โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

เบอร์หนึ่งผู้ส่งออกข้าวไทย พยุงนาปรัง ต้องหา ‘บิ๊กออร์เดอร์’ จีน

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 14 มี.ค. เวลา 11.17 น. • เผยแพร่ 14 มี.ค. เวลา 23.14 น.
สมบัติ เฉลิมวุฒินันท์

สัมภาษณ์พิเศษ

ท่ามกลางราคาข้าวนาปรังที่ตกลงตั้งแต่ต้นฤดู จนส่งผลให้ สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ออกมาเคลื่อนไหวขอให้รัฐบาลกำหนดมาตรการช่วยเหลือข้าวนาปรัง ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน โดยสมาคมได้เรียกร้องขอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการประกันราคาข้าวเปลือกไม่ต่ำกว่าตันละ 12,000 บาท

ซึ่งคล้ายกับวิธีการช่วยเหลือราคาข้าวนาปีในรัฐบาลก่อนหน้านี้ ทว่า คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (กนข.) กลับมีมติกำหนดมาตรการช่วยเหลือเพียงมาตรการเดียว คือ การจ่ายเงินชดเชยเกษตรกรโดยตรงไร่ละ 1,000 บาท คนละไม่เกิน 10 ไร่ วงเงิน 2,867.23 ล้านบาท โดยจะจ่ายเงินโดยตรงแก่เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ปลูกข้าวนาปรัง พร้อมกับเร่งรัดให้เกษตรกรที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนสามารถขึ้นทะเบียนได้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568

โดยมีข้อน่าสังเกตว่า มาตรการช่วยเหลือราคาข้าวนาปรังครั้งนี้ ไม่ได้ใช้วิธี “ชะลอ” มิให้ข้าวเปลือกทยอยออกสู่ตลาดด้วยการให้สินเชื่อหรือเงินช่วยเหลือในการฝากเก็บข้าวเปลือกไว้ในสต๊อกของทั้งเอกชนและสถาบันเกษตรกร แต่รัฐบาลเลือกที่จะใช้วิธีการจ่ายเงินอุดหนุนโดยตรงให้กับชาวนา

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ส่งผลให้ข้าวนาปรังครอปนี้จะทะลักออกมามากที่สุดในเดือนมีนาคมต่อเดือนเมษายนนี้ โดยไม่มีทีท่าว่า ราคาข้าวเปลือกในตลาดจะปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่การส่งออกข้าวยังเป็นไปได้ช้า เนื่องจากไม่มี คำสั่งซื้อข้าวลอตใหญ่ ที่จะเข้ามาช่วยพยุงราคาข้าวในประเทศไว้ได้ “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ นายสมบัติ เฉลิมวุฒินันท์ ประธาน บริษัท เอเซีย โกลเด้นท์ไรซ์ จำกัด ผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของประเทศต่อมุมมองสถานการณ์ข้าวไทยในปีนี้

Q : สถานการณ์ข้าวในขณะนี้

เหนื่อยนะ ทั้งในเชิงปริมาณการส่งออกข้าวและราคา ปีนี้สต๊อกข้าวโลกก็ล้น ประกอบกับประเทศอินเดีย หันกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้ง หลังจากชะลอไป 2 ปี จากข้อเท็จจริงที่ว่า สต๊อกข้าวอินเดียก็ไม่ได้ล้นมากมายอะไร เพียงแต่ที่ผ่านมาอินเดียกังวลว่า ข้าวสาลีอาจจะขาด พอสถานการณ์ข้าวสาลีกลับมาปกติ อินเดียก็กลับมาส่งออกข้าวเหมือนเดิม ทีนี้พอประกาศว่าจะส่งออก มันก็เป็นผลทางจิตวิทยาต่อตลาดข้าวโลก จากที่ปกติส่งออกพีกสุด 22-23 ล้านตัน แล้วลดลงมาเหลือ 18 ล้านตัน เท่ากับหายไป 4 ล้านตัน พอกลับมาส่งออกอีกก็เท่ากับจะมีการ “เติมข้าว” เข้าไปในตลาดอีก 4 ล้านตัน มันก็มีผลนะ

