โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

อัญเชิญพระอุปคุต เปิดงานนมัสการพระธาตุพนม ประจำปี 2563 ยิ่งใหญ่สุดเข้มขลัง พลังศรัทธาเรือนแสนเนืองแน่น

77kaoded

เผยแพร่ 01 ก.พ. 2563 เวลา 07.48 น. • 77 ข่าวเด็ด

นครพนม - จังหวัดนครพนมร่วมกับวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม พร้อมทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน กำหนดจัดงานนมัสการพระธาตุพนม ซึ่งเป็นกิจกรรมจัดเป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้ 2563 งานนมัสการองค์พระธาตุพนม ตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำ-แรม 1 ค่ำ เดือน 3(1-9 กุมภาพันธ์) รวม 9 วัน 9 คืน

https://youtu.be/7l5GTDymz4E

ด้วยพระธาตุพนมเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระอุรังคธาตุ(กระดูกหน้าอกด้านซ้าย)ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระธาตุประจำของผู้เกิดปีวอก และเป็นพระธาตุประจำผู้เกิดวันอาทิตย์ งานนมัสการพระธาตุพนม ชาวพุทธยึดเป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่ครั้งโบราณกาล อีกทั้งยังให้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชม ได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ ความสง่างามขององค์พระธาตุพนม และเตรียมรองรับสู่การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

โดยวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นวันเริ่มงานมีพิธีอัญเชิญพระอุปคุตขึ้นจากแม่น้ำโขง ในเวลา 07.30 น. พร้อมขบวนแห่เครื่องสักการะของข้าโอกาสพระธาตุพนม ที่แต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง ตระการตาด้วยการรำบูชาพระธาตุพนม จาก 8 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ พร้อมทั้งการแห่กองบุญของพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทย ชาวลาว สองฟากฝั่งแม่น้ำโขง มีขบวนยาวเป็นกิโล

พิธีอัญเชิญพระอุปคุต ประกอบพิธีกันที่ริมแม่น้ำโขง บริเวณท่าเทียบเรือข้ามฟากไทย-ลาว เนรมิตว่าตรงริมแม่น้ำโขงแห่งนี้เป็นบาดาลลึก มีพระเทพวรมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครพนม/เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมฯ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยผู้ลงไปอัญเชิญพระอุปคุต มีทั้งนายทหาร นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนนายอำเภอ หรือหัวหน้าส่วนราชการรวม 5 นาย มุดน้ำลงไป 3 ครั้ง ก่อนจะอุ้มพระอุปคุตจากใต้น้ำมาส่งให้นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ประธานฝ่ายฆราวาส ที่รอรับอยู่ริมท่า แล้วอัญเชิญพระอุปคุตขึ้นเสลี่ยง สาธุชนผู้เสื่อมใสนับแสนคน ที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ ต่างโปรยดอกไม้หอม ดอกไม้มงคลใส่องค์พระอุปคุตตลอดเส้นทาง โดยมีขบวนนางรำอยู่เบื้องหน้า แห่ขึ้นไปประดิษฐานยังวิหารหอพระแก้ว บริเวณมณฑลวัดพระธาตุพนมฯ เพื่อคุ้มครองปกปักรักษา ไม่ให้เกิดขึ้นภยันตรายตลอดงาน 9 วัน 9 คืน ซึ่งยึดถือปฏิบัติมายาวนานหลายร้อยปี เพราะเชื่อว่าท่านมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มาก พระอุปคุต มีชื่อเต็มว่าพระกีสนาคอุปคุตมหาเถระ เป็นบุตรของเศรษฐีเมืองมถุรา ริมฝั่งแม่น้ำยมนา (เกิดหลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพานแล้ว 200 ปี) หลังออกบวช ได้บำเพ็ญธรรมตามรอยพระพุทธองค์ จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วไปจำศีลบำเพ็ญธรรมอยู่ใต้ท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล

