โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

“โทนี่ รากแก่น” เผยจุดเปลี่ยนที่พลิกชีวิตไปตลอดกาล!

TheHippoThai.com

เผยแพร่ 18 พ.ย. 2561 เวลา 13.00 น.

“โทนี่ รากแก่นเผยจุดเปลี่ยนที่พลิกชีวิตไปตลอดกาล!

“…เราได้เรียนรู้ว่าความจริงของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันเรามองสิ่งเดียวกันแต่ทัศนคติของเรากับสิ่งนี้มันไม่เหมือนกันแค่คุณมองเห็นผมชัดเจนแล้วจำผมได้แค่นั้นก็พอแล้วแต่คุณอยากจะจำผมแบบไหนก็แล้วแต่เลย…”

นี่คือคำตอบของคำถามสุดท้าย เมื่อเราถาม โทนี่รากแก่นนักแสดงหนุ่มมากความสามารถ ผู้เป็นทั้ง นักแสดง” “ช่างทำผม มืออาชีพ และกับบทบาทใหม่ในการเป็น “Mentor” ในรายการ The Face Men Thailand Season 2 ว่า “เขาอยากจะให้ผู้คนจดจำ โทนี่ รากแก่น ในภาพจำแบบไหน”  ซึ่งนับเป็นบทสรุปของเรื่องราวการเดินทางในชีวิตของเขาที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี 

แล้วสิ่งใดบ้างที่เข้ามาในชีวิตของเขา จนทำให้  “เด็กเกเร”  ที่เขาให้นิยามตัวเองในตอนนั้น เปลี่ยนไปเป็น  “โทนี่ รากแก่น”  ในวันนี้ เราจึงขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมติดตามถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต จากปากของเขาเอง และไม่แน่ว่า คุณอาจจะได้เห็น อีกมุมหนึ่งของโทนี่ รากแก่น ที่ไม่เคยเห็น (และไม่คิดว่าจะได้เห็น) จากที่ใดมาก่อนก็ได้ !

อยู่ที่ไหนไม่สำคัญอยู่ที่ว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากแต่ละวันนั่นคือที่มาของจุดเปลี่ยนสำคัญของ "โทนี่รากแก่น"

“…จริงๆเราถูกสังคมรอบข้างตีกรอบให้เราต้องอยู่Safe Zone ไม่ทำอะไรที่ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ทุกคนทำซึ่งถามว่าเราเข้าใจสิ่งนั้นไหมเราทำได้ไม่ดีนะเพราะมันไม่ได้เกิดจากความเข้าใจของเราเองมันเกิดจากผู้ใหญ่หรือคนรอบข้างตีกรอบให้เรามันทำให้เราไม่หลุดแต่ในวันหนึ่งเมื่อเราหลุดออกไปแล้วเป็นตัวเองและทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำมันกลายเป็นว่าเราเจออิสรภาพแล้วก็ใช้ชีวิตแบบนั้นมาเรื่อยๆ 

มันไม่ได้อยู่ที่ว่าการไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกมันจะส่งผลอะไรกับเรามากมายขนาดนั้นหรอกผมว่ามันไม่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนมันเกี่ยวกับว่าคุณมีเชื้อรักดีอยู่แค่ไหนอย่างเราเราโชคดีว่าเรามีเชื้อรักดีอยู่ต่อให้มันกำลังจะพาเราในทางที่ไม่ดีเราก็พยายามตบตัวเองมาให้มันอยู่ในกรอบเราไม่ได้บอกว่าเราเป็นเด็กดีน่าคบหาคนหนึ่งเรามีความคิดแย่การกระทำที่แย่อยู่ในตอนเด็กๆที่เราไม่รู้ตัวการโกหกอะไรนั่นนี่เรามีหมดแต่บางทีมันมีองค์ประกอบหลายๆอย่างอย่างโชคชะตาสิ่งแวดล้อมรอบข้างเรื่องของจิตวิทยาเรื่องของร่างกายด้วยนะอย่างคนมองเห็นเราแล้วเขาเอ็นดูไหมนี่ก็เกี่ยวมันไม่เกี่ยวกับว่าอยู่ตรงไหนหรอก 

