โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

‘เพียงทักทายและส่งยิ้ม หาใช่ว่ามีใจให้’ เมื่ออคติทางเพศบังตา นำไปสู่การคุกคามที่น่าหวาดกลัว

The MATTER

เผยแพร่ 30 พ.ย. 2566 เวลา 11.15 น. • Gender

กี่ครั้งแล้วที่ความใจดีของเราถูกมองผิดไปเป็นอย่างอื่น?

บางครั้งเราอาจจะซื้อน้ำให้ใครบางคนเพราะอากาศร้อน อาจเปิดประตูค้างไว้ให้ใครอีกคนในที่ทำงาน หรืออาจจะแค่ยิ้มให้กับคนที่เราบังเอิญสบตาด้วยบนรถขนส่งสาธารณะ แม้เราไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าว่า สิ่งเหล่านั้นเมคเซนส์ที่เราจะทำในตอนนั้น แต่ใครอีกคนกลับตีความมันว่าเรากำลังให้ความสนใจพวกเขาในแบบที่เราไม่ได้ตั้งใจอยู่บ่อยครั้ง อาจจะเข้าใจว่าเราชอบเขา หรือแย่ไปกว่านั้นคือเป็นการทอดสะพานเปิดโอกาสให้เขาเข้าหาเราได้

เหตุการณ์แบบนี้บางครั้งเราก็สามารถปฏิเสธไปได้ แต่หลายๆ ครั้งที่อีกฝ่ายไม่ยอมลดละ แม้เราจะพูดออกไปตรงๆ ว่าไม่สนใจ หรือแสดงออกว่าไม่สบายใจขนาดไหนเมื่อพวกเขาเข้าหาเราแบบนี้ การกระทำของพวกเขายังค่อยๆ ละเมิดเราเข้ามาเรื่อยๆ แต่นั่นยังแย่ไม่พอ เพราะเมื่อเราพูดเรื่องนี้ออกไปให้คนรอบข้างฟัง เสียงที่สะท้อนกลับมายังเป็นการกล่าวโทษว่า ก็เพราะเราเป็นคนที่เปิดให้โอกาสนั้นเกิดขึ้นเองแต่แรก ทั้งหมดนี้ทำเราอดที่จะตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า ต่อไปนี้เรายังควรใจดีกับใครอยู่อีกอย่างนั้นเหรอ?

ทำไมหลายๆ คนมองการกระทำปกติทั่วไปของเราผิดว่าเป็นการมีใจให้? แล้วทำไมเมื่อเกิดเหตุเช่นนั้น เรามักเป็นคนถูกกล่าวโทษอยู่บ่อยครั้งทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย? งั้นเราอาจต้องเริ่มจากการมองไปยังความเข้าใจผิดเหล่านั้นว่ามันคืออะไร ผ่านคำว่า Sexual Overperception Bias

หนึ่งในสิ่งที่มาคู่กับการมองโลกของมนุษย์คือ อคติ (Bias) เราแต่ละคนมองโลกใบเดียวกันด้วยสายตาที่ต่างกันออกไปเสมอ ความแตกต่างอาจจะมาจากประสบการณ์ การเลี้ยงดู ความเชื่อ ฯลฯ และหนึ่งในอคติที่เกี่ยวข้องกับประเด็นของเราคือ Sexual Overperception Bias การคาดคะเนความต้องการทางเพศของผู้อื่นที่คลาดเคลื่อน ด้วยเชื่อว่าบุคคลคนนั้นมีความต้องการทางเพศต่อเรามากกว่าที่เขามีจริงๆ

ทฤษฎีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ Error management theory (EMT) พัฒนาโดยเดวิด บุส (David Buss) และมาร์ตี้ แฮสเซิลตัน (Martie Haselton) นักจิตวิทยาวิวัฒนาการ มหาวิทยาลัยเท็กซัส และศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียร์ตามลำดับ ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวพูดเกี่ยวกับวิธีที่มนุษย์ ‘สร้าง’ อคติของตัวเอง ผ่านการตวงวัดข้อดีข้อเสียของผลกระทบจากการตัดสินใจของพวกเขา

แฮสเซิลตันวาดภาพการตวงวัดนี้ ผ่านการอุปมาตัดสินใจสักอย่างหนึ่งกับการสร้างเครื่องตรวจจับควัน เธอพูดว่าให้เราลองนึกภาพผลกระทบหากเครื่องตรวจควันไฟไม่เจอนั้น จะนำไปยังการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ ในขณะที่ผลของการเกิดสัญญาณผิดพลาดจากการตรวจพบควันที่น้อยเกินจะเกิดไฟไหม้ จะนำไปสู่ความน่ารำคาญใจเท่านั้น เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว วิธีที่ผู้ผลิตเครื่องตรวจจับควันสร้างพวกมันขึ้นมาเอนเอียงไปสู่การสร้างเครื่องที่ไวต่อควันเกินไป มากกว่าการตรวจจับที่ไม่ไวพอ

