โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

จับสัญญาณธุรกิจถ่านหินปี’68 แผ่วลงตามเทรนด์รักษ์โลก

The Better

อัพเดต 04 มี.ค. เวลา 11.19 น. • เผยแพร่ 04 มี.ค. เวลา 11.20 น. • THE BETTER
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยฯมองธุรกิจถ่านหินดีมานด์ลดลง ถูกกดจากข้อจำกัดผลกระทบสิ่งแวดล้อม  ส่งผลการใช้ภาคอุตสาหกรรมและเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าไม่ขยายตัว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองธุรกิจถ่านหินไทยในปี 2568 ว่า คาดการณ์ปริมาณการจำหน่ายถ่านหินของผู้ประกอบการไทย ในตลาดต่างประเทศคาดว่าจะอยู่ที่ 38.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.3% จากปีก่อนหน้า ซึ่งขยายตัวเล็กน้อยโดยได้รับแรงสนับสนุนจากความต้องการที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นในอินเดียและอาเซียน

ขณะที่ปริมาณถ่านหินที่จำหน่ายในไทยจะลดลง 1.2% ในปี 2568 มาอยู่ที่ 5.04 ล้านตัน เนื่องจากความต้องการในภาคอุตสาหกรรมจะลดลง 5% จากภาคการผลิตที่ยังคงอ่อนแอ และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ส่วนภาคการผลิตไฟฟ้า ขยายตัวเล็กน้อย 0.4% ตามความต้องการใช้ไฟที่เติบโต

ทั้งนี้รายได้รวมจากการขายถ่านหินของผู้ประกอบการไทย จะลดลง 4.5% เนื่องจากราคาขายถ่านหินเฉลี่ยมีแนวโน้มปรับตัวลงจากปีก่อนหน้า โดยรายได้จากการขายในตลาดต่างประเทศ และในไทยคาดว่าจะลดลง 4.3% และ 5.7% ตามลำดับ

ด้านสถานการณ์ตลาดถ่านหินต่างประเทศ นั้น ในสัดส่วน 88% ของธุรกิจถ่านหินไทยเป็นการจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ โดยจะขายถ่านหินจากเหมืองในประเทศอินโดนีเซียเป็นหลัก และประเภทถ่านหินจัดจำหน่ายส่วนมากเป็นถ่านหินที่ให้พลังงานความร้อนไม่เกิน 6,100 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัม ปริมาณถ่านหินที่จำหน่ายในตลาดต่างประเทศคาดว่าจะเติบโตเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามปริมาณการจำหน่ายถ่านหินของผู้ประกอบการไทย ในตลาดต่างประเทศคาดว่าจะอยู่ที่ 38.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.3% จากปีก่อนหน้าตามอุปสงค์โลกที่ยังคงเติบโตเล็กน้อยที่ 0.4% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากความต้องการที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นในอินเดียและอาเซียน ขณะที่ความต้องการถ่านหินในจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของโลกมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ที่ 4.94 พันล้านตัน

ด้านความต้องการใน EU มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงความต้องการในสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงเช่นกัน แม้ว่าในปี 2568 จะมีการกลับมาใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้น จากนโยบายด้านพลังงานของ โดนัลด์ ทรัมป์ แต่ถ่านหินอาจไม่ได้รับแรงหนุนมากนักเนื่องจากมีสัดส่วนการใช้งานเพียงแค่ 1% ของภาคการผลิตไฟฟ้าทำให้การสนับสนุนคาดว่าจะมุ่งเน้นไปที่ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก

สำหรับตลาดถ่านหินในประเทศไทยในปี 2568 ปริมาณถ่านหินที่จำหน่ายในไทยคาดว่าจะลดลง 1.2% มาอยู่ที่ 5.04 ล้านตัน จากความต้องการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง แม้ในภาคผลิตไฟฟ้าจะเติบโตเล็กน้อย โดยอุปสงค์ถ่านหินจากภาคอุตสาหกรรมในไทยคาดว่าจะลดลงราว 5% จากปีก่อนหน้า ตามกิจกรรมการผลิตที่ยังคงอ่อนแอ และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น โดยกิจกรรมการผลิตที่อ่อนแอ เป็นผลมาจากการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเข้ามาของสินค้าจีน ทั้งตลาดในประเทศ และส่งออก ส่งผลให้ อุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์ ซึ่งมีสัดส่วนการใช้ถ่านหินในกระบวนการผลิตมากถึง 60% ของอุปสงค์ถ่านหินโดยรวมในภาคอุตสาหกรรม ยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัว

นอกจากนี้กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะมาตรการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนจากยุโรป (CBAM) ก็มีส่วนผลักดันให้ผู้ผลิตสินค้าส่งออกลดปริมาณการใช้ถ่านหินลงด้วยเช่นกัน
สำหรับภาคการผลิตไฟฟ้าอุปสงค์ถ่านหินมีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยที่ราว 0.4% จากปีก่อนหน้าตามความต้องการใช้ไฟที่เติบโต และเพื่อควบคุมต้นทุนการผลิตไฟฟ้า โดยในปี 2568 ความต้องการใช้ไฟคาดว่าจะโตราว 1.4% ทำให้ความต้องการถ่านหินเพิ่มขึ้นตาม เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 2.45 บาทต่อหน่วย ต่ำกว่าก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าหลักราว 36%

อย่างไรก็ตาม ปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่จะสามารถกลับมาผลิตได้เต็มกำลังตลอดปี 2568 อาจมีผลจำกัดการขยายตัวของอุปสงค์ถ่านหินให้อยู่ในระดับต่ำ โดยรายได้รวมจากการขายถ่านหินของผู้ประกอบการไทย คาดว่าจะลดลง 4.5% จากราคาขายถ่านหินเฉลี่ยที่ปรับลดลง และความต้องการถ่านหินภายในประเทศที่หดตัว

ทั้งนี้ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของผู้ประกอบการไทยในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 93.9 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัน ลดลง 5% จากปีก่อนหน้า ตามภาวะการชะลอตัวของอุปสงค์ถ่านหินโลก ส่งผลให้ รายได้จากการขายในตลาดต่างประเทศ คาดว่าจะอยู่ที่ 122,648 ล้านบาท ขณะที่ รายได้จากการขายในไทย คาดว่าจะอยู่ที่ 16,044 ล้านบาท ลดลง 4.3% และ 5.7% ตามลำดับ

สำหรับความเสี่ยงของอุตสาหกรรมถ่านหินไทยในระยะกลางถึงยาว พบว่าความต้องการใช้ถ่านหินในไทยมีแนวโน้มลดลงจากร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าในระยะยาวของไทย (PDP 2024) ที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานทดแทน โดยมีแผนการลดปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเหลือเพียง 7% ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าในปี 2580 จากที่อยู่ราว 14% ในปี 2567 ในขณะเดียวกันสัดส่วนพลังงานสะอาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 51% จากปัจจุบันที่ 22%

นอกจากนี้ภาคอุตสาหกรรมไทยมีแนวโน้มใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงพลังงานลดลง เนื่องจากพ.ร.บ. Climate Change และกฎระเบียบการค้าโลกด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการส่งออกไปยัง EU ซึ่งมีการใช้มาตรการ CBAM ที่มีผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาดในการผลิต (Low carbon cement)

ด้านตลาดต่างประเทศ ความต้องการถ่านหินในตลาดโลกมีทิศทางปรับตัวลดลงจากกระแสรักษ์โลก โดยเฉพาะคู่ค้าหลักอย่างจีน ที่หันไปพึ่งพาพลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งภายในปี 2603 จีนตั้งเป้าหมายเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดโดยเฉพาะพลังงานลมและแสงอาทิตย์ ให้มีสัดส่วนเป็น 80% ของการผลิตพลังงานทั้งหมด ในขณะที่ลดจำนวนการใช้ถ่านหินเหลือเพียง 5% ทั้งนี้ หากมีเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกสะอาดที่มีต้นทุนใกล้เคียงและมีคุณสมบัติในการให้พลังงานเทียบเท่ากับถ่านหิน อาจส่งผลให้ความต้องการใช้ถ่านหินลดหายไปในระยะยาว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...