ส่วนทางอินโดนีเซีย ใน 2 ปีที่ผ่านมาช่วงราคาข้าวขึ้นเคยนำเข้าข้าวปีละ 4 ล้านตัน ปีนี้มีการคาดการณ์จะนำเข้าข้าวเหลือแค่ 1 ล้านตัน เท่ากับดีมานด์หายไป 3 ล้านตัน ที่นำเข้าข้าวลดลงเป็นเพราะผลผลิตข้าวปีที่ผ่านมาดีมาก จาก 2 ปีที่แล้วที่ต้องเผชิญกับภาวะภัยแล้ง มาปี 2567 ฝนดีมาก ผลผลิตข้าวอินโดนีเซียก็เพิ่มขึ้น ดังนั้นการนำเข้าข้าวก็ลดลง เท่ากับตลาดอินโดนีเซียหายไป 2.5-3 ล้านตัน ทีนี้ขณะที่อินเดียบวกกลับเข้ามาอีก 4 ล้านตัน ก็เท่ากับเป็น “ดับเบิล” มันจึงมีผลต่อตลาดข้าวโลกอยู่ในตอนนี้

ฟิลิปปินส์ ที่เป็นตลาดนำเข้าข้าวที่สำคัญของไทย ผมมองว่าจะนำเข้าข้าวเป็นปกติ แต่ช่วง 1-2 เดือนนี้ชะลอการนำเข้าลงไป ก็เพราะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าว ต้องรอให้เก็บเกี่ยวหมดก่อนจึงจะรู้ปริมาณผลผลิตข้าวของฟิลิปปินส์ ประกอบกับต่อไป ฟิลิปปินส์ก็จะมีการเลือกตั้งด้วย

ดังนั้นในทางการเมืองจึงต้องดูแลราคาข้าวภายในประเทศ จึงมีการชะลอการนำเข้าข้าวลง ส่วนตลาดข้าวแอฟริกา ซึ่งก็เป็นตลาดส่งออกข้าวสำคัญของไทยอย่าง ประเทศเซเนกัล ในปีที่ผ่านมาประสบปัญหาในเรื่องของการจ่ายเงินค่าข้าวที่ขายข้าวผ่านโบรกเกอร์ ทำให้แบงก์ไม่ปล่อยเครดิตให้กับผู้ขายก็กลายเป็นความเสี่ยง การขายข้าวไทยไปตลาดนี้โดยตรงก็เสี่ยงจาก 2 ปัจจัย คือ ทั้งการดูแลข้าวในสต๊อก กับค่าเงินแต่ละประเทศผันผวนมาก ขึ้นลงวันละ 20% ก็มี ดังนั้นการส่งออกข้าวไปตลาดนี้จึงลดลง

แต่สุดท้ายแล้ว ผมมองว่ายังไงผู้ซื้อข้าวส่งไปตลาดแอฟริกาก็ต้องกลับมา แต่สถานการณ์มันเปลี่ยน เพราะไทยไม่ได้ขายข้าวอยู่คนเดียว ตอนนี้อินเดียเขาก็กลับมาขายข้าวแล้วกลายเป็นตัวเลือก ถ้าอินเดียเสนอขายข้าวราคาถูกกว่าข้าวไทยแยะ ๆ ผู้ซื้อเขาก็ต้องหันไปซื้อข้าวอินเดีย แทนที่จะมาติดต่อซื้อข้าวไทย

Q : แต่เวียดนามยังเป็นคู่แข่งอยู่

จริง ๆ วันนี้ไม่ใช่แล้วนะ ข้าวไทยไม่ได้เป็นคู่แข่งข้าวเวียดนามแล้ว เพราะวันนี้เวียดนามขยับขึ้นไปทำข้าวคุณภาพสูงขึ้น เขาขยับขึ้นไปอีกขั้นแล้ว อย่าง ตลาดข้าวนิ่ม ในประเทศผู้นำเข้าข้าวอย่าง อินโดนีเซีย-ฟิลิปปินส์ แม้กระทั่งฮ่องกง-สิงคโปร์ ผมอยากบอกว่า ข้าวเวียดนามครองตลาดไปหมดแล้วและขายได้ราคาดีด้วย เพราะเวียดนามทำข้าว Top Grade กว่าข้าวไทย พันธุ์ข้าวก็ดีกว่า คุณภาพดีกว่า หลังจากที่ทุ่มเงินลงทุนด้านการทำวิจัยมาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 20 ปี