ดังนั้นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับชีวิตเรามันเลยเกิดขึ้น3 ครั้งใหญ่ๆจนตอนนี้นะแต่ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะมีอีกรึเปล่านะ(หัวเราะ) จุดแรกก็คือการที่ได้ไปอยู่ต่างประเทศในตอนที่อายุ12 ปีจุดเปลี่ยนที่สองก็คือตอนที่เรียนจบแล้วกลับมาที่ไทยจากตอนแรกที่เราอยากจะเป็นCreative ก็กลายเป็นช่างตัดผมที่ร้านThe Lounge Hair Salon ของ "พี่ลูกเกด"(เมทินีกิ่งโพยม) มันก็ทำให้เรากลายเป็นนักแสดงต่อมาแล้วก็หลังจากที่เราทำงานในวงการบันเทิงมาประมาณ7-8 ปีสะสมบทบาทต่างๆมาเรื่อยๆจนมาถึงบทไซม่อนในเรื่องSOS (SOS Skate ซึมซ่าส์ตอนหนึ่งในProject S The Series) ก็เลยเป็นจุดเปลี่ยนที่สามแล้วมันก็กำลังดำเนินอยู่มาจนถึงตอนนี้ครับ…”

จุดเปลี่ยนแรกของชีวิต “เด็กเกเร” ในเมืองนอก

“…เราไม่ได้เกเรแบบชกต่อยอะไรแบบนั้นเกเรของเราคือไม่มีวินัยไม่มีความรับผิดชอบแต่เรามีรุ่นน้องที่ดีหลายคนคนแรกคือคนในHomestay หลังที่เราไปพักตอนเรียนหลังหนึ่งก็จะมีซอยห้องไป6-7 ห้องให้เด็กนักเรียนอยู่ด้วยกันแล้วก็มีผู้ใหญ่เป็นคนไทยดูแลแต่เราสองคนที่ห้องติดกันนี่เป็นเด็กติดเกมวันๆไม่ได้เรียนคือพังน่ะ(หัวเราะ) แต่มีช่วงหนึ่งของชีวิตที่อยู่ดีๆเขาก็หายกลับไทยไปปีหนึ่งแล้วกลับมาเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยตั้งใจเรียนFocus ดีโน่นนี่นั่นเราก็เลยถามเขาว่าเฮ้ย! ไปทำอะไรมาเขาบอกว่าพ่อเขาจับเขาไปเป็นทหารแล้วหลังจากนั้นก็ให้เขาไปฝึกปฏิบัติธรรมของอาจารย์โกเอ็นก้า(S.N. Goenka – วิปัสสนาจารย์ผู้มีชื่อเสียงระดับโลก

เราก็ได้รับข้อมูลนั้นมาแล้วก็รู้สึกตลอดว่าถ้ามีโอกาสเราอยากไปลองปฏิบัติธรรมของอาจารย์โกเอ็นก้าเราก็ใช้ชีวิตของเรามาเรื่อยๆจนจบHigh School แล้วก็เข้ามหาวิทยาลัยก็ได้ไปสนิทกับรุ่นน้องอีกคนหนึ่งคนนี้ก็เป็นคนที่ติดเกมเหมือนกันวันๆเราไม่ทำอะไรเลย(หัวเราะ) แต่ว่าด้วยความเป็นเขาที่มีความรับผิดชอบในชีวิตเขาก็จะมีคำพูดอะไรบางอย่างที่มันคอยเตือนสติเราอยู่เรื่อยๆจนเขากลายเป็นคนหนึ่งที่เปลี่ยนให้เรากลับมาสนใจชีวิต 

แล้วมีปีหนึ่งที่เรากลับมาไทยเราก็ยังจำเรื่องราวของน้องคนแรกที่พูดถึงการปฏิบัติธรรมพอดีกับตอนนั้นมันเคว้งๆไม่มีอะไรทำเราก็เลยลองSearch หาเจอแล้วก็สมัครเข้าไปเลยแล้วก็ไปขึ้นรถBus กับเขาเขาก็พาไปเราไปจังหวัดหนึ่งที่ไกลออกไปโดยที่เราไม่ได้อ่านอะไรเลยเรารู้ข้อมูลแค่ว่าเราจะต้องไปอยู่กับเขา10 วัน(หัวเราะ) ซึ่งจริงๆแล้วมันจองกันยากมากนะเขาต้องจองกันล่วงหน้าเป็นหลายๆเดือนเลยเราโชคดีมากที่มีคนยกเลิกแล้วเราดันเข้าไปเสียบแทนในวันที่เราจองเข้าไปพอดี(หัวเราะ)…”

“โทนี่ผู้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆตลอดเวลาที่ปฏิบัติธรรม” !!!

