โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

Waymo – Tesla - Uber ใครจะเป็นผู้ชนะในตลาดแท็กซี่ไร้คนขับ ?

Wealthy Thai

อัพเดต 19 ก.พ. เวลา 04.44 น. • เผยแพร่ 08 พ.ย. 2567 เวลา 02.39 น.

แท็กซี่ไร้คนขับ หรือ robotaxi กำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงในยุค AI ซึ่งบริษัทมากมายในห่วงโซ่อุปทานมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากเทรนด์นี้ โดยนักวิเคราะห์จาก http://Investing.com ได้ชี้เป้า 3 บริษัทที่มีโอกาสได้รับผลดีจากเทรนด์นี้สูงสุด คือ
1.Waymo บริษัทลูกของ Alphabet (GOOGL) ผู้ผลิตรถยนต์ไร้คนขับ ที่ได้เปิดตัว robotaxi ไปแล้วในบางเมืองในสหรัฐฯ เช่น ลอสแองเจลิส และ ซานฟรานซิส
2.Tesla บริษัทผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่มีแผนเปิดตัวแท็กซี่ไร้คนขับ “Cybercab” ในปี 2025
3.Uber แอปพลิเคชันสำหรับใช้ในการโดยสาร ที่มีแผนทำพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทผลิตรถยนต์ไร้คนขับต่างๆ เริ่มต้นในปี 2025
โดยในบทความนี้ Wealthy Thai จะมาสรุปจุดเด่นและจุดด้อยของแต่ละบริษัท พร้อมเลือกผู้ที่มีโอกาสรับประโยชน์สูงสุดจากเทรนด์นี้ตามการวิเคราะห์ของแพลตฟอร์มการลงทุน http://Investing.com กัน

1.Waymo

จุดแข็งของ Waymo คือการใช้เซ็นเซอร์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เรดาร์ กล้อง หรือ LiDAR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสร้างแผนที่สามมิติจากการใช้เลเซอร์ที่สามารถจับสิ่งกีดขวางรอบตัวรถยนต์ได้ไม่ว่าจะมีแสงเยอะหรือน้อย ซึ่งนี่ทำให้ robotaxi ของ Waymo นั้นค่อนข้างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Google ก็มีเครือข่ายแผนที่ที่กว้างขวางและมีความเชี่ยวชาญด้านการเชื่อมต่อและแชร์ข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต (IoT) อยู่แล้ว จึงทำให้มีโอกาสสร้างเครือข่าย robotaxi ที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของบริษัท คือการใช้เซ็นเซอร์ LiDAR นั้นมีราคาสูงมาก จึงอาจทำให้ยากที่จะผลิตแท็กซี่ที่ราคาย่อมเยาพอที่ผู้ใช้จะจับต้องได้ ในจำนวนที่เพียงพอต่อตลาด

2.Tesla (TSLA)

ข้อดีของ TSLA คือการเลือกที่จะใช้เซ็นเซอร์ด้านการมองเห็นผ่านกล้อง และ AI เป็นหลัก โดยไม่พึ่ง LiDAR ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนและราคารถยนต์ลดลงมามาก นอกจากนี้ รถยนต์ของบริษัทกว่าล้านคันบนถนนก็มีการติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (FDS) อยู่แล้ว ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลการขับขี่ของผู้ใช้มาให้ AI ศึกษาและพัฒนาต่อยอดได้ อีกหนึ่งข้อได้เปรียบของ TSLA คือความสามารถในการผลิตรถยนต์ในจำนวนที่คู่แข่งส่วนใหญ่ยังเทียบไม่ติด
แต่ข้อเสียของบริษัทคือ การใช้กล้องเพียงอย่างเดียวต้องอาศัยแสงและสภาพอากาศที่เหมาะสม และการไม่มีเทคโนโลยีอย่าง LiDAR ก็แปลว่ารถอาจไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้ เช่น เมื่อเกิดเหตุการจราจรติดขัดจากอุบัติเหตุ หรือ เมื่อมีสิ่งบดบังการมองเห็น

3.Uber (UBER)

UBER มีข้อดีสูงเพราะมีเครือข่ายผู้ใช้ที่กว้างขวางและมีแพลตฟอร์มจับคู่ผู้ใช้และผู้ขับอยู่แล้ว ซึ่งทำให้บริษัทได้เปรียบด้านต้นทุนและความยืดหยุ่น เพราะวางตัวเองเป็นตัวกลางแทนที่จะลงทุนผลิต robotaxi เอง โดยที่ผ่านมา บริษัทได้ทำพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทผลิตรถยนต์ไร้คนขับอย่าง Cruise Waymo Wayve และ BYD ซึ่งน่าจะเริ่มได้เห็น robotaxi ของ UBER ในปีหน้า โดยจุดอ่อนเดียวของบริษัทก็คือต้องพึ่งพาการทำข้อตกลงกับบริษัทผลิตรถยนต์ไร้คนขับให้สำเร็จ
ทั้งนี้ ตามความคิดเห็นของนักวิเคราะห์จาก http://Investing.com ธุรกิจแอปเรียกรถอย่าง UBER มีแนวโน้มเป็นผู้ชนะสูงสุด เนื่องไม่มีต้นทุนในการผลิต มีความยืดหยุ่นในการกำหนดจำนวน robotaxi ตามความต้องการ และมีเครือข่ายผู้ใช้บริการที่กว้างอยู่แล้ว จึงมีโอกาสที่จะได้รับผลดีจากเทรนด์ robotaxi สูง ไม่ว่าเทรนด์นี้จะมาช้าหรือเร็ว ดังนั้น UBER จึงน่าจะเป็นหนึ่งในผู้ชนะในช่วงเริ่มต้นของเทรนด์นี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...