โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ทองโกโบริ ไม่ได้ขุดพบที่เมืองกาญจน์ แต่ได้มาเพราะญี่ปุ่นใช้ “หนี้” ให้ไทย

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 18 พ.ย. เวลา 21.55 น. • เผยแพร่ 18 พ.ย. เวลา 21.47 น.
ภาพทหารญี่ปุ่นเคลื่อนกำลังพลผ่านป่าไปยังแม่น้ำแควเพื่อตั้งค่ายที่อาจเก็บ “ทองโกโบริ” (ภาพสเก๊ตช์โดยเชลยศึกอังกฤษ จากหนังสือ And The Dawn Came Up Like Thunder ของสะสม คุณไกรฤกษ์ นานา)

ทองโกโบริ ไม่ได้ขุดพบที่เมืองกาญจน์ แต่ได้มาเพราะญี่ปุ่นใช้ “หนี้” ให้ไทย

คนไทยส่วนหนึ่งเคยเชื่อและออกตามหา “ทองโกโบริ” ตลอดจนทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลของกองทัพญี่ปุ่น ที่ทหารญี่ปุ่นซุกซ่อนไว้ในถ้ำตามเส้นทางรถไฟสายมรณะ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482-2488) จะสิ้นสุดลง

ทองโกโบริ คือทองคำของกองทัพญี่ปุ่น หรือรัฐบาลญี่ปุ่น ที่คนไทยเรียกเช่นนั้น เพราะ “โกโบริ” เป็นชื่อทหารญี่ปุ่นที่มาประจำการในไทยช่วงสงคราม ซึ่งเป็นตัวละครและพระเอกในนิยาย/ละครเรื่อง “คู่กรรม”

ข่าวลือเรื่องของทองคำโกโบริมีเป็นระยะๆ แต่ที่เป็นข่าวใหญ่ครึกโครมขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ในประเทศไทยคือเมื่อ พ.ศ. 2538 ต่อเนื่องไปจนถึง พ.ศ. 2544 คำถามที่ว่า “ทองคำญี่ปุ่น” มีอยู่จริงหรือไม่ ได้กลับมาเป็นประเด็นให้ค้นหากันใหม่ หลังจากเงียบหายไปนานภายหลังสงครามยุติลง

เหตุที่เชื่อว่าทองคำถูกซุกซ่อนไว้ในเส้นทางรถไฟสายมรณะ เพราะลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเส้นทางที่อยู่บนไหล่เขาสูงชันผ่านป่าเขา แม่น้ำ และธารน้ำตก ตามไหล่เขาก็จะมีถ้ำใหญ่น้อยมากมายเรียงรายอยู่ สามารถเก็บซ่อนยุทธปัจจัยและวัสดุภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้ง “ทองคำ”

รวมกับข้อสันนิษฐานว่า ก่อนสิ้นสุดสงครามในกลางปี 2488 กองทัพญี่ปุ่นเริ่มตระหนักว่าพวกตนกำลังจะแพ้สงคราม จึงนำทองคำและทรัพย์สมบัติจำนวนมากเก็บซ่อนไว้ภายในถ้ำต่างๆ ตามเส้นทางของทางรถไฟสายนี้ แล้วค่อยมาขุดค้นภายหลัง ดีกว่าที่จะตกเป็นของฝ่ายข้าศึกผู้ชนะ

พื้นที่ตามหา “ทองโกโบริ” ที่สำคัญคือ “ถ้ำลิเจีย” ที่หมู่ 4 ตำบลปรังเผล อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี และป่าเขาในพื้นที่อำเภอไทรโยค อำเภอทองผาภูมิ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี

แต่หลังจากเดินหน้าขุดที่บริเวณ “ถ้ำลิเจีย” กว่า 10 จุด และจุดอื่นๆ อีกกว่า 50 จุด ไม่มีใครพบทองคำ

นายโอโตบิ โอตานิ อายุ 70 ปี อดีตหมอทหารของญี่ปุ่น ซึ่งประจำการที่ประเทศพม่าในช่วงสงคราม ที่แต่งงานสร้างครอบครัวในเมืองไทย กล่าวกับสื่อ เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2539 ว่า