“…พอไปกับเขาสถานที่ที่เขาจัดมันเป็นสถานที่ปิดมีคูน้ำล้อมรอบเข้าไปถึงเขาก็อธิบายนี่นั่นให้ที่พักเราแล้วก็ยึดโทรศัพท์เราตึง! เราแบบเฮ้ย(ลากเสียง) สองสามวันแรกจัดกระเป๋าจะกลับบ้านทุกวันเลยคือแบบเฮ้ย! เรามาทำอะไรที่นี่อ่ะแต่ด้วยความNerd อะไรของเราบางอย่างความกลัวของเราที่ไม่กล้าจะว่ายน้ำออกมา(หัวเราะ) หรือแหกกฏเขาพังประตูออกมาเราก็อ่ะ! อยู่ไปเรื่อยๆก็ได้กลายเป็นความอดทนอะไรบางอย่าง 

แต่ปรากฏว่าระหว่างที่อยู่สิ่งที่เขาสอนบอกให้ทำกลายเป็นว่าเอ้อมันแปลกดีอ่ะเราก็มีความเป็นสายCreative หน่อยๆตั้งแต่เติบโตมามันทำให้เราขี้เบื่อง่ายเราต้องเจออะไรใหม่ๆตลอดแล้วสิ่งที่เราเข้าไปเรียนรู้มันใหม่ใหม่ใหม่อยู่ตลอดจนเราเข้าไปอยู่ครบทุกวันแล้วเรารู้สึกว่าทำไมเขาไม่มีสิ่งนี้สอนมนุษย์ทุกคนอันนี้จำเป็นมากสำหรับชีวิตมนุษย์ทุกคนเลยก็ว่าได้การได้สิ่งนี้คือยาดีที่สุดในชีวิตแล้วเพราะสุดท้ายสิ่งที่อยู่กับเรามากที่สุดคือความรู้สึกของเราคนที่สามารถเข้าใจความรู้สึกตัวเองได้ควบคุมมันได้ทันมันได้ผลลัพธ์มันจะต่างออกไปเลย 

หลายๆครั้งที่เราต้องใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ  เราเกิดอารมณ์ต่างๆขึ้นเราตัดสินใจด้วยความรู้สึกล้วนๆแต่เราทันมันแม้กระทั่งวันที่เราอกหักเราก็เข้าใจว่าความรู้สึกนี้มันก็ไม่ต่างกับสิ่งอื่น  นั่นคือทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้วดับไปแน่นอนอาจจะต้องใช้เวลาหน่อยแต่มันมีกระบวนการความคิดนี้แล้วการที่เราได้ฝึกฝนและเข้าใจมันทำให้เราโล่งขึ้นใช้ชีวิตได้สบายขึ้นเหมือนกันนะเราจะมีCivilization (ความเป็นอารยะความเจริญ) มากขึ้นเลยนะคนมันจะไม่โลภขนาดนี้

“The Lounge” จุดเปลี่ยนที่สองจากงานโฆษณาสู่ช่างทำผมมออาชีพ”

“…มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เรารู้ว่างานโฆษณามันไม่ใช่มันเป็นแค่ความรู้สึกที่เราไม่ได้รับโอกาสให้ไปต่อมากกว่าคือเราเองก็ไม่ได้เก่งอะไรมากหรอกเราเรียนทางCreative มาก็จริงแต่การทำงานมันใช้Creativity (ความคิดสร้างสรรค์) อีกรูปแบบหนึ่งมันจะอยู่ในกรอบความต้องการของลูกค้าหรืออะไรต่างๆก็เกิดCulture Shock นิดหนึ่งเพราะว่าเขาเคยโยนอะไรมาแล้วให้เราคิดเต็มที่ไม่มีอะไรมาตีกรอบไม่มีงบประมาณ