ผมยกตัวอย่าง พันธุ์ข้าว ST พัฒนาพันธุ์ไปจากข้าวบาสมาติ ซึ่งเป็นข้าวพื้นแข็งปรับให้เป็นข้าวนุ่ม เขาทำตั้งแต่ ST-15 มาวันนี้พัฒนาไปถึง ST 25-26 (ปี 2566 ข้าวหอม ST 25 หรือ Gao Ong Cus ได้รับรางวัลที่ 1 ข้าวที่ดีที่สุดในโลก) ผลผลิตข้าวเวียดนามต่อไร่ก็สูง (1 ไร่ 1,000 กก.ขึ้น) ขณะที่พื้นที่ปลูกข้าวในภาคอีสานของเราเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะพื้นที่ติดแหล่งน้ำหรือระบบชลประทานจากเขื่อนหลัก ๆ อย่างลำปาว-อุบลรัตน์-สิรินธร ซึ่งเคยเป็นพื้นที่สำคัญในการปลูกข้าวหอมมะลิ มาวันนี้ปรากฏชาวนาอีสานหันไปปลูกข้าวนาปรังกันเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้พื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิค่อย ๆ ลดลง และนับวันจะหายไปเรื่อย ๆ

สังเกตดูจะเห็นว่า ราคาข้าวนาปรังวันนี้จากตันละ 20,000 บาท แม้จะลดลงเหลือตันละ 13,000 บาท ก็มีผลผลิตข้าวนาปรังเพิ่มขึ้น ต่างจากข้าวหอมมะลิตันละ 30,000 บาท นั่นหมายความว่า Supply ข้าวหอมมะลิมันไม่ได้มาก ไม่ได้ล้น ราคาจึงดี แต่ถึงจะดีอย่างไร ชาวนาก็อาจจะไม่ต้องการปลูก ถ้ายังทำนาปรังได้จากระบบชลประทานเพราะอะไร ปลูกข้าวหอมมะลิแม้จะได้ราคาเกวียนละ 15,000 บาท ผลผลิตต่อไร่ 400 กก. แต่ข้าวนาปรังปลูกได้ผลผลิตต่อไร่ 800-900 กก. รัฐอุดหนุนจ่ายเงินโดยตรงอีกก็ได้ร่วม 10,000 บาท ยังไงเก็บเงินจากการขายข้าวได้มากกว่า แถมยังปลูกได้ 2 รอบด้วย

Q : จะทำอย่างไรให้ราคาข้าวเปลือกขึ้น

ต้องถามว่า จะพยุงราคาข้าวเปลือกต่อจากนี้ไปได้อย่างไรมากกว่า ในประเด็นนี้ผมมีความเห็นว่า ต้องเดินสายไปคุยกับประเทศผู้ซื้อข้าวไทยรายใหญ่อย่าง จีน-บังกลาเทศ-อินโดนีเซีย ทำอย่างไรให้เขากลับมาซื้อข้าวไทย ด้วยราคาข้าวไทยที่อยู่ในระดับนี้ ผมว่าผู้ซื้อรับได้ อย่างจีน หรือ COFCO ต้องไปเจรจาขอให้ช่วยซื้อข้าวไทยในช่วงนี้ เพราะเรายังมี G to G กับรัฐบาลจีนเหลืออยู่ 280,000 ตัน (ครั้งสุดท้ายขายข้าวขาว 5% G to G ไป 20,000 ตันในปี 2564 จากปริมาณข้าว G to G ทั้งหมด 1 ล้านตัน ขายไปแล้ว 8 ลอต ลอตละ 100,000 ตัน)