“ขณะนั้นมีสภาพแย่มาก เรื่องนี้มีคนมาพูดกับผมว่าอาจจะมีทองแต่ผมเชื่อว่าไม่มี!!…เรื่องโบกี้ตู้รถไฟจะซุกทองคำนั้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะรถไฟถูกบอมบ์จนเสียหายหมด อาจมีซุกซ่อนหัวรถจักรไว้บ้างตอนกลางวัน เพื่อนำมาวิ่งตอนกลางคืน อาจจะมีหัวรถจักรซุกซ่อนบ้าง แต่เชื่อว่าไม่มีสมบัติ”

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2541 เจ้าหน้าที่เลขานุการประจำเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “เรื่องทองคำมหาศาลเชื่อว่าไม่มีจริง เพราะถ้าญี่ปุ่นมีทองคำมากมายขนาดนั้น เราคงไม่แพ้สงคราม เรื่องนี้เป็นความเชื่อของชาวบ้านที่เล่าๆ ต่อกันมา”

นายพล อาเคโตะ นากามูระ ผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา บันทึกไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติตอนหนึ่งว่า

“ปัญหาที่ต้องเร่งรีบแก้ไขข้อแรกคือปัญหาหนี้สินของกองทัพญี่ปุ่น เมื่อเริ่มสงครามมหาเอเชียบูรพาใหม่ๆ กองทัพญี่ปุ่นซึ่งเดินทัพผ่านประเทศไทยไปนั้นอย่างเช่นกองทัพที่ 25 ที่บุกเข้าไปในมลายาและกองทัพที่ 15 ที่บุกเข้าไปในพม่า กองกำลังเหล่านี้บุกแบบสายฟ้าแลบ เพราะฉะนั้นจึงค้างหนี้สินไว้มากพอสมควร เรื่องนี้ช่วยไม่ได้เพราะเป็นแผนยุทธการของกองทัพใหญ่ ซึ่งยังไม่มีกองกำลังบำรุงอย่างพร้อมเพรียงในตอนต้นสงคราม ข้าพเจ้าตัดสินใจว่าจะแก้ปัญหานี้โดยรีบด่วน…”

การยกทัพเข้าสู่สมรภูมิด้านต่างๆ เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกในเวลาเดียวกัน ทำให้การส่งกำลังบำรุง, การเตรียมค่าใช้จ่ายให้กองทัพในแนวหน้าไม่สามารถทำได้ทันท่วงที สถานการณ์ต่างๆ เป็นไปอย่างฉับพลัน ไม่มีการแจ้งล่วงหน้า บางครั้งการเข้าสู่สมรภูมิแบบ “ไปตายเอาดาบหน้า”

นั่นเป็นสาเหตุให้ญี่ปุ่น “กู้เงิน”

รัฐบาลญี่ปุ่นกู้เงินจากรัฐบาลไทย ระหว่าง พ.ศ. 2484-2488 รวมเวลา 4 ปี จำนวน 1,530,101,083 บาท เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งประจำอยู่ในประเทศไทย โดยตกลงจะชำระดอกเบี้ยให้ในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี และชำระเงินต้นคืนเป็นทองคำ โดยเทียบราคาทองคำ 1 กรัมบริสุทธิ์ ต่อ 3.06 บาท แต่ภายหลังญี่ปุ่นชำระเป็นเงินแทน

และเป็นที่มาของ “ทองโกโบริ” ในโลกความเป็นจริง

ภายหลังภัยจากลัทธิจักรวรรดินิยมญี่ปุ่นสมัยสงครามได้สิ้นสุดลงแล้ว ภัยของ “ลัทธิคอมมิวนิสต์” เข้ามาแทนที่ เป็นความหวาดกลัวของรัฐบาลโลกเสรี และแผ่ขยายเข้ามายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุค “สงครามเย็น”

สหรัฐอเมริกา หนึ่งในผู้นำโลกเสรีเวลานั้น มองหาพันธมิตรในพื้นที่มาเป็นตัวแทนฝ่ายโลกเสรี ที่จะช่วยต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ และคำตอบก็คือประเทศไทย เพราะท่าทีและนโยบายของรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม สอดคล้องกับฝ่ายโลกเสรี

