โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ประวัติศาสตร์บิดเบือน : ย้อนรอย Fear Street ซีรีส์สยองขวัญจาก Netflix เมื่อสังคมชายเป็นใหญ่เข่นฆ่า LGBTQIAN+

Bangkok Pride

เผยแพร่ 14 มี.ค. เวลา 09.54 น. • เพชรไพลิน จรัสสุทธิอิศร
ประวัติศาสตร์บิดเบือน : ย้อนรอย Fear Street ซีรีส์สยองขวัญจาก Netflix เมื่อสังคมชายเป็นใหญ่เข่นฆ่า LGBTQIAN+

"Fear Street" ซีรีส์สยองขวัญจาก Netflix ที่สร้างจากนิยายของ R.L. Stine อาจดูเหมือนแค่เรื่องราวของคำสาปและฆาตกรต่อเนื่อง แต่เมื่อเราขุดลึกลงไป นี่คือเรื่องราวที่สะท้อนความอยุติธรรมทางเพศและประวัติศาสตร์ที่ถูกบิดเบือนโดยระบบปิตาธิปไตย (Patriarchy) ซึ่งในภาคสุดท้ายของ Fear Street Part 3: 1666 เราถูกพาย้อนเวลากลับไปยังยุคที่ "แม่มด" ไม่ได้เป็นเพียงคำกล่าวหา แต่เป็นเครื่องมือที่ผู้ชายใช้กำจัดและควบคุมผู้หญิงที่แตกต่างจากกรอบของสังคม

Sarah Fier ไม่ใช่แม่มด แต่เป็นเหยื่อของสังคมชายเป็นใหญ่

เรื่องราวของ Sarah Fier หญิงสาวที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด เพียงเพราะเธอมีความรักกับ Hannah Miller หญิงสาวอีกคนหนึ่ง ในยุคที่สังคมปิตาธิปไตยไม่อาจยอมรับความรักที่อยู่นอกเหนือกรอบของสังคม ถึงแม้ว่า Sarah Fier ไม่เคยทำเวทมนตร์ ไม่มีคาถา ไม่มีคำสาป แต่เพียงเพราะเธอมีความสัมพันธ์แบบเลสเบี้ยนและขัดขืนอำนาจชายเป็นใหญ่ ทำให้เธอตกเป็นเป้าหมายของการล่าแม่มด และเพื่อรักษาอำนาจของชนชั้นนำ Solomon Goode (ชายผู้แทนสังคมปิตาธิปไตย) ได้ใส่ร้าย Sarah Fier และใช้ความกลัวต่อ "แม่มด" เป็นเครื่องมือควบคุมผู้คนในเมือง Union (Shadyside ในอนาคต)

เมื่ออำนาจอยู่ในมือผู้ใด ความจริงก็ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ชนะ

เรื่องราวของ Sarah Fier ถูกบิดเบือนมาหลายศตวรรษ เธอถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของคำสาป ทั้งที่จริงแล้ว ครอบครัว Goode ต่างหากที่ทำข้อตกลงกับปีศาจเพื่อแลกกับอำนาจและความมั่งคั่ง

ความเป็นเลสเบี้ยนในยุคที่ "ศาสนา" และ "อำนาจ" เป็นใหญ่

Sarah Fier และ Hannah Miller คือภาพแทนของ หญิงรักหญิงที่ถูกกดขี่โดยสังคม ซึ่งสะท้อนว่า LGBTQIAN+ ไม่ได้เพิ่งมีอยู่ในยุคปัจจุบัน แต่ถูกกดทับและลบทิ้งไปจากประวัติศาสตร์ที่ชายเป็นใหญ่เขียนขึ้น ทำให้เห็นว่า "แม่มด" ในยุคกลางไม่ได้หมายถึงคนที่ใช้เวทมนตร์เสมอไป

หลายครั้งอาจหมายถึง ผู้หญิงที่มีพลังทางสังคม หรือผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน เรื่องราวของ Fear Street จึงตั้งใจชี้ให้เห็นว่า การล่าแม่มดไม่ใช่เรื่องของไสยศาสตร์ แต่มันคือการเมือง Sarah Fier ไม่ได้ถูกฆ่าเพราะเธอเป็นแม่มด แต่เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่รักผู้หญิง และไม่ก้มหัวให้กับสังคมปิตาธิปไตย อาจพูดได้ว่า Fear Street ไม่ใช่แค่หนังสยองขวัญ แต่เป็นเรื่องราวของการต่อต้านอำนาจที่กดขี่ และการคืนความเป็นธรรมให้กับหญิงรักหญิงที่ถูกลืมไปจากหน้าประวัติศาสตร์

Fear Street กับประวัติศาสตร์การล่าแม่มดในโลกจริง

เรื่องราวของ Sarah Fier เป็นภาพสะท้อนของเหตุการณ์จริง เช่น Salem Witch Trials (1692-1693) ซึ่งผู้หญิงหลายคนถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด โดยอ้างจากพฤติกรรมที่สังคมชายเป็นใหญ่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งการล่าแม่มดในประวัติศาสตร์มักมีปัจจัยร่วมกัน คือ ผู้หญิงที่มีอิสระมากเกินไป หรือไม่อยู่ในกรอบที่ผู้ชายกำหนด, คนที่มีเพศวิถีหรืออัตลักษณ์ทางเพศที่แตกต่าง (เช่น LGBTQIAN+) และผู้หญิงที่เป็นปัญหาต่ออำนาจของผู้ชาย (หมอผี, นักสมุนไพร, หญิงเดี่ยว, นักคิด)

โดยสรุปแล้ว ซีรีส์ Fear Street ถือเป็นเรื่องราวการตีแผ่ ความอยุติธรรมของสังคมปิตาธิปไตย ที่ฝังรากลึกในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกดขี่และการลบเลือนตัวตนของชุมชน LGBTQIAN+ ในอดีต นอกจากนี้ ซีรีส์วิพากษ์การเขียนประวัติศาสตร์โดยผู้มีอำนาจ ซึ่งมักบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อรักษาโครงสร้างทางสังคมที่พวกเขาควบคุมอยู่ Fear Street จึงเป็นมากกว่าความบันเทิง แต่มันคือคำถามที่ท้าทาย ระบบชายเป็นใหญ่ ซึ่งยังคงส่งผลกระทบต่อสังคมปัจจุบัน

ท้ายที่สุด หนังเรื่องนี้เตือนให้เราตระหนักว่า ประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นอย่างที่เราถูกสอนเสมอไป และหากเคยเชื่อว่า "แม่มด" คือปีศาจ บางทีเราอาจต้องกลับมาทบทวนความจริงอีกครั้ง

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...