จากแนวคิดของแฮสเซิลตัน เราจะเห็นว่าการมองผิดพลาดของ EMT นั้นมีอยู่ 2 แบบ นั่นคือ

Type I Error – False Positive - การมองบางอย่างแล้วคิดเกินไป Type II Error – False Negative - การมองบางอย่างแล้วคิดว่าไม่มีอะไรเกินไป

เดาได้ไม่ยากว่า Sexual Overperception Bias อยู่ในหมวดของ False Positive อย่างแน่นอน ซึ่งการยึดโยงมันเข้ากับ EMT นี้ก็ไม่ใช่การทึกทักไปเอง เพราะหากจะพูดให้ถูก ในแง่หนึ่ง EMT ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อศึกษา Sexual Overperception Bias เลยด้วยซ้ำ

มีหลากหลายการทดลองและงานวิจัยเกี่ยวข้องกับทฤษฎี Sexual Overperception Bias ในขณะที่มันยังเป็นทฤษฎีที่อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่งานวิจัยจำนวนมากมีร่วมกันนั้นคือ กลุ่มตัวอย่างผู้หญิงมักรายงานว่า พฤติกรรมของพวกเขาถูกตีความพลาดแบบ False Positive จากผู้ชายบ่อยครั้งกว่าแบบ False Negative และเมื่อกลับไปมองยังการรายงานของกลุ่มตัวอย่างผู้ชาย ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม ทำไมกัน?

ในหัวข้อตัวอย่างและหลักฐานของแฮสเซิลตัน เธอเล่าว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ติดตัวมาจากวิวัฒนาการ “การไม่อาจตรวจพบความต้องการทางเพศจากผู้หญิงได้ นำไปสู่ความล้มเหลวในการสืบพันธุ์ ซึ่งเป็นค่าที่สูง (สำหรับผู้ชายยุคดึกดำบรรพ์) แต่ผลลัพธ์ทางตรงข้ามเป็นเพียงเรื่องน่าอาย” แล้วอธิบายต่อว่าถึงแม้ผู้หญิงเองจะมีสัญชาตญาณในการสืบพันธุ์ การชั่งน้ำหนักก็ต่างออกไป เนื่องจากผู้หญิงจำเป็นต้องลงแรงกับลูก ซึ่งเป็นผลิตผลของการสืบพันธุ์มากกว่าผู้ชาย และการคิดเช่นนั้นยังคงตกทอดมาในดีเอ็นเอของพวกเรา เพราะแม้ว่าโลกของเราจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนแล้ว เราคงยังพูดได้อยู่ว่าเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในระดับหนึ่ง (ใครบางคน) ยังอาจใช้อวัยวะเพศคิดกันอยู่

นอกจากเหตุผลทางวิวัฒนาการแล้ว ยังมีอีกหลายๆ งานวิจัยที่มองเห็นความเชื่อมโยงของอคติดังกล่าวเข้ากับอำนาจ หนึ่งในนั้นคือการรวบรวมงานวิจัย Sexual Overperception: Power, Mating Motives, and Biases in Social Judgment โดยโจนาธาน คุนส์แมน (Jonathan Kunstman) นักวิจัยจากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยไมอามี ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวข้องกับความเชื่อมโยงระหว่างอำนาจกับการล่วงละเมิดทางเพศ

คุนส์แมนรวบรวมงานวิจัย 4 งานออกมาแล้วกล่าวโดยสรุปว่า การมีอำนาจอยู่ในมือนั้นนำไปสู่การคาดการณ์ว่า ผู้ที่มีอำนาจต่ำกว่าจะต้องการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับตัวเอง แต่เป็นเช่นนั้นเฉพาะเมื่อเป้าหมายไปถึงการมีเพศสัมพันธ์ได้ นอกจากนั้นการมีอำนาจยังนำไปสู่ความต้องการจะมีเพศสัมพันธ์ และมีพฤติกรรมล่อแหลมของคนที่มีเป้าหมายทางเพศอยู่แล้ว” งานวิจัยปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า อำนาจสามารถทำให้เกิดการสังเกตการณ์ที่ผิดพลาดเกี่ยวกับความต้องการทางเพศของทั้งตัวเองและผู้อื่น ซึ่งความผิดพลาดเหล่านั้นก็ทำให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และไม่เป็นที่ต้องการได้” ผู้วิจัยเขียนปิดท้าย