ขณะนั้นสหรัฐอเมริกามีบทบาทควบคุมการยุติสงคราม และเฝ้าระวังการฟื้นตัวของญี่ปุ่นภายหลังสงคราม ตัดสินใจอนุมัติเงินคงคลังของญี่ปุ่นในรูปแบบทองคำแท่งใช้หนี้คืนให้กับรัฐบาลไทย จากการที่ญี่ปุ่นค้างชำระหนี้ไว้เป็นจำนวนมหาศาลก่อนหน้านั้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 2492

ประธานาธิบดี แฮร์รี เอส. ทรูแมน แห่งสหรัฐอเมริกา สั่งการให้ นายพล ดักลาส แมคอาร์เธอร์ ดูแลเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษ โดยได้ส่งอัครราชทูตพิเศษเข้ามาพบ จอมพล ป. เพื่อแจ้งข่าวดี ทองคำญี่ปุ่นจึงกลับคืนมายังรัฐบาลไทยอีกครั้งโดยสวัสดิภาพ

สำนักข่าวสารอเมริกัน (USIS – ยูซิส) รายงานข่าว เรื่อง “สหรัฐอเมริกาสั่งให้แมคอาร์เธอร์คืนทองแก่ไทย” ความตอนหนึ่งว่า

“…รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยสำเนาของคำสั่งฉบับหนึ่งซึ่งส่งไปยัง นายพล ดักลาส แมคอาร์เธอร์ เมื่อเดือนกันยายน เกี่ยวกับทองคำมีมูลค่า 43,700,000 ดอลลาร์ ซึ่งญี่ปุ่นเป็นหนี้ประเทศไทยและได้เปิดเผยสำเนาของถ้อยแถลงและการอภิปรายอื่นๆ เนื่องในกรณีของรัฐบาลสหรัฐและคณะกรรมาธิการตะวันออกไกล

รัฐบาลสหรัฐออกคำสั่งให้ ผบ. สูงสุดสัมพันธมิตรในโตเกียว (นายพล แมคอาร์เธอร์) ส่งทองคำมูลค่า 43,700,000 ดอลลาร์ ซึ่งญี่ปุ่นกำหนดจะจ่ายให้ประเทศไทยตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1941 [พ.ศ. 2484]ถึงเดือนกรกฎาคม 1945 [พ.ศ. 2488]เพื่อชดใช้ค่าข้าว ดีบุก ยาง และสินค้าอื่นๆ ที่ญี่ปุ่นซื้อจากประเทศไทย

…การศึกษาอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับบรรดาปัจจัยทางด้านกฎหมายและด้านอื่นๆ ได้ทำให้สหรัฐอเมริกาตระหนักว่า ‘ไม่มีข้อวินิจฉัยอันใดเลยที่จะให้ความเป็นธรรมต่อการปล่อยปละละเลยสิทธิในทรัพย์สมบัติของประเทศทั้งหลายที่เป็นเจ้าหนี้ญี่ปุ่น’

………..

บรรดาเจ้าหน้าที่ในคณะกรรมาธิการตะวันออกไกลชี้แจงว่าการคืนทองคำให้ไทยครั้งนี้จะไม่กระทบกระเทือนเศรษฐกิจญี่ปุ่น โดยที่ตั้งแต่แรกเริ่มมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายยึดครองมิได้ถือว่าทองคำที่ญี่ปุ่นกำหนดจะส่งให้ประเทศไทยนั้นเป็นสินทรัพย์อันชอบด้วยกฎหมายของญี่ปุ่น”

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเก็บความจาก ไกรฤกษ์ นานา. “หนี้สงครามที่ต้องชำระ “ทองคำโกโบริ” สมัย จอมพล ป.” ใน, ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนมกราคม 2563.

เผยแพร่ในระบบออนลไน์ครั้งแรกเมื่อ 25 มกราคม 2567

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ทองโกโบริ ไม่ได้ขุดพบที่เมืองกาญจน์ แต่ได้มาเพราะญี่ปุ่นใช้ “หนี้” ให้ไทย

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...