ต่อมาพระเจ้าอโศกมหาราช ได้ก่อสร้างพระสถูปมหาเจดีย์ เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จำนวน 84,000 องค์ พร้อมจะฉลองสมโภชเป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เกรงพญามารจะขัดขวางทำลายไม่ให้พระราชพิธีสมโภชนั้นดำเนินไปด้วยดี จึงปรึกษาคณะสงฆ์ มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า พระอุปคุตจำศีลอยู่ที่สะดือทะเล เป็นอรหันต์มีฤทธานุภาพมาก สามารถป้องกันโพยภัยได้ดีที่สุด พระเจ้าอโศกฯจึงแต่งตั้งพระภิกษุ 2 รูป ซึ่งเป็นผู้ทรงอภิญญาสมาบัติเดินทางไปอาราธนา ด้วยการระเบิดน้ำเป็นทางเดินไปพบพระอุปคุต จากนั้นพระอุปคุตก็รับนิมนต์จึงเดินทางมายังนครปาตลีบุตราชธานี ครั้นพระเจ้าอโศกฯทอดพระเนตรเห็นพระอุปคุตแล้วรู้สึกหนักใจ เพราะร่างกายผอมแห้งเหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง จึงใคร่ลองทดสอบสมรรถภาพ

รุ่งเช้าขณะที่พระอุปคุตเดินบิณฑบาตเพื่อโปรดสัตว์ พระเจ้าอโศกฯทรงมีพระราชบัญชาให้ปล่อยช้างตกมันไล่เหยียบ พระอุปคุตเห็นช้างวิ่งไล่หลัง จึงเข้าญาณสมาบัติ อธิษฐานจิตให้ช้างเชือกนั้นมีสภาพแข็งดั่งหินผา ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ พระเจ้าอโศกฯเห็นเช่นนั้น เกิดความเคารพนับถือพระมหาเถระอุปคุตเป็นอันมาก จึงทรงขอขมาและทรงพอพระทัยยิ่งนัก

ครั้นได้มงคลฤกษ์จึงเริ่มบุญพิธีสมโภชพระมหาเจดีย์ตามพระราชประสงค์ ครั้งพญามารรู้ข่าวจึงคิดจะหยุดงานสมโภช ตำนานกล่าวว่า พญามาร หรือ พญาวัสวดีมาราธิราช ซึ่งเป็นตนเดียวกับที่ขัดขวางพระพุทธองค์ครั้งบำเพ็ญเพียรก่อนที่จะตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ คิดจะทำลายพิธีนั้น จึงแสดงอิทธิฤทธิ์ให้บังเกิดมหาวาตพายุอย่างร้ายแรง มีกำลังพัดมาประหนึ่งจะถล่มแผ่นดินให้ทลาย พระอุปคุตเถระเห็นอากาศวิปริตอย่างนั้นทราบชัดด้วยญาณอันประเสริฐของท่าน ว่า บัดนี้พญามารมาทำลายแล้ว ด้วยการบันดาลให้เกิดลมพายุขนาดมหึมา ราวจะถล่มพสุธาให้บรรลัยในพริบตา พระอุปคุตเห็นก็แก้ไขสถานการณ์สำเร็จ แต่พญามารยัง เนรมิตทั้งลมกรด ลมไฟบรรลัยกัลป์ หวังให้พิธีล่มสลาย แต่พระอุปคุตสามารถป้องกันเพทภัยได้หมด

กระทั่งพญามารปรากฎร่างเป็นยักษ์ หมายบดขยี้พระอุปคุตให้แหลกคามือ พระเถระเห็นว่าพญามารตนนี้มีใจบาปหยาบช้าสามานย์ มุ่งทำลายบุญกุศลต่างๆในบวรพระพุทธศาสนา จึงบริกรรมคาถาเสกสุนัขเน่าเหม็น ลอยไปแขวนคอพญามารพร้อมอธิษฐานไม่ให้ผู้ใดถอดออกได้ พญามารต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับพวงมาลัยหมาเน่า จึงไปขอความช่วยเหลือต่อท้าวโลกบาลทั้ง 4 ท้าวจตุมหาราชก็จนปัญญาเพราะแก้คำอธิษฐานของพระอุปคุตไม่ได้ พญามารไม่ละความพยายามไปหาเหล่าเทวดาอีกหลายท่านไปจนถึงท้าวมหาพรหม ก็ได้รับคำแนะนำว่าหนทางเดียวที่ทำได้ คือต้องไปขอขมาต่อพระอุปคุตเถระเท่านั้น

จอมมารรำพึงรำพันว่า พระรูปนี้เป็นเพียