โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ทะเลาะกันทีไร แค่ ‘ขอโทษอย่างจริงใจ’ มันจะยากอะไรนักหนา?

Mission To The Moon

เผยแพร่ 12 ก.พ. 2567 เวลา 11.00 น. • Mission To The Moon Media

เคยไหมกับการเป็นผู้ถูกกระทำแต่ไม่เคยได้รับคำขอโทษ? หรือบางทีก็อาจจะเป็นเราเสียเองที่เป็นผู้กระทำแต่ก็ยังยากจะยอมรับว่าตนผิด? เชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านประสบการณ์ทั้งสองกรณีมาแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายไม่ยอมขอโทษ และทำไมตนเองก็ไม่ยอมขอโทษเช่นเดียวกัน
.
ทั้งที่ ‘การขอโทษ’ เป็นมารยาทการเข้าสังคมขั้นพื้นฐานที่ครอบครัวและโรงเรียนพร่ำสอนตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อพบกับสถานการณ์ที่ต้องใช้คำเหล่านี้จริง หลายคนกับพบว่าเป็นคำไม่กี่พยางค์ที่เอ่ยปากยากเหลือเกิน ราวกับมีมวลก้อนปริศนาจุกอยู่ที่อกปิดกั้นไม่ให้เปล่งคำขอโทษออกมาง่ายๆ
.
แม้เราจะรู้ดีว่าการขอโทษจะช่วยสมานรอยร้าว ฟื้นฟูและกระชับความสัมพันธ์ผ่านความเชื่อใจ นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ตนเองได้ทบทวนคุณค่าที่ยึดถือและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นคนที่อยากเป็น แต่กว่าจะไปถึงขั้นตอนของการยอมรับความผิดตรงนั้นได้กลับพบอุปสรรคทางความคิดและอารมณ์มากมายมาคอยขวางทางไว้
.
.
ทำไมแค่ “การขอโทษ” ถึงยากเย็น?
.
ต้องกล่าวว่าการขอโทษไม่ได้หมายถึงแค่ ‘คำขอโทษ’ ที่เอ่ยออกมาเท่านั้น แต่รวมไปถึงการยอมรับความผิดที่เกิดขึ้นด้วย ลำพังแล้วแค่คำพูดเพียงอย่างเดียวอาจจะออกมาได้ง่ายกว่าคำพูดที่มาพร้อมความรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็มีกรณีที่ไม่มีแม้แต่คำขอโทษเพราะไม่ยอมรับความรู้สึกผิดเช่นกัน
.
ปกติแล้วงานศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการขอโทษจำนวนมากมักให้ความสนใจไปที่ “ผู้ถูกละเมิดขอบเขต” หรือผู้ที่ถูกกระทำให้เกิดความเสียหายมากกว่าผู้กระทำ ด้วยเหตุนั้นคนส่วนมากจึงจะเห็นบทบาทของการขอโทษในฐานะเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ถูกละเมิดได้รับการเยียวยาและสามารถให้อภัยคนอื่นได้มากกว่า
.
Karina Schumann นักจิตวิทยาและผู้ช่วยศาสดาจารย์จากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก (The University of Pittsburgh) ได้ทำการศึกษาอีกมิติหนึ่งของการขอโทษ โดยเจาะลึกถึงจิตวิทยาเบื้องหลังสาเหตุที่ทำให้การขอโทษหรือการยอมรับผิดไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบางคน
.
.
1. ไม่ต้องขอโทษเพราะการกระทำของฉัน ‘ชอบธรรม’
.
จากการศึกษาพบว่ามุมมองที่แตกต่างกันระหว่างผู้ละเมิดและผู้ถูกละเมิดกลายมาเป็น “เหตุผลเบื้องหลัง” ที่ผู้ละเมิดใช้ในการสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตนเอง แม้บางทีจะรู้ดีว่าการกระทำที่ทำลงไปนั้นก่อให้เกิดความเสียหายทางใดทางหนึ่งให้อีกฝ่าย ด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่ผู้ละเมิดจะมองว่าเพราะมีสาเหตุของการกระทำเหล่านั้น จึงไม่นับเป็นความผิดที่ต้องยอมรับ
.
