จีนใช้ “แร่หายาก” เป็นอาวุธการค้ารอบใหม่ ตอบโต้ทรัมป์ ประกาศจำกัดการส่งออกแร่ 7 ชนิด
จีนใช้ "แร่หายาก" เป็นอาวุธการค้ารอบใหม่ ตอบโต้ทรัมป์ ประกาศจำกัดการส่งออกแร่ 7 ชนิด ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
วันที่ 7 เมษายน 2568 เวลา 10.39 น. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จีนได้ขยายการใช้ “แร่หายาก” (rare earths) เป็นเครื่องมือตอบโต้ทางการค้า โดยประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายาก 7 ชนิด ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเป็นการตอบโต้ต่อมาตรการภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
กระทรวงพาณิชย์จีน ระบุเมื่อวันที่ 4 เม.ย.68 ว่า การควบคุมครั้งนี้ครอบคลุมแร่หายาก 7 ชนิด ได้แก่ ซามาเรียม (Samarium) แกโดลิเนียม (Gadolinium) เทอร์เบียม (Terbium) ดิสโพรเซียม (Dysprosium) ลูทีเชียม (Lutetium) สแกนเดียม (Scandium) และอิตเทรียม (Yttrium)
อย่างไรก็ตาม แร่หายากยอดนิยมอย่าง นีโอไดเมียม (Neodymium) และ พราเซโอไดเมียม (Praseodymium) ซึ่งใช้ผลิตแม่เหล็กประสิทธิภาพสูง ยังไม่อยู่ในรายชื่อควบคุม โดยนักวิชาการระบุว่า จีนอาจตั้งใจเว้นไว้เพื่อใช้เป็น “ไพ่ต่อรอง” ในอนาคต**
จีนไม่ได้ออกคำสั่งห้ามส่งออกโดยสิ้นเชิง แต่การส่งออกแร่หายากจากนี้จะต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดมากขึ้น โดยพิจารณา“ใครเป็นผู้ซื้อ” และ “ซื้อไปเพื่ออะไร” ทำให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องต้องเข้าสู่กระบวนการรับรอง (certification) ใหม่ ซึ่งเคยส่งผลให้ปริมาณส่งออกโลหะอื่น ๆ ดิ่งลงจนเหลือศูนย์ในอดีต
โดยข่าวการควบคุมส่งออกส่งผลให้หุ้นกลุ่มแร่หายากพุ่งขึ้นทันทีในวันที่ 7 เม.ย.68 China Rare Earth Holdings Ltd. พุ่งสูงสุดถึง 10% China Northern Rare Earth Group เพิ่มขึ้น 9.2% และ Lynas Rare Earths Ltd. จากออสเตรเลีย เพิ่มขึ้น 5.1%
ข้อมูลจาก US Geological Survey ระบุว่า จีนผลิตแร่หายากถึง 70% ของปริมาณทั้งหมดในโลก และการควบคุมส่งออกครั้งนี้อาจกระทบห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าจากจีนเป็นหลัก เช่น สหรัฐ และญี่ปุ่น
นักวิเคราะห์จาก Citic Securities ชี้ว่า “นโยบายใหม่นี้ไม่เพียงส่งเสริมความมั่นคงแห่งชาติของจีน แต่ยังเพิ่มมูลค่าทางยุทธศาสตร์ของการลงทุนในห่วงโซ่อุตสาหกรรมแร่หายากของจีนอีกด้วย”
แม้ว่าสมาคมอุตสาหกรรมโลหะนอกกลุ่มเหล็กของจีนจะยืนยันว่ามาตรการควบคุมนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกที่ดำเนินกิจการตามปกติ ตราบใดที่บริษัทเหล่านั้นไม่กระทบต่ออธิปไตยหรือผลประโยชน์ของจีน
กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่าการออกมาตรการควบคุมครั้งนี้เป็นไปตามหลัก “dual-use” หรือการควบคุมสินค้าที่มีทั้งการใช้ในพลเรือนและทางทหาร เพื่อผลประโยชน์ของความมั่นคงแห่งชาติ เสถียรภาพภูมิภาค และสันติภาพโลก
ทั้งนี้การควบคุมส่งออกแร่หายากของจีนครั้งนี้อาจไม่ใช่แค่การตอบโต้ทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นกลยุทธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สามารถเปลี่ยนทิศทางห่วงโซ่อุปทานโลก โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง อาวุธ และพลังงานสะอาด Bloomberg Economics วิเคราะห์ว่า“ภาษีรอบล่าสุดของสหรัฐอาจได้ผลตรงที่ทำให้จีนตอบโต้ด้วยมาตรการที่สะเทือนเศรษฐกิจจริง” และคำกล่าวที่ว่า “การตอบโต้ที่ดีที่สุดในสงครามการค้า คือการไม่ตอบโต้” อาจใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
อ้างอิง : bloomberg.com