โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

อาชญากรรม

น้องสาวแจ้งตำรวจหลังพี่สาวเอาพ่อแม่กักตัวในบ้านเช่านาน 3 เดือน อ้างหวังฮุบมรดกที่ดิน 30 ล้านบาท

ข่าวเวิร์คพอยท์ 23

อัพเดต 05 ก.พ. เวลา 07.12 น. • เผยแพร่ 05 ก.พ. เวลา 07.12 น. • ข่าวเวิร์คพอยท์

(5 ก.พ.68) นางกุลิสรา หรือแพรว อายุ 46 ปี เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทลุง โดยกล่าวหาว่า นางกีรติ หรือ ปิง พี่สาว อายุ 50 ปี เอาพ่อแม่ไปกักขังไว้ในบ้านเช่า นานกว่า 3 เดือน โดยไม่บอกให้ตนเองทราบ พร้อมทั้งไม่บอกญาติให้รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน จนกระทั่งเธอกลับมาจากต่างประเทศ และได้สืบทราบว่าพี่สาวนำพ่อและแม่ไปขังไว้บริเวณอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในตัวเมืองพัทลุง จึงเข้าแจ้งตำรวจ ขอความช่วยเหลือพ่อแม่ให้ตนเองกลับมาเลี้ยงดู เนื่องจากแม่ป่วยติดเตียง พ่อกล้ามเนื้ออ่อนแรง เกรงจะไม่ปลอดภัย

โดย นางกุลิสรา หรือแพรว อายุ 46 ปี เล่าว่า เป็นเรื่องในครอบครัว พี่สาวเอาพ่อกับแม่ไปไว้บ้านเช่า โดยไม่ได้แจ้งให้ทราบ เพราะมีปัญหาเรื่องมรดกกัน โดยก่อนหน้านี้ตนเองเคยไปแจ้งความพี่สาวไว้ เนื่องจากให้แม่กินยาจิตเวชโดยที่หมอไม่ได้สั่ง พอตนเองกลับไปต่างประเทศ พี่สาวก็มาแย่งตัวพ่อแม่ออกไปจากบ้าน พร้อมทั้งไปค้นโฉนดที่ดินและจะให้พ่อโอนที่ดินให้เขาตอนนั้น

แต่พ่อไม่โอนให้ เนื่องจากที่ดินที่พี่สาวจะเอานั้น พ่อได้โอนให้ตนเองไปแล้วก่อนหน้านั้น โดยที่ดินมรดก แบ่งโอนกับพี่สาวเท่าๆกัน แต่มีอีกแปลงที่เป็นชื่อของตนเอง เนื้อที่ 7 ไร่ มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท พี่สาวจะเอาดินแปลงนั้นแบ่งกับตนเอง แต่ตนเองไม่ยอม เนื่องจากก่อนหน้านี้ที่พ่อแม่แบ่งให้ไป บางส่วนพี่สาวได้ขายไปแล้ว ตนเองจึงไม่ยอมให้แบ่งอีก ทำให้เกิดเรื่องหมางใจกันมาตลอด

โดยช่วงที่ตนเองเดินทางไปต่างกลับไปต่างประเทศสิ้นเดือน กันยายน 2567 ตนเองได้จ้างญาติให้มาดูแลแม่กับพ่อที่บ้าน แต่พี่สาวกลับพาพ่อกับแม่ไปอยู่ที่บ้านเขาได้ประมาณ 1 เดือนสามีพี่สาวไม่ให้พ่อกับแม่อยู่ที่บ้านบอกว่าเหม็นคนพิการ แทนที่จะนำกลับมาไว้ที่บ้านกลับนำไปไว้บ้านเช่าขังไว้ในห้อง ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ซึ่งแม่เป็นผู้ป่วยติดเตียง ผลจากการที่พี่สาวให้กินยาจิตเวชในเวลาเกือบ 2 ปี ตอนนั้นตนเองไม่ได้กลับมาไทย

