ราชบัณฑิต ไขคำตอบ คำอวยพรปีใหม่ภาษาไทย มาจากไหน เริ่มเมื่อไหร่?
ราชบัณฑิต ไขคำตอบ คำอวยพรปีใหม่ภาษาไทย มาจากไหน เริ่มเมื่อไหร่?
เมื่อวันที่ 1 มกราคม สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ได้โพสต์เฟซบุ๊กกล่าวถึงที่มาและความหมายของ คำอวยพรปีใหม่ภาษาไทย ไว้ว่า
ตามประเพณีของไทยแต่เดิมมาถือว่าวันแรม 1 ค่ำเดือนอ้าย (ประมาณเดือนธันวาคม) เป็นวันขึ้นปีใหม่ ต่อมาประเพณีนี้ได้เปลี่ยนไปใช้วันขึ้น 1 ค่ำเดือนห้า (ประมาณเดือนเมษายน) เป็นวันขึ้นปีใหม่ เมื่อทางราชการไทยนิยมใช้สุริยคติ จึงได้ถือวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นต้นปีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2432
อย่างไรก็ตามประเทศอื่น ๆ นิยมใช้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นต้นปี ประเทศไทยจึงได้มีการตราพระราชบัญญัติปีปฎิทิน พุทธศักราช 2483 ให้ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ โดยได้มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2483 ให้ถือว่าวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2484 เป็นวันขึ้นปีใหม่
นับจากนั้นเป็นต้นมาก็เกิดประเพณีการเฉลิมฉลองปีใหม่ และอวยชัยให้พรกันในวันปีใหม่ เพื่อให้ชีวิตประสบแต่ความสุขความเจริญในปีใหม่ที่จะมาถึงทั้งปี คำทั่วไปที่นิยมใช้กันในโอกาสปีใหม่ก็คือ “สวัสดีปีใหม่”
คำว่า “อวย” มาจากภาษาเขมร แปลว่า “ให้” จึงถือกันว่าผู้ที่จะ “ให้พร” แก่ใครได้ย่อมต้องเป็นผู้มีอาวุโสมากกว่าหรือผู้มีอำนาจมากกว่าซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของผู้ “รับพร” ผู้ที่มีอาวุโสน้อยกว่าจึงเป็นฝ่าย “ขอพร” ถ้อยคำที่ผู้มีอาวุโสมากกว่าใช้จึงมักเริ่มต้นด้วยคำว่า “ขออวยพร/อำนวยพรให้ (ชื่อผู้รับพร) จงประสบแต่ความสุขความเจริญตลอดปีใหม่”
หรือกล่าวสั้น ๆ ว่า “ขอให้ (ชื่อผู้รับพร) จงประสบแต่ความสุขความเจริญตลอดปีใหม่” บางครั้งก็ระบุทั้งชื่อผู้รับพรและครอบครัวด้วย ในกรณีที่ผู้ให้พรอยากจะให้พรที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกก็มักจะขอพรจากผู้มีอำนาจเหนือกว่ามาให้อีกทีหนึ่ง จึงเกิดข้อความว่า “ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยจงดลบันดาลให้ (ผู้รับพร)…” และอาจจะเพิ่มข้อความให้ครอบคลุมผู้มีอำนาจหรือผู้ที่ผู้รับพรเคารพนับถือด้วยข้อความว่า “ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกจงดลบันดาลให้ (ผู้รับพร)…”
ที่มา : คำอวยพรปีใหม่ภาษาไทย โดย ดร.นิตยา กาญจนะวรรณ ราชบัณฑิตสำนักศิลปกรรม ประเภทวิชาวรรณศิลป์ สาขาวิชาภาษาไทย เขียน, ชลธิชา สุดมุข สรุป