Waymo – Tesla - Uber ใครจะเป็นผู้ชนะในตลาดแท็กซี่ไร้คนขับ ?
แท็กซี่ไร้คนขับ หรือ robotaxi กำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงในยุค AI ซึ่งบริษัทมากมายในห่วงโซ่อุปทานมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากเทรนด์นี้ โดยนักวิเคราะห์จาก http://Investing.com ได้ชี้เป้า 3 บริษัทที่มีโอกาสได้รับผลดีจากเทรนด์นี้สูงสุด คือ
1.Waymo บริษัทลูกของ Alphabet (GOOGL) ผู้ผลิตรถยนต์ไร้คนขับ ที่ได้เปิดตัว robotaxi ไปแล้วในบางเมืองในสหรัฐฯ เช่น ลอสแองเจลิส และ ซานฟรานซิส
2.Tesla บริษัทผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่มีแผนเปิดตัวแท็กซี่ไร้คนขับ “Cybercab” ในปี 2025
3.Uber แอปพลิเคชันสำหรับใช้ในการโดยสาร ที่มีแผนทำพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทผลิตรถยนต์ไร้คนขับต่างๆ เริ่มต้นในปี 2025
โดยในบทความนี้ Wealthy Thai จะมาสรุปจุดเด่นและจุดด้อยของแต่ละบริษัท พร้อมเลือกผู้ที่มีโอกาสรับประโยชน์สูงสุดจากเทรนด์นี้ตามการวิเคราะห์ของแพลตฟอร์มการลงทุน http://Investing.com กัน
1.Waymo
จุดแข็งของ Waymo คือการใช้เซ็นเซอร์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เรดาร์ กล้อง หรือ LiDAR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสร้างแผนที่สามมิติจากการใช้เลเซอร์ที่สามารถจับสิ่งกีดขวางรอบตัวรถยนต์ได้ไม่ว่าจะมีแสงเยอะหรือน้อย ซึ่งนี่ทำให้ robotaxi ของ Waymo นั้นค่อนข้างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Google ก็มีเครือข่ายแผนที่ที่กว้างขวางและมีความเชี่ยวชาญด้านการเชื่อมต่อและแชร์ข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต (IoT) อยู่แล้ว จึงทำให้มีโอกาสสร้างเครือข่าย robotaxi ที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของบริษัท คือการใช้เซ็นเซอร์ LiDAR นั้นมีราคาสูงมาก จึงอาจทำให้ยากที่จะผลิตแท็กซี่ที่ราคาย่อมเยาพอที่ผู้ใช้จะจับต้องได้ ในจำนวนที่เพียงพอต่อตลาด
2.Tesla (TSLA)
ข้อดีของ TSLA คือการเลือกที่จะใช้เซ็นเซอร์ด้านการมองเห็นผ่านกล้อง และ AI เป็นหลัก โดยไม่พึ่ง LiDAR ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนและราคารถยนต์ลดลงมามาก นอกจากนี้ รถยนต์ของบริษัทกว่าล้านคันบนถนนก็มีการติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (FDS) อยู่แล้ว ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลการขับขี่ของผู้ใช้มาให้ AI ศึกษาและพัฒนาต่อยอดได้ อีกหนึ่งข้อได้เปรียบของ TSLA คือความสามารถในการผลิตรถยนต์ในจำนวนที่คู่แข่งส่วนใหญ่ยังเทียบไม่ติด
แต่ข้อเสียของบริษัทคือ การใช้กล้องเพียงอย่างเดียวต้องอาศัยแสงและสภาพอากาศที่เหมาะสม และการไม่มีเทคโนโลยีอย่าง LiDAR ก็แปลว่ารถอาจไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้ เช่น เมื่อเกิดเหตุการจราจรติดขัดจากอุบัติเหตุ หรือ เมื่อมีสิ่งบดบังการมองเห็น
3.Uber (UBER)
UBER มีข้อดีสูงเพราะมีเครือข่ายผู้ใช้ที่กว้างขวางและมีแพลตฟอร์มจับคู่ผู้ใช้และผู้ขับอยู่แล้ว ซึ่งทำให้บริษัทได้เปรียบด้านต้นทุนและความยืดหยุ่น เพราะวางตัวเองเป็นตัวกลางแทนที่จะลงทุนผลิต robotaxi เอง โดยที่ผ่านมา บริษัทได้ทำพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทผลิตรถยนต์ไร้คนขับอย่าง Cruise Waymo Wayve และ BYD ซึ่งน่าจะเริ่มได้เห็น robotaxi ของ UBER ในปีหน้า โดยจุดอ่อนเดียวของบริษัทก็คือต้องพึ่งพาการทำข้อตกลงกับบริษัทผลิตรถยนต์ไร้คนขับให้สำเร็จ
ทั้งนี้ ตามความคิดเห็นของนักวิเคราะห์จาก http://Investing.com ธุรกิจแอปเรียกรถอย่าง UBER มีแนวโน้มเป็นผู้ชนะสูงสุด เนื่องไม่มีต้นทุนในการผลิต มีความยืดหยุ่นในการกำหนดจำนวน robotaxi ตามความต้องการ และมีเครือข่ายผู้ใช้บริการที่กว้างอยู่แล้ว จึงมีโอกาสที่จะได้รับผลดีจากเทรนด์ robotaxi สูง ไม่ว่าเทรนด์นี้จะมาช้าหรือเร็ว ดังนั้น UBER จึงน่าจะเป็นหนึ่งในผู้ชนะในช่วงเริ่มต้นของเทรนด์นี้