มาถึงตรงนี้เราอาจเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับมุมมองรูปแบบนี้ สัญชาตญาณและอำนาจนำไปสู่มุมมองทางเพศที่บิดเบี้ยวได้ นั่นคือการพูดโดยกว้างที่สุด เพราะเมื่อเราพูดถึงคำว่า ‘อำนาจ’ ไม่ได้จำเป็นว่าเราจะหมายถึงอำนาจในตำแหน่งหน้าที่การงานเท่านั้น มันอาจหมายความถึงระดับอำนาจที่ผูกติดไว้กับเพศในสังคมชายเป็นใหญ่ อาจหมายถึงเพียงคนที่ไม่ได้มีอำนาจเหนือใครจริงๆ แต่เป็นเพียงใครสักคนที่วาดภาพตัวเองให้ใหญ่ เพื่อตอบสนองอีโก้ของตัวเขาเอง

ไม่ว่าเราจะกำลังพูดกันเกี่ยวกับอำนาจแบบใด แต่สิ่งที่จริงเกี่ยวกับเรื่องนี้คือใครสักคนที่ตกเป็นเหยื่ออย่างแน่นอน และที่แปลกที่สุดคือเหยื่อกลับกลายเป็นคนที่ถูกกล่าวโทษอยู่บ่อยๆ เสียด้วย

ในสังคมของเรา มุมมองต่อเหยื่อเป็นยังไง? มันเป็นเรื่องแย่พออยู่แล้วที่ใครสักคนจะต้องตกเป็นผู้ที่ถูกกระทำ แต่ในเวลาที่ผ่านมา หากเราลองสังเกตเสียงตอบรับเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรง โดยเฉพาะกรณีเรื่องเพศ เรามักเห็นการทึกทักว่าเหยื่อเป็นฝ่ายเริ่มก่อนในแง่ใดก็แง่หนึ่ง อาจจะพูดถึงการแต่งตัว การพาตัวเองไปในพื้นที่เสี่ยง การมีหน้าตาดีตามมาตรฐานความงาม หรือถ้าจะดึงมาให้ใกล้กับประเด็นที่เรากำลังคุยกันอยู่ บ้างก็ทึกทักว่าการยิ้มให้ การให้ของ หรือการทำดีด้วยเหล่านั้นเองเป็นการเปิดโอกาส ราวกับแทบจะพูดว่าแค่การมีอยู่ของคนคนหนึ่ง ก็เพียงพอจะเป็นสิ่งผิดที่ก่อเรื่องทั้งหมด

มุมมองดังกล่าวเป็นยิ่งกว่าการกล่าวโทษเหยื่อ เพราะในแง่หนึ่งมันคือการตั้งคำถามที่ไม่ควรถามว่า คนคนหนึ่งเป็นเหยื่อแน่หรือเปล่า ผ่านการหาค่าคุณสมบัติว่าต้องเป็นยังไงถึงจะดีพอที่จะถูกเห็นใจในฐานะเหยื่อได้? นั่นคือการส่งต่อความเชื่อผิดๆ ว่าในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าเหยื่อในอุดมคติ (Perfect Victim) ให้แก่เหยื่อทุกคนบนโลกต่อไปเรื่อยๆ

ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะต้องมองโลกยังไงดี? ถ้าเราทำสิ่งที่คิดว่าดีกับคนคนหนึ่งแล้วเขามีโอกาสจะมาคุกคามเรา และคนจำนวนมากยังมองว่าสิ่งที่เราทำนั่นแหละ คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมด เราจะยังอยากทำอะไรดีๆ อยู่อีกหรือเปล่า? เราจะยังเชื่อในความเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่ หากรู้ว่าวันหนึ่งเราทำดีกับใครไปแล้วอีกคนตีความผิด ก่อนที่จะกระทำสิ่งเลวร้ายใส่เรา ซ้ำร้ายเรายังกลายเป็นคนที่จะถูกกล่าวโทษด้วย?

เรากำลังอาศัยอยู่ในโลกแบบใด เราถึงจำเป็นจะต้องถามคำถามเหล่านี้?

อ้างอิงจาก

journals.sagepub.com

pubmed.ncbi.nlm.nih.gov

sciencedirect.com

sscnet.ucla.edu

Graphic Designer: Krittaporn Tochan
Proofreader: Taksaporn Koohakan

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...