สมมติปีนี้เราลืมวันเกิดของคนรักจนทำให้เขารู้สึกถูกละเลย หลายคนมักจะหาเหตุผลมารองรับเพื่อสร้างความชอบธรรมว่ามันไม่ใช่ความผิดที่เขาต้องรับผิดชอบ เช่น มันเป็นความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด ปีที่ผ่านๆ มาก็ไม่เคยลืมนี่นา เพราะงั้นมันเป็นแค่ ‘อุบัติเหตุ’ ที่ช่วยไม่ได้ เราจึงไม่ได้ผิดอะไรขนาดนั้น หรือ ก็ปีนี้งานมันยุ่งก็เลยลืม เพื่อบอกว่าความผิดพลาดของเรานั้น ‘เข้าใจได้’ เพราะเข้าใจได้จึงไม่ใช่ความผิดที่ต้องสำนึกผิด เป็นต้น
หลายครั้งที่การใช้มุมมองตนเองมาสร้างความชอบธรรมเช่นนี้นำไปสู่การ “ปั่นหัวเพื่อโยนความผิด” (Gaslight) ไปให้กับผู้ที่ถูกละเมิดขอบเขตด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เพราะเธอจับผิดเรามากเกินไปจนเรารู้สึกอึดอัดไม่เป็นอิสระ เราก็เลยต้องโกหกเธอบางอย่างเพื่อให้เธอสบายใจหรือให้อิสระเราในการใช้ชีวิตและตัดสินใจเรื่องต่างๆ มากขึ้น เป็นต้น
.
ทัศนคตินี้ยังสร้างความชอบธรรมให้กับ ‘การแก้แค้น’ ด้วยเหตุผลที่ว่า “เพราะเขามาทำเราก่อน เราจึงทำเขากลับ” เมื่อมีเหตุผลรองรับสร้างความถูกต้องให้การกระทำตนเองเช่นนี้แล้ว ผู้ละเมิดจึงไม่คิดว่าสิ่งที่ตนทำลงไปนั้นเป็นความผิดที่ต้องสำนึก
.
เพราะเหตุใดแนวคิดและมุมมองดังกล่าวนี้จึงไม่สมเหตุสมผล? นั่นเป็นเพราะว่า “ไม่มีเหตุผลที่ชอบธรรมในการทำร้ายผู้อื่น” แม้ว่าเหตุผลเบื้องหลังจะเป็นความจำเป็นหรือไม่เจตนา หรือเหตุผลอื่นๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันสร้างความเสียหายไม่ทางใดก็ทางหนึ่งให้กับอีกฝ่ายอยู่ดีนั่นเอง
.
.
2. มันง่ายกว่าที่จะ “ไม่แคร์” ความรู้สึกของผู้อื่น
.
การเห็นอกเห็นใจหรือการเข้าใจมุมมองของผู้อื่นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มองเห็นความผิดพลาดของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น หากเราส่งงานไม่ตรงเวลาก็จะทำให้ฝ่ายอื่นที่ต้องรับงานต่อจากเราล่าช้าและวุ่นวายกับการเร่งกระบวนการมากขึ้น เช่นนั้นเมื่อเราส่งงานช้าไม่ว่าด้วยเหตุจำเป็นแบบใดจึงรู้สึกผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายภายในทีม
.
หลายคนพบปัญหาการเข้าอกเข้าใจผู้อื่น เนื่องจากไม่สามารถจินตนาการผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการกระทำหรือการตัดสินใจของตนเองได้ จึงไม่คิดว่าสิ่งที่ทำไปมันจะมีความผิด เช่น การทักคนอื่นว่าอ้วนขึ้นหรือเปล่า? หรือสิวขึ้นนะเนี่ย? สำหรับบางคนไม่อาจจะจินตนาการได้ว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไรจึงไม่เข้าใจว่ามันผิดตรงไหน เป็นต้น
.
ทว่าก็มีอีกกรณีที่ “ไม่ได้สนใจ” ว่าอีกฝ่ายจะเดือดร้อนอย่างไรจากความเสียหายที่เกิดขึ้น ต่อให้สามารถรับหรือจินตนาการได้ว่ามันจะเสียหายแต่ก็ไม่ได้คิดว่าความเดือดร้อนของอีกฝ่ายมันเป็นสิ่งที่จะต้องแคร์หรือให้ความสำคัญ
.
กรณีที่สองนี้มักเกิดกับกลุ่มคนหลงตัวเองหรือ “Narcissists” ที่มักจะคิดว่าตนเองใหญ่กว่าและสำคัญกว่าคนอื่น รวมถึงมีมุมมองที่คิดว่าตนเอง ‘ไม่มีวันทำผิดพลาด’ นอกจากนี้ยังเกิดขึ้นกับกลุ่มที่มีบุคลิกภาพต่อต้านสังคม (Socioapath) ที่มักจะขาดความเห็นอกเห็นใจต่อความเดือดร้อนของผู้อื่น
.