หรือต้องเปิดการเจรจาขายข้าวให้กับอินโดนีเซีย ในอดีตก็เคยมีการเซ็น MOU กันไว้ปีละ 1 ล้านตัน ซึ่งล่าสุดอินโดนีเซียซื้อข้าวไทยแบบ G to G ปริมาณ 55,000 ตัน สมัยนายภูมิธรรม เวชยชัย เราก็เคยเจรจาขายข้าวได้มาแล้ว บังกลาเทศก็เป็นตลาดเป้าหมาย ทุกตลาดต้องจัดคณะผู้แทนไปเจรจาแบบเคาะประตูบ้านเขาเลย ถ้าสามารถเจรจาขายข้าวทั้ง 3 ตลาดนี้ได้ ผมเชื่อว่าจะสามารถพยุงราคาข้าวเปลือกในประเทศได้ รวมไปถึงการเดินสายขายข้าวในอนาคตด้วย

Q : ราคาข้าวเปลือกจะตกต่ำลงกว่านี้หรือไม่

ผมว่าราคาข้าวเปลือกอาจมีโอกาสต่ำกว่านี้ไปได้น้อยมาก เพราะถ้าข้าวราคาต่ำลงไปกว่านี้ ชาวนาอยู่ไม่ได้แน่ วันนี้โรงสีก็ท้องว่าง พร้อมที่จะซื้อข้าวเข้าเก็บ ผู้ส่งออกส่วนใหญ่ก็ท้องว่างค่อนข้างมาก ดังนั้นราคาข้าวเปลือกจะต่ำกว่านี้ไปก็คงไม่มาก ถ้าจะต่ำลงมาก็เป็นช่วงสั้น ๆ

แต่ปัจจัยที่จะทำให้ราคาข้าวหวนกลับขึ้นมา ผมก็ยังมองไม่ออกเหมือนกัน ดังนั้นราคาข้าวเปลือกก็จะยังคงป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ไปอีกสักพักใหญ่ ๆ ข้าวเวียดนามขณะนี้ก็พีกสุดแล้ว สิ่งที่จะต้องติดตามต่อไปก็คือ ตลาดข้าวอินโดนีเซียหลังเก็บเกี่ยวแล้วจะมีปริมาณผลผลิตเท่าไหร่ ประเทศอินเดียจะ Dump ราคาข้าวในตลาดลงมาอีกหรือไม่ หรือราคาข้าวอินเดียขนาดนี้ต่ำสุดแล้ว ข้าวจะขึ้นจะลงตอนนี้ต้องดูที่อินเดียเป็นหลัก

ราคาข้าวเวียดนามก็น่าจะอยู่ในระดับนี้ โดยข้าวขาวเวียดนามจะถูกกว่าข้าวขาวไทยนิดหนึ่ง ใกล้ ๆ 390 เหรียญ/ตัน ข้าวคุณภาพสูงประมาณ 460-470 เหรียญ ขณะที่ข้าวขาวไทยประมาณ 400 นิด ๆ ก็ห่างกันประมาณ 10 เหรียญ เรียกว่าเรายังพอแข่งขันได้ (เวียดนาม ข้าว 5% ราคา 385-390 เหรียญ/ตัน ข้าว 25% ราคา 355-360 เหรียญ/ตัน ปลายข้าว 305-310 เหรียญ/ตัน, ข้าวอินเดีย ข้าว 5% ราคา 390 เหรียญ ข้าว 25% ราคา 375 เหรียญ ข้าวนึ่ง 405-408 เหรียญ ปลายข้าว 320-330 เหรียญ/ตัน และข้าวไทย ข้าว 5% ราคา 402-408 เหรียญ ข้าวนึ่ง 425 เหรียญ ปลายข้าว 345-350 เหรียญ/ตัน)

ยังมีสิ่งที่น่ากังวลอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ปีนี้ฝนดี น้ำดี เพราะเป็นปี “ลานีญา” ดังนั้นเมื่อชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังแล้วก็จะปลูกข้าวต่อในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ซึ่งผลผลิตครอปย่อยนี้จะออกสู่ตลาดอีกครั้งในระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เรียกว่าครอปย่อยที่แทรกเข้ามา ซึ่งในขณะนี้ยังไม่รู้ว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ดังนั้นจะต้องมีการรับมือผลผลิตข้าวในส่วนนี้ด้วย

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เบอร์หนึ่งผู้ส่งออกข้าวไทย พยุงนาปรัง ต้องหา ‘บิ๊กออร์เดอร์’ จีน

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...