาที่ถูกต้อง

ซึ่งก็คือผู้ที่กำลังป่วยด้วย“อัลไซเมอร์” ระยะแรกเริ่มนั่นเอง

ศาสตราจารย์ ดร. Giles Hardingham จาก“สถาบันวิจัยโรคสมองเสื่อม” แห่ง“สหราชอาณาจักร” บอกว่า น่าตื่นเต้นมากที่ได้เห็นผลลัพธ์ที่ตีพิมพ์อย่างละเอียดในวารสารJAMA

“พวกเราเฝ้าคอยยาแบบนี้มานานแล้ว มันจึงเป็นความสมหวังที่ได้เห็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นในตอนนี้ แน่นอนว่า เรากำลังอยู่ในจุดที่น่าตื่นเต้นมาก และการเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญต่อแนวทางรักษาผู้ที่ได้รับผลกระทบ หรือเสี่ยงกับภาวะสมองเสื่อม” ศาสตราจารย์ ดร. Giles Hardingham กระชุ่น

เช่นเดียวกับศาสตราจารย์ดร. Susan Kohlhaas จาก“สถาบันวิจัยอัลไซเมอร์” แห่ง“สหราชอาณาจักร” ที่กล่าวว่า บทความในJAMA นี้ เป็นอีกก้าวย่างสำคัญ

“นี่คือผลจากการวิจัยนานหลายสิบปี ในที่สุด มุมมองต่อภาวะสมองเสื่อม และผลกระทบต่อผู้คน และสังคม กำลังเปลี่ยนแปลงไป เรากำลังก้าวสู่ยุคสมัยใหม่ที่อัลไซเมอร์เป็นโรคที่รักษาได้” ศาสตราจารย์ ดร. Susan Kohlhaas เผย

สอดคล้องกับKate Lee จาก“สมาคมอัลไซเมอร์” แห่ง“สหราชอาณาจักร” ซึ่งระบุว่า ข่าวเกี่ยวกับยาอัลไซเมอร์ล่าสุด ถือเป็นสถานการณ์สำคัญต่อการวิจัยภาวะสมองเสื่อม

“แต่ฉันคิดว่า การรักษาแนวใหม่นี้ อาจจะไปไม่ถึงคนไข้ได้ทันเวลา หากเรายังไม่สามารถพัฒนาแนวทางการวินิจฉัยโรคให้ดีกว่าเดิม และเร็วกว่าเดิม” Kate Lee สรุป

ทั้งนี้ ประชากรในสหราชอาณาจักรจำนวน720,000 คน อาจได้รับประโยชน์จากแนวทางรักษา“อัลไซเมอร์” ตัวใหม่ มากขึ้นจากในอดีต ที่กว่าจะเข้ารับการรักษาได้ จะต้องมีการตรวจสอบแบบเฉพาะทาง ว่าผู้ป่วยแต่ละคนเหมาะที่จะเข้ารับการรักษาหรือไม่

ไม่เพียงเท่านั้นยาอัลไซเมอร์ตัวเก่าๆกำหนดไว้ว่าต้องให้ผู้ป่วยเข้ารับยาและสังเกตอาการอย่างต่อเนื่องซึ่งNational Health Service หรือNHS (ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติแห่งสหราชอาณาจักร) ยังไม่พร้อมแบกรับภาระในระดับนี้

สำหรับยารักษา“อัลไซเมอร์” ตัวแรก ที่ได้รับการอนุมัติเพื่อใช้รักษาในสหรัฐ มีราคาต่อคอร์สการรักษาที่900,000 บาท

ขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าราคาของยาอัลไซเมอร์ล่าสุดจะอยู่ที่เท่าไหร่และต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนเพื่ออนุมัติการใช้รักษาในสหราชอาณาจักร

แต่ผู้เชี่ยวชาญ“อัลไซเมอร์” มองว่า การมีตัวยาที่ใช้ได้มากกว่า1 ตัว จะช่วยทำให้เกิดการแข่งขัน จนทำให้ราคาลดลง และผู้คนสามารถเข้าถึงยาได้มากขึ้น

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...