เราเคยทำงานหนึ่งแล้วแบบโหชอบมากเลยแต่ภาพที่เราเอามาใช้ในงานมันต้องจ่ายสตางค์หมดเลยทุกภาพเพราะเราดึงออกมาจากInternetกลายเป็นว่าถ้าเราทำโฆษณานี้ออกมาจริงๆเสียเงินเป็นล้านมันเกิดขึ้นไม่ได้เขาก็ไม่เอาเราก็ไม่รู้หลายๆอย่างมันตีกรอบเราตอนนั้นเราก็ไม่ได้เก่งที่จะซิกแซกออกมาเจอCreativity ที่มันสามารถใช้งานได้จริงบวกกับการที่เราทดลองงานไปหลายเดือนแล้วเค้าก็ไม่ได้ตอบสนองว่าเขาจะรับเราต่อไปไหมรวมกับการที่พี่เกด(เมทินีกิ่งโพยม) ติดต่อมาพอดีว่าให้ลองมาทำงานที่The Lounge ดูสิก็เลยเปลี่ยนมาเป็นสิ่งนี้แทน

ตอนแรกเราก็เคยทำงานร้านผมมาก่อนตอนที่อยู่ออสเตรเลียพี่เกดติดต่อมาเพราะไปเห็นในบทสัมภาษณ์ว่าเราเคยทำงานร้านผมมาก่อนเราก็ตกใจเฮ้ยแบบพี่ลูกเกดเมทินีเลยนะเราก็มีMind Set ว่าจะลองไปคุยดูเฉยๆเพราะเราก็คิดว่ามันไม่ใช่ทางเราหรอกในการจมอยู่กับสถานที่ที่หนึ่งที่แคบๆเจอคนเดิมๆเราเบื่อแน่เลยเราอยากไปอยู่กับกองถ่ายหนังถ่ายโฆษณาทำงานCreative นั่งคิดนั่งฟุ้งซ่านไปอะไรแบบนี้แต่ก็ไปลองคุยปรากฏว่าพอไปถึงThe Lounge พี่ลูกเกดคือสิ่งมีชีวิตที่สวยที่สุดในโลกเท่าที่เราเคยเจอมาไม่เคยเจอมาก่อนว่ามีสิ่งนี้บนโลก(หัวเราะ)แล้วพอเขาพูดอะไรมาเราSay Yes ไปกับเขาทุกอย่างเลยโดยอัตโนมัติอีกวันหนึ่งถัดมาก็เป็นเด็กในร้านเขาแล้ว(หัวเราะ)…”

จาก “ช่างทำผมมืออาชีพสู่นักแสดงมากฝีมือ”

“…ตอนนั้นเราถูกส่งไปเป็น 1 ใน 50 หนุ่ม CLEO แล้วตั้งแต่ทำงานโฆษณา มันก็เลยจะเริ่มมีงานในวงการควบคู่กันไปกับงานที่ร้านพี่เกด แต่มันก็จะเป็นงาน MV บ้าง ถ่ายแบบบ้าง สัมภาษณ์เล็กๆ น้อยๆ จนมีครั้งหนึ่งที่ทางฝั่ง M39 เขาเอาเราไปทำผม แล้วพี่ Stylist ไปเจอเรา แล้วเขาก็เอาเราไปแนะนำกับผู้กำกับที่นั่น ให้เราลองไป Cast งานชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับการเต้น  B-boy แล้วก็ได้ พี่ต้อง(เดชบดีอนามพงษ์) เป็นอาจารย์สอนเต้นผมเลยนะ ก็เลยกลายเป็นหนังเรื่องแรกของเราพอมีหนังเรื่องแรกก็มีละครเรื่องแรกโน่นนี่นั่นเลยเถิดจนเราไม่ได้ทำผมแล้วอ่ะ(หัวเราะ) พี่เกดยังเคยถามผมเลยว่า สรุปจะเอาอย่างไร จะเป็นดารา หรือจะเป็นช่างทำผม ผมตอบฉะฉานมาก เป็นช่างทำผมครับพี่ สักพักหนึ่งไม่ได้เข้าร้านเลย (หัวเราะ) พี่เกดเขาก็ปล่อย เขาไม่เคยบังคับเราเลย (หัวเราะ)

จุดเปลี่ยนครั้งล่าสุดเพราะบทบาทการแสดง

“…ก่อนหน้านี้เราเคยชินกับการที่ได้รับบทบาทแล้วก็ไปแสดงเป็นตัวละครนั้นๆไม่เคยเอาตัวเองที่เป็นตัวเองไปอยู่ที่ไหนเลยแม้กระทั่งไปออกรายการเราก็ไม่ค่อยได้ไปเพราะเราทำตัวไม่ถูกเราไม่ค่อยมั่นใจว่าตัวเราเองเป็นEntertainer ขนาดนั้นเราแค่เป็นนักแสดงเฉยๆไปอยู่ในรายการเขารายการเขากร่อยเบื่อแน่นอนแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมานี่เราได้มีโอกาสทบทวนตัวเอง 

แล้วไปเจอก้อนความรู้สึกหนึ่งที่แบบเฮ้ย! เรามันใช้ชีวิตแบบขาดประสบการณ์ชีวิตมากเลยอ่ะเพราะเราอยู่ในSafe Zone ของตัวเองมาตลอดเราจะทำอะไรที่เรารู้สึกปลอดภัยอย่างเดียวเลยไม่กล้าที่จะออกเดินทางไม่กล้าที่จะไปทำอะไรทั้งๆที่สิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้มากที่สุดก็คือประสบการณ์ทุกครั้งที่เราได้ลองเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในประสบการณ์ชีวิตต่างๆไม่ว่าจะดีหรือร้ายมันก็ทำให้เรารู้สึกอะไรบางอย่างและความรู้สึกนั้นก็ทำให้เราได้เรียนรู้ 

ความคิดนี้มันเริ่มก่อตัวเมื่อตอนที่เราเล่นเรื่องSOS (SOS Skate ซึมซ่าส์ตอนหนึ่งในProject S The Series)ซึ่งตัวละครไซม่อนของเราเป็นคนที่พลังงานเยอะมากแล้วก็เป็นคนเปิดรับสิ่งใหม่ๆมากทีนี้เราเลยลองปล่อยตัวเองให้หลุดเข้าไปกับสิ่งนั้นวิธีการของเราก็คือเราจะSay Yes กับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตเพื่อนชวนไปไหนเราไปหมดใครชวนอะไรเราทำหมดเต็มที่(หัวเราะ) ก็เลยเริ่มเพี้ยนไปจากSafe Zone ของเราในตอนนั้นจนมาตอนต้นปีที่การถ่ายทำมันจบไปหมดแล้วเราก็เลยได้เริ่มตกตะกอนกับสิ่งนี้แล้วพบว่าเราเป็นคนที่เรียนรู้คนละแบบกับคนอื่นคนอื่นเขาจะสามารถฟังแล้วก็เรียนรู้ได้อ่านแล้วก็เรียนรู้ได้ดูแล้วก็เรียนรู้ได้แต่เรามันต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นและต้องรู้สึกถึงจะเรียนรู้แล้วประจวบเหมาะกับThe Face Men ติดต่อมาเราคิดประมาณ2 วินาทีแล้วก็Say Yes เลย 

แล้วมันก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ยังส่งผลอยู่ทำให้ชีวิตเราดำเนินมาถึงจุดที่เรากำลังนั่งคุยกันอยู่นี้ครับ(ยิ้ม)…”

ร่วมติดตาม The Face Men Thailand Season 2 ได้ทุกวันอาทิตย์ เวลา 20.15 น. ทาง PPTV HD 36 และบน LINE TV พร้อมชมรีรันบน LINE TV หรือเว็บไซต์ tv.line.me ที่แรก เวลา 22.00 น. ไปจนถึงธันวาคม แล้วมาลุ้น Final Walk ได้ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ ว่า Mentor น้องใหม่คนนี้จะสามารถคว้าแชมป์ The Face Men Thailand Season 2 ได้หรือไม่  

*******************

ขอขอบคุณสถานที่ : THE FACE STUDIO 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0