วิจัยกรุงศรี ปรับลดคาดการณ์จีดีพีไทยปี 2568 เหลือ 2.1%
วิจัยกรุงศรี ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือ 2.1 % ท่ามกลางความเสี่ยงซ้อน คาดกนง.จะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้
30 พ.ค.68 ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ และผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2568 ขยายตัวได้ 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งสูงกว่าคาดเล็กน้อย แต่โครงสร้างภายในยังเปราะบาง โดยการส่งออกที่ขยายตัวได้ถึง 15% ส่วนหนึ่งมาจากการเร่งส่งออก (front-loading) ก่อนมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้
ซึ่งชี้ว่าแรงส่งจากภาคต่างประเทศอาจไม่ยั่งยืน ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอตัว และการลงทุนภาคเอกชนยังหดตัวต่อเนื่องแม้การลงทุนภาครัฐเติบโตสูง สะท้อนถึงข้อจำกัดด้านอุปสงค์ภายในประเทศและความท้าทายจากปัญหาเชิงโครงสร้าง
“เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายในและภายนอกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องประสบกับความเสี่ยงจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีฉากทัศน์ที่หลากหลายและมีความไม่แน่นอนสูง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงซ้อนจากความเปราะบางภายในประเทศ ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง ความไม่แน่นอนของประสิทธิผลของนโยบายเศรษฐกิจ และความล่าช้าของการฟื้นตัวในภาคท่องเที่ยว ปัจจัยดังกล่าวล้วนเพิ่มความเสี่ยงด้านต่ำต่อการเติบโต และอาจเป็นปัญหาที่ฝังลึกลงสู่ระบบเศรษฐกิจไทย”
โดยวิจัยกรุงศรีได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 เนื่องจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
- ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมีนาคม
- แรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มอ่อนแรงลงเนื่องจากความกังวลของนักท่องเที่ยวจีนต่อสถานการณ์ด้านความปลอดภัยในการเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย
- ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเนื่องอย่างเป็นวงจร (Negative feedback loop) ผ่านความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายและลงทุน
“วิจัยกรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโต 2.1% ชะลอลงจากคาดการณ์เดิมที่ 2.7%”
ทั้งนี้ แรงส่งหลักจะมาจากการใช้จ่ายภาครัฐและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผนวกกับการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่แม้จะฟื้นช้ากว่าคาดแต่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 35.5 ล้านคน มาอยู่ที่ 36.5 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศยังคงเผชิญความเสี่ยงสูง ตามบริบทของความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ถึงแม้ว่าล่าสุด ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 (ตามเวลาสหรัฐฯ) ศาลการค้าของสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งระงับมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) แต่ยังมีความเสี่ยงที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะใช้อำนาจตามกฎหมายอื่นๆ เพื่อเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม เช่นกฎหมายการค้าปี 1974 มาตรา 122 ที่อาจทำให้ประเทศต่างๆ รวมถึงไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราไม่เกิน 15% ซึ่งจากความไม่แน่นอนดังกล่าว การส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลังจึงยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบ
ซึ่งการคาดการณ์ครั้งนี้ ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% ต่อประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่รวมถึงไทย ส่งผลให้การส่งออกทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.0% หลังจากที่เติบโตสูงด้วยอัตราเลขสองหลักในช่วงไตรมาสแรก ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงที่ 2.6% ท่ามกลางแรงกดดันจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอลง แนวโน้มรายได้ภาคเกษตรที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง
รวมทั้งความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และการฟื้นตัวช้าของภาคท่องเที่ยวที่จะกระทบต่อการจ้างงานและรายได้ ในด้านการลงทุน แม้การลงทุนภาครัฐอาจเติบโตถึง 5.8% แต่ยังไม่สามารถเหนี่ยวนำให้การลงทุนภาคเอกชนกลับมาเติบโต (Crowding-in effect) ได้ ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นช้ากระทบต่อการขยายการลงทุนในภาคบริการ เพิ่มความเสี่ยงที่การลงทุนภาคเอกชนอาจหดตัวต่อเนื่องที่ -0.5% นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยลบที่บั่นทอนความเชื่อมั่น และทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจน
ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ภายใต้ความเสี่ยงของการค้าระหว่างประเทศ เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลังขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจถูกปรับลดลงอีก 1-2 ครั้งในปีนี้
+ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทายสำคัญหลายประการ ได้แก่ +
(i) นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความเสี่ยงสูง
(ii) ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปราะบาง
(iii) ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ ท่ามกลางข้อจำกัดด้านพื้นที่ทางการคลัง
(iv) ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตที่ลดลง ระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว
ดร.พิมพ์นารา กล่าวทิ้งท้ายว่า “แม้ปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันทั่วโลก แต่เมื่อผนวกกับแรงกดดันภายใน อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเผชิญผลกระทบที่รุนแรงกว่าหลายประเทศ ดังนั้น จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องอาศัยความระมัดระวังเชิงนโยบายควบคู่ไปกับการตอบสนองที่มีประสิทธิภาพและเท่าทันสถานการณ์”