แน่นอนว่าก็มีการทับซ้อนของทั้งสองกรณี นั่นคือทั้งไม่สามารถจินตนาการความเจ็บปวดของผู้อื่นได้และไม่ได้สนใจที่จะทำเช่นนั้น สุดท้ายแล้วก็มักจะนำไปสู่การปฏิเสธความผิดของตนเองด้วยคำพูดทำนองว่า ‘มันขนาดนั้นเลยหรือ’ ‘ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น’ ‘คิดมากไปเองหรือเปล่า’ ‘เซ็นซิทีฟเกินไปหรือเปล่า’ หรือ ‘เรื่องของเธอสิ’ เป็นต้น
.
.
3. เปล่านะ ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น
.
สังเกตว่าเราจะได้ยินและคุ้นชินการขอโทษกับความผิดจำพวก การเดินชนคนอื่น การทำแก้วน้ำในร้านอาหารตก มากกว่าการขอโทษเมื่อเผลอลงไม้ลงมือกับคนรักยามทะเลาะกันเสียอีก เพราะเหตุใด? ทั้งที่หากเปรียบเทียบ ‘อุบัติเหตุ’ กับ ‘การทำร้ายร่างกาย’ แล้วความผิดมันต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
.
นั่นเป็นเพราะว่าการขอโทษนั้นผูกติดอยู่กับการยอมรับว่าตนกระทำอะไรลงไป ซึ่งการยอมรับว่าเดินชนคนอื่นหรือเหยียบเท้าคนในรถไฟฟ้าที่อัดแน่นไม่ได้เปลี่ยนแปลง “ตัวตน” หรือ “คุณค่า” ที่ผู้กระทำคิดว่าเขามีให้หายไป แต่การ ‘ทำร้ายร่างกาย’ นั้นมันขัดกับ ‘คุณค่าความดี’ ที่ยึดถือ การยอมรับว่าตนทำสิ่งที่ขัดกับความดีสำหรับหลายคนจึงเป็นการบอกว่า “ตนเองเป็นคนเลว”
.
ไม่เพียงเท่านั้น หลายคนย่อมมีภาพคนเลวในจินตนาการ ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะผูกติดการทำร้ายร่างกายกับไว้ตัวร้ายในละครสักเรื่อง เมื่อต้องยอมรับว่าตนเองกำลังกระทำในสิ่งเดียวกันจึงเกิดการเปรียบเทียบเราเองกับตัวร้ายในละครตัวนั้น และเกิดการเชื่อมโยงว่าจะผิดก็ต่อเมื่อเป็นผู้ร้ายแบบนั้น ‘ทุกการกระทำและเจตนา’
.
ในท้ายที่สุดจึงได้ข้อสรุปว่า “ไม่ ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น” เพราะไม่ได้ทำเหมือนผู้ร้ายคนนั้น ‘ทุกประการ’ ดังนั้นเราจึงไม่ผิด คนที่ผิดคือคนที่ทำและคิดเหมือนตัวร้ายคนนั้นแต่เราแตกต่างออกไป การยอมรับว่าสิ่งที่ทำลงไปแม้จะไม่เหมือนกันทุกประการแต่ก็สร้างความเสียหายจึงกลายเป็นความคิดที่เชื่อลำบาก
.
ยิ่งไปกว่านั้น หลายครั้งที่สังคมมักด้อยคุณค่าของสิ่งที่ตรงข้ามกับ ‘ความดี’ และผู้ร้ายในภาพจำนวนมากผูกติดกับการลงโทษทางสังคมคือ “การไม่เป็นที่ยอมรับ” และ “การไม่ถูกรัก” ผู้ละเมิดขอบเขตจำนวนมากจึงเกิดความไม่มั่นคงในใจว่าหากยอมรับไปแล้วจะเป็นที่รังเกียจและถูกกีดกันจากสังคม ทำให้บ่อยครั้งที่ผู้ละเมิดขอบเขตจะหาเหตุผลอื่นๆ มาสร้างความชอบธรรมให้การกระทำเพื่อบอกว่า “ได้โปรดอย่าเตะฉันออกจากสังคม” นั่นเอง
.