โดยกลับมาล่าสุดเดือนมิถุนายน 2567 กลับไปต่างประเทศสิ้นเดือนกันยายน 2567 โดยตอนที่ไปอยู่ต่างประเทศพ่อกับแม่อยู่ที่บ้าน ตนได้จ้างให้หลานเป็นดูแล แต่ถูกพี่สาวกลับนำพ่อแม่ออกไปไว้ที่บ้านเขาก่อนนำตัวไปกักขังไว้ที่บ้านเช่า จนแจ้งขอความช่วยเหลือจากตำรวจดังกล่าวเพราะเกรงหากนานกว่านี้พ่อกับแม่คงไม่รอด

หลายครั้งก่อนหน้านี้ตนเองพยายามดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่บ้านพ่อแม่ พบพี่สาวชอบดุด่าพ่อกับแม่ และพยายามพิมพ์ลายนิ้วมือพ่อหลายครั้ง แต่พ่อไม่ยอมพิมพ์ ก่อนตามจนเจอว่าพี่สาวได้นำพ่อกับแม่มาไว้ที่อพาร์ตเมนต์ดังกล่าว

โดยเมื่อไปถึงประตูห้องได้ปิดไว้ แจ้งเจ้าของอพาร์ตเมนต์ว่ามาตามหาพ่อกับแม่ แต่คนดูแลไม่เปิดประตูให้ ก่อนคนดูแลโทรหาพี่สาวให้มา แต่ประตูห้องที่พ่อแม่อยู่เปิดไม่ได้ พูดคุยนานเกือบชั่วโมง ก่อนใช้ค้นทุบประตู เพื่อเข้าไปดูพ่อกับแม่ ที่หน้าตาอิดโรย

โดยก่อนหน้านี้ พ่อยังเดินได้ตามปกติ แม่ป่วยติดเตียง แต่พ่อมาอยู่นี่ 3 เดือนกลับเดินไม่ได้ ก่อนนำตัวพ่อและแม่ ส่งโรงพยาบาลพัทลุง เพื่อให้แพทย์ช่วยเหลือ ตรวจร่างกายว่ามีการใช้สารพิษอะไรให้พ่อแม่กินบ้างเนื่องจากร่างกายอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหากพบว่าพ่อแม่มีการวางพิษทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ก็จะแจ้งความดำเนินคดีกับพี่สาวต่อไป

ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้ติดตามทำข่าว ขณะเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือ นางกีรติ หรือปิง พี่สาว พยามต่อว่าผู้สื่อข่าว ใครใช้ให้ถ่ายคลิป ขอให้ลบเสียไม่อั้นจะแจ้งความดำเนินคดีกับทุกคนที่บันทึกภาพ

ต่อมาหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้นำตัวนายเจม พ่อ นางรื่น แม่ ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพ

นางกีรติ หรือปิง พี่สาว ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องที่น้องสาวกล่าวอ้างไม่เป็นความจริง ตนเองไปดูพ่อแม่วันที่น้องสาวไปต่างประเทศ ไม่เห็นพี่เลี้ยงเลยเอาพ่อแม่มาเลี้ยงที่บ้าน โดยจ้างพี่เลี้ยง แต่บ้านแคบไม่มีห้องให้พี่เลี้ยงพักเลยมาเช่าอพาร์ตเมนต์ดังกล่าว พี่เลี้ยงก็ดูแลพ่อแม่ดี ตนเองก็ไปรับยามาจาก รพ.พยาบาลให้พ่อแม่กินตลอด คนเป็นลูกไม่ได้คิดทำร้ายพ่อแม่ หวังฮุบมรดก ตามที่น้องสาวกล่าวอ้างแต่อย่างใด

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามทำไมไม่ให้พ่อแม่กลับไปอยู่บ้านตามเดิม พี่สาวบอกกลับไปไม่ได้ เนื่องจากน้องสาวได้แจ้งความตนเอง ไม่ให้เข้าบ้านหลังดังกล่าวหลังมีปัญหากัน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...