โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

สงครามกับพม่าช่วงเสียกรุงกับ "ผลดี" ต่อการปรับเสถียรภาพการเมืองอยุธยา

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 19 ก.ค. 2564 เวลา 03.00 น. • เผยแพร่ 17 ก.ค. 2564 เวลา 17.03 น.
สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 บ้านเมืองถึงคราววิบัติ “ล่มสลาย” บ้านแตกสาแหรกขาด ภาพนี้เป็นจิตรกรรมฝาผนังจัดแสดงภายในอาคารภาพปริทัศน์ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่าในเชิงคู่สงครามเป็นที่เข้าใจว่าพม่าสร้างความเสียหายต่อไทยเหลือคณา อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักวิชาการที่มองผลกระทบจากสงครามกับพม่าที่มีต่อเสถียรภาพของอยุธยา หากมองอีกด้านก็ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองในอยุธยาไม่น้อย

สงครามช้างเผือกเมื่อ พ.ศ. 2106 ก่อนหน้าการเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2112 ในช่วงอยุธยาตอนกลาง แตกต่างจากสภาพของสงครามครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2310 กรมพระยาดำรงราชานุภาพอรรถาธิบายในหนังสือ “ไทยรบพม่า” เปรียบเทียบการเสียกรุงทั้งสองครั้งว่า การเสียกรุงครั้งแรก พม่ากวาดต้อนทรัพย์สินและเชลยศึกกลับกรุงหงสาวดีจำนวนมาก แต่ไม่ได้ทำลายพระนครยับเยินเหมือนครั้งหลัง เมื่อพิจารณาเหตุผลจากพระเจ้าหงสาวดี (บุเรงนอง) ซึ่งมาทำสงครามหมายมาเอาเมืองไทยเป็นเมืองขึ้น จับเชลยริบทรัพย์สินตามประเพณีสงคราม และปรารถนาปกครองบ้านเมือง

แต่สำหรับครั้งหลัง พระเจ้าอังวะ (พระเจ้าเซงพยูเซง หรือมังระ) ให้กองทัพยกมากวาดต้อนทรัพย์สินและเชลยศึกโดยไม่ได้หวังรักษาเมืองไทยเป็นเมืองขึ้น ตีเมืองไหนได้ก็เผาหมด ไม่ว่าจะเมืองเล็กหรือใหญ่ ความเสียหายจึงมากกว่าครั้งเสียกรุงสมัยพระเจ้าหงสาวดี

ศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ แสดงความคิดเห็นในหนังสือ “พม่ารบไทย ว่าด้วยการสงครามระหว่างไทยกับพม่า” ว่า สงครามกับพม่าในปี พ.ศ. 2106 และ 2112 ในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ส่งผลเชิงบวกต่อเสถียรภาพการเมืองภายในอยุธยา เมื่อดูจากหลักฐานในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา และบันทึกจากต่างชาติซึ่งมีทิศทางเนื้อหาสอดคล้องกันว่า ช่วงหลังการปฏิรูปการปกครองของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) กลุ่มผู้นำทางการเมืองอยุธยายังชิงอำนาจทางการเมืองกันหลายครั้ง อาทิ กรณีเจ้าอ้าย เจ้ายี่ เจ้าสามพระยา กรณีขุนวรวงศาหรือขุนชินราช และยังมีความขัดแย้งภายในระหว่างราชินิกูลของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิกับสมเด็จพระมหาธรรมราชา ที่ดำเนินเรื่อยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2106 มายุติลงเมื่อ พ.ศ. 2112

ท่ามกลางการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในผู้นำการเมืองชั้นสูง บทบาทของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็เข้ามาเกี่ยวข้องกันมากมาย ครั้นสงครามกับพม่าเมื่อ พ.ศ. 2112 ผู้นำทางการเมืองสายสุพรรณบุรีถูกขจัดไปในสถานการณ์สงครามระหว่างไทย-พม่า

พระราเมศวร ถูกพม่านำตัวไปในสงคราม พ.ศ. 2106
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ สวรรคตก่อนเสียกรุงไม่นาน
สมเด็จพระมหินทร์ สิ้นพระชนม์ระหว่างทางขณะถูกพม่านำตัวไป

สถานการณ์ทำให้ผู้นำสายสุโขทัย ตามการเรียกขานของนักประวัติศาสตร์ขึ้นมามีอำนาจภายใต้การนำของสมเด็จพระมหาธรรมราชา ขณะที่ขุนนางผู้ใหญ่ที่สนับสนุนสายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ถูกถอนรากตามไปด้วย อาทิ ออกญาราม ออกญาจักรี ทำให้พระมหาธรรมราชาสามารถแต่งตั้งคนของฝ่ายตนรั้งตำแหน่งสำคัญ

ความเปลี่ยนแปลงทางเสถียรภาพส่งผลเชิงประจักษ์ เมื่ออยุธยาต้านรับการรุกรานของราชอาณาจักรกัมพูชาหลายครั้ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2113-2114, 2121, 2125 และ 2130 การวางรากฐานของสมเด็จพระมหาธรรมราชามาจนถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทำให้ราชการสงครามในระยะต้นมีผลสำเร็จ

แต่สำหรับการเสียกรุงครั้ง พ.ศ. 2310 แตกต่างกันเนื่องจากพม่าทำลายพระนครและรากฐานอย่างยับเยินอันเป็นผลให้ผู้นำชั้นสูงของไทยเปลี่ยนทัศนะและนโยบายทางทหารต่อพม่า ปรับยุทธศาสตร์ตั้งรับศึกพม่า พยายามยึดครองพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่พม่าเคยใช้เป็นฐานกำลังเมื่อครั้งเสียกรุงก่อนหน้านี้

สถานภาพของกษัตริย์ถูกขับเน้นออกมาในเชิง “ผู้ปกป้อง” ไม่ว่าสถานะนี้จะคงอยู่มาแต่เดิมก่อนการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ นักวิชาการไทยมองว่า สงครามและการเสียกรุงครั้งหลังผลักดันให้ผู้นำไทยสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้นต้องแสดงพระองค์พร้อมประกาศเจตนารมณ์อย่างแน่ชัดในอันที่จะทำสงครามต่อต้านพม่าผู้รุกราน

“ฐานะของพระมหากษัตริย์หรือผู้นำรัฐที่เป็น ‘ผู้ปกป้อง’ ภัยรุกรานจากภายนอกเพื่อประโยชน์สุขของพระพุทธศาสนาและไพร่บ้านพลเมืองได้กลายเป็นมรดกตกทอดในวัฒนธรรมการเมืองไทยเรื่อยมา ถึงแม้สงครามรบพม่าและการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะได้สิ้นสุดไปนานแล้วก็ตาม” (สุเนตร ชุตินธรานนท์, 2561)

อย่างไรก็ตาม ศ.ดร. สุเนตร ระบุว่า ผลสืบเนื่องที่ตามมาจาก “การปกป้อง” ผู้รุกราน นำมาสู่การพยายามตอกย้ำและสร้างภาพพม่าผู้รุกรานในลักษณะฝ่ายอธรรมและมารพระศาสนา พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาที่ชำระในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้นยุคหลังกรุงแตกพาดพิงพม่าในแง่ตัวแทนความชั่วร้ายหลายรูปแบบ (อ่านเพิ่มเติม ทำไม “เจ้านายไทย” สมัยก่อนใช้ชีวิตกลางคืนตื่นบรรทม 6 โมงเย็นแม้ราชการใช้เวลาออฟฟิศแล้ว)

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลสืบเนื่องในสังคมต่อกันมาหลายยุคสมัย ไม่ว่าจะในฐานะเครื่องมือการเมือง หรือการสร้างสำนึกหรือความเข้าใจบางอย่าง แม้รัฐบาลหรือคนในสังคมเริ่มตระหรักถึงความจำเป็นในการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุคสมัยปัจจุบัน แต่นักวิชาการหลายท่านยังมองว่า ในทางปฏิบัติแล้วกลับไม่ได้สะท้อนถึงความตระหนักนั้นมากนัก

 

อ้างอิง: 

สุเนตร ชุตินธรานนท์. พม่ารบไทย ว่าด้วยการสงครามระหว่างไทยกับพม่า. พิมพ์ครั้งที่ 13. กรุงเทพฯ : มติชน, 2561

เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2561

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...