กรณีที่เชื่อว่าหลายคนต้องเคยเจอคือ เด็กที่กระทำผิดแล้วโกหกว่าไม่ได้ทำ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หรือโกหกแรงจูงใจ นั่นเป็นเพราะเด็กเหล่านั้นกลัวที่จะผิดพลาดและไม่ถูกรักอีกต่อไปจากความผิดพลาดนั้น แน่นอนว่านอกจากเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแล้ว ผู้ใหญ่เองก็เป็นได้เช่นกันเพราะการอยู่ร่วมกันในสังคมกดดันให้เราต้องเป็น ‘ที่ยอมรับ’ การยอมรับความผิดพลาดเลยกลายเป็นเรื่องยาก เพราะว่าว่าจะไม่มี ‘โอกาส’ ได้แก้ตัว
.
เชื่อว่าในช่วงชีวิตของคนเราไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ต้องเคยเจอสถานการณ์ “ยากจะขอโทษ” ที่กล่าวไปข้างต้นมาไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่ง แต่การเคยเป็นเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าตนเองจะเป็นคนที่ใช้ไม่ได้หรือยอดแย่ เพราะความคิด ทัศนคติ มุมมองและนิสัยต่างเปลี่ยนกันได้ทั้งนั้น เมื่อเข้าใจว่าตนเองมีกำแพงใดกั้นอยู่ การทำลายกำแพงนั้นก็เป็นบันไดขั้นถัดไปที่จะพาเราไปยัง “คนในอุดมคติ” ที่อยากจะเป็น
.
.
“Sorry not sorry” ขอโทษอย่างไรไม่สร้างสรรค์?
.
ท่ามกลางความเดือดของการปะทะกันในความสัมพันธ์ หลายครั้งที่ผู้ละเมิดมักจะยอมเอ่ย “คำขอโทษ” เพื่อให้เรื่องราวจบลงโดยที่ไม่ได้ ‘ยอมรับผิด’ กับสิ่งที่เกิดขึ้น และจนแล้วจนรอดก็ยังไม่คิดว่ามันจะผิดอะไร หลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็น “วุฒิภาวะ” ที่ยอมให้อีกคน ‘งอแง’ หรือมองว่าตนเองสูงส่งกว่าเพราะ ‘ยอมเพื่อรักษาความสัมพันธ์’
.
ทว่าการกระทำเช่นนั้นไม่ใช่ ‘การขอโทษ’ แต่เป็นการชักจูงควบคุมหรือที่เรียกว่า “Manipulation” อันหมายถึงการใช้กลหรือเล่ห์เหลี่ยมบางอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมนั้นอาจจะมาจากเจตนาดีหรือเจตนาไม่พึงประสงค์ก็ได้เช่นกัน
.
การชักจูงดังกล่าวนอกจากจะไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์ให้มันดีขึ้น เชื่อใจและเข้าใจกันมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการเอาเปรียบผู้อื่นและไม่เปิดโอกาสให้ตนเองได้สัมผัสถึงมุมมองที่หลากหลายเพื่อพัฒนาตนเองต่อไป โดยการขอโทษอันกลวงโบ๋นี้เกิดขึ้นจากความเจตนาตั้งใจหรือความไม่รู้ตัวประกอบกับทัศนคติบางอย่างของผู้กระทำ
.
แน่นอนว่าเราอาจจะเคยทำเช่นนั้นไปด้วยความไม่รู้ตัวก็เป็นได้ หากกำลังสงสัยว่าตนเองเคยทำเช่นนั้นหรือกำลังทำอยู่หรือเปล่า ลองมาตรวจสอบความคิดเบื้องหลังคำขอโทษที่ตนเองเคยใช้ไปพร้อมกัน
.
[ ] ขอโทษเพราะตนเองรู้สึกแย่ ไม่ใช่เพื่อให้เธอรู้สึกดีขึ้น
[ ] ขอโทษเพราะฉันมันคนเลว แต่ไม่ได้ตระหนักว่าการกระทำส่งผลอย่างไร
[ ] ขอโทษเพราะเหนื่อยจะเถียง จึงพูดสิ่งที่เธออยากฟัง
[ ] ขอโทษเพราะฉันผิด แต่เธอก็ผิดเพราะฉะนั้นก็ต้องขอโทษฉันด้วย
[ ] ขอโทษเพื่อรับรู้ว่าเธอจะให้อภัยหรือเปล่า ถ้าให้อภัยครั้งนี้แปลว่าครั้งหน้าก็จะให้อภัย
[ ] ขอโทษเพราะรู้ว่าถ้าขอโทษไปแล้วเธอจะใจอ่อน
[ ] ขอโทษเพราะไม่อยากให้เธอไป จะทำทุกทางเพื่อไม่เสียเธอ
.
