โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

อสังหาริมทรัพย์

ส่องท็อป 15 จังหวัด อสังหาฯบูมสุด เมืองท่องเที่ยวรุ่ง อีสาน-เมืองชายแดนแอบเฉา

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 12 มี.ค. เวลา 11.40 น. • เผยแพร่ 12 มี.ค. เวลา 23.39 น.

เทศกาลสถิติเก่าไป สถิติใหม่มาแทน ล่าสุด เป็นคิวของการอัพเดตสถิติ 15 จังหวัดในรอบ 31 ปี (ยกเว้นกรุงเทพฯ-ปริมณฑล) ที่มีขนาดตลาดโครงการจัดสรร ทั้งประเภทหมู่บ้านจัดสรร และโครงการคอนโดมิเนียม โดยเรียงลำดับตามมูลค่าโครงการที่ดีเวลอปเปอร์ทั้งรายใหญ่-รายกลาง-รายเล็ก มีการเปิดขายโครงการ (ดูกราฟิกประกอบ)

“ชลบุรี-ภูเก็ต-ระยอง” ยืนหัวแถว

ข่าวล่ามาเร็วโดย “ดร.โสภณ พรโชคชัย” ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA นำเสนอผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยระหว่างปี 2537-2567 ซึ่งภาคปฏิบัติมีการลงสำรวจพื้นที่จำนวน 40 จังหวัดด้วยกัน อย่างไรก็ตาม จุดเน้นคือต่างจังหวัดทั่วไทยมีการลงทุนหมู่บ้านจัดสรรและคอนโดฯ โดยดีเวลอปเปอร์ทุนท้องถิ่นในทุกจังหวัด แต่อาจจะมีขนาดตลาดเล็กเกินไป ในที่นี้จึงได้คัด 15 จังหวัดที่มีความโดดเด่น หรือมีขนาดตลาดมากเพียงพอที่จะทำการสำรวจ หรือมีขนาดตลาดเกิน 5,000 ล้านบาท/ปี ดังนี้

อันดับ 1 “ชลบุรี” ข้อมูล ณ ปี 2567 มีมูลค่ารวม 159,738 ล้านบาท หรือ 4,698 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีหน่วยเหลือขาย 45,470 หน่วย สัดส่วน 15% ของหน่วยเหลือขายในภาพรวม ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3.513 บาท หรือ 103,325 เหรียญสหรัฐ เหตุผลเพราะชลบุรีมีการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยรองจากกรุงเทพฯ เพราะเป็นจังหวัดหลักในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC และเป็นจังหวัดที่มีการลงทุนมากเป็นพิเศษ

อันดับ 2 “ภูเก็ต” ไข่มุกอันดามันที่เป็นทั้งทัวริสต์เดสติเนชั่น และพร็อพเพอร์ตี้เดสติเนชั่นระดับโลก รวมมูลค่าโครงการที่ 142,796 ล้านบาท หรือ 4,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หน่วยรอขาย 11,607 หน่วย สัดส่วน 15% ราคาเฉลี่ย 12.303 ล้านบาท หรือ 361,840 เหรียญสหรัฐ ซึ่งจะเห็นว่าราคาเฉลี่ยต่อหน่วยในภูเก็ตขายสูงกว่าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ที่ขายในราคาเฉลี่ย 5.293 ล้านบาท หรือ 155,676 เหรียญสหรัฐ

อันดับ 3 “ระยอง” ขนาดตลาดมูลค่า 58,563 ล้านบาท หรือ 1,722 ล้านเหรียญสหรัฐ จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยรอขาย 23,092 หน่วย สัดส่วน 25% ราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.536 ล้านบาท หรือ 74,590 เหรียญสหรัฐ ซึ่งหากโฟกัสโซน EEC พบว่าระยองเติบโตเคียงคู่ชลบุรี ทั้งภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว รวมทั้งมีรีสอร์ตตามพื้นที่เนินเขาต่าง ๆ อีกด้วย

อันดับ 4 “เชียงใหม่” มีมูลค่าตลาด 54,218 ล้านบาท หรือ 1,595 ล้านเหรียญสหรัฐ มีหน่วยเหลือขาย 11,900 หน่วย ราคาเฉลี่ย 4.556 ล้านบาท สัดส่วน 14% แสดงให้เห็นว่ามีอัตราการขายได้เร็วพอสมควรเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ๆ ซึ่งนอกจากเป็นเมืองเดสติเนชั่นด้านการท่องเที่ยวแล้ว ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองหลวงด้านอสังหาริมทรัพย์ในภาคเหนือของไทยอีกด้วย

อันดับ 5 “ชะอำ-หัวหิน” ซึ่งจริง ๆ ก็คือ เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ มีมูลค่าตลาด 41,382 ล้านบาท หรือ 1,217 ล้านเหรียญสหรัฐ มีหน่วยเหลือขาย 8,134 หน่วย ราคาเฉลี่ย 5.088 ล้านบาท สัดส่วน 20%

ทั้งนี้ ในภาพรวมของท็อป 15 จังหวัดที่มีขนาดตลาดโครงการที่อยู่อาศัยใหญ่ที่สุดนั้น สแกนลงรายละเอียดพบว่า อยู่ในเขตภาคหนือ 3 จังหวัด คือ “เชียงใหม่-เชียงราย-พิษณุโลก”, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 จังหวัด “โคราช-ขอนแก่น-อุดรธานี-อุบลราชธานี” ภาคกลาง 1 จังหวัด “พระนครศรีอยุธยา”, ภาคใต้ 3 จังหวัด “ภูเก็ต-หาดใหญ่ (สงขลา)-สุราษฎร์ธานี”, ภาคตะวันตก 1 โซน “ชะอำ-หัวหิน” และโซน EEC 3 จังหวัด “ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-ระยอง”

ส่อง 6 เทรนด์ไปต่อหรือพอแค่นี้

ทั้งนี้ “ดร.โสภณ” ประเมินด้วยว่า เทรนด์การเปลี่ยนแปลงในอนาคตของตลาดที่อยู่อาศัยใน 15 จังหวัดดังกล่าว มีอย่างน้อย 5 เทรนด์หลักด้วยกัน ดังนี้

1.“ภาคตะวันออก” ที่อยู่อาศัยสำหรับคนทำงานหรือผู้อยู่อาศัยในพื้นที่โซน EEC มีแนวโน้มจะลดลง เนื่องจากโรงงานญี่ปุ่นและเกาหลีคาดว่ามีโอกาสทยอยย้ายออก ส่วนโรงงานจีนอาจไม่ได้ใช้แรงงานมากนัก โดยมีการใช้หุ่นยนต์เป็นหลักในการผลิต ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวคงยังเติบโตเหมือนเดิม

2.“ภาคใต้” ในทำนองเดียวกัน ที่อยู่อาศัยในเขตตัวเมืองจังหวัดภูเก็ต ซึ่งรองรับดีมานด์การซื้อของลูกค้าคนไทยอาจไม่เติบโตมากนัก แต่ทำเลที่มีแนวโน้มการเติบโตจริง ๆ เป็นทำเลที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติที่อยู่ตามริมหาดหรือตามไหล่เขา รูปแบบโครงการมีทั้งโครงการพูลวิลล่าและรีสอร์ตสำหรับการพักผ่อน ส่วนที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีโอกาสเติบโตได้อีกมากในกรณีปัญหาความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหลัก รวมทั้งตลาดสุราษฎร์ธานี (จุดโฟกัสที่เกาะสมุย) ก็มีโอกาสเติบโตสูงมากเช่นกัน

3.“ภาคเหนือ” ยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่เนื่องจากปัญหาเรื่องฝุ่นควัน PM 2.5 อาจเป็นอุปสรรคทำให้การเติบโตช้ากว่าปกติ

4.“ภาคอีสาน” เป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีการเติบโตค่อนข้างช้า ยกเว้นจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นประตูสู่ภาคอีสาน ทำให้ได้รับอานิสงส์ของจุดที่ตั้ง รวมทั้งมีแม็กเนตจากพื้นที่ท่องเที่ยวเมืองหนาวใกล้กรุงเทพฯ อย่างเขาใหญ่ ทำให้เป็นพื้นที่ที่ยังเติบโตมากกว่าจังหวัดอื่นมาก

5.“เมืองชายแดน” ประกอบด้วย อำเภอแม่สาย และอำเภอแม่สอด จ.ตาก, หนองคาย มุกดาหาร สระแก้ว ปัจจุบันตลาดยังเติบโตไม่มาก อาจเป็นเพราะโครงการพัฒนาเมืองชายแดนตามนโยบายของรัฐบาลยังไม่มีผลกระทบที่นำมาสู่การดึงดูดการลงทุนจากนอกพื้นที่มากนัก ตลาดที่อยู่อาศัยซึ่งตามปกติจะมีการลงทุนและการเติบโตที่ล้อไปกับการมีแหล่งจ้างงาน แหล่งสถานศึกษา แหล่งใช้ชีวิต ฯลฯ จึงไม่บูมเท่าที่ควร

และ 6.“เมืองท่องเที่ยว” เทรนด์ที่ชัดเจนเป็นโอกาสของหัวเมืองท่องเที่ยวหลัก จุดโฟกัสครบทุกทำเลทั้ง “ภูเก็ต สมุย พัทยา ชะอำ-หัวหิน” เทรนด์จะเติบโตได้มากกว่าจังหวัดภูมิภาคอื่น ๆ เพราะรับอานิสงส์ทางตรงจากภาคการท่องเที่ยวนั่นเอง

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ส่องท็อป 15 จังหวัด อสังหาฯบูมสุด เมืองท่องเที่ยวรุ่ง อีสาน-เมืองชายแดนแอบเฉา

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...