วิธีการขอโทษที่กล่าวไปเป็นหนึ่งในรูปแบบของการชักจูงและควบคุมทางจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทั้งโดนคนที่ตั้งใจจะทำเช่นนั้นเพื่อควบคุมอีกฝ่าย และคนที่ไม่ตั้งใจเพราะเติบโตและเรียนรู้วิธีขอโทษมาเช่นนั้น หรือโดนอารมณ์อื่นๆ เช่น ความกลัว ครอบงำ แต่ไม่ได้หมายความว่าเพราะเคยทำเช่นนั้นแล้วจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้
.
.
ขอโทษที่ดีต้องทำอย่างไร?
.
การขอโทษที่ดีคือการเอ่ยคำขอโทษด้วยความรู้สึกผิดอย่างจริงใจ แต่จะทำอย่างไรเมื่อในหัวมีแต่ความคิดที่วนเวียนเข้ามาปกป้องเราจากการยอมรับผิด? แม้ว่าการปกป้องตนเอง (Self-defense) จะเป็นเรื่องปกติแต่เราก็สามารถฝึกจัดการกับความคิดเหล่านั้นได้ด้วยวิธีเหล่านี้เลย
.
.
1. ยอมรับว่ากระทำอะไรไปโดยไม่มี “แต่”
.
การขอโทษที่ดีเริ่มจากการทบทวนก่อนว่า การกระทำใดที่เราทำลงไป โดยไม่ต้องนำเหตุผลหรือปัจจัยอื่นๆ มาสนับสนุนว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เพียงยอมรับว่าเราได้ทำให้มันเกิดขึ้นแล้วก็เพียงพอสำหรับการเริ่มต้น
.
2. ตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่าย
.
หลังจากทบทวนว่าเราทำอะไรลงไป ลำดับถัดมาคือการทำความเข้าใจว่าแล้วการกระทำนั้นมันก่อให้เกิดผลลัพธ์ใด ความเสียหายแบบใดบ้าง ขั้นตอนนี้สามารถเตือนตนเองไม่ให้กดคุณค่าตนเองเพื่อรู้สึกผิดด้วยการทำความเข้าใจว่าสิ่งที่ไม่ดีนั้นคือ “การกระทำ” ไม่ใช่ “ตัวตน” และเราสามารถแก้ไขให้มันถูกต้องได้
.
3. พูดคำว่าขอโทษอย่างตรงไปตรงมา
.
เมื่อรับรู้แล้วเข้าใจผลของการกระทำตนเองแล้วนั้น สิ่งที่จะทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นคือการขอโทษเขาอยากจริงใจและตรงไปตรงมา ไม่ต้องเป็นคำสวยหรูที่อ้อมวนอย่างการชวนมากินข้าวแต่ไม่พูดขอโทษ เพราะแค่คำขอโทษที่มาจากใจคำเดียวก็สามารถช่วยรักษาบาดแผลในใจอีกฝ่ายได้พอสมควรแล้ว
.
4. เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา หรือแนวทางปรับปรุงตัว
.
แน่นอนว่าเพียงแค่รู้ว่าทำผิด แต่ไม่แก้ไขและปล่อยให้เกิดซ้ำก็ไม่ต่างอะไรจากการชักจูงทางจิตวิทยาที่กล่าวไปก่อนหน้า ดังนั้นการทบทวนหาทางแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายใดขึ้นจึงจำเป็นต่อการเดินหน้าต่อในความสัมพันธ์
.
แม้ว่าโลกใบนี้อาจไม่ได้สวยงามถึงขั้นที่ทุกคนจะสามารถขอโทษอย่างจริงใจและให้อภัยกันได้ทุกครั้ง แต่การเรียนรู้และคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอก็สามารถทำให้เรากลายเป็นส่วนหนึ่งและเป็นตัวอย่างที่ดีที่ทำให้สังคมหน้าอยู่ขึ้นได้นั่นเอง
.
.
ที่มา
- Why Is It So Hard to Apologize?: Sharon Begly, Mindful - https://bit.ly/3Ug4BRs
- Why Is It Hard for Some People to Apologize?: Daniel S. Lobel Ph.D., Psychology Today - https://bit.ly/3SbRD4t
- An Apology Without Change Is Manipulation: Sara Makin, M.Ed, LPC, NCC, Makin Wellness - https://bit.ly/3vYN1qT
- Why It's Important to Apologize in Relationships: Elizabeth Scott Ph.D., VeryWell Mind - https://bit.ly/3ShrxNF
.
.
#selfdevelopment
#psychology
#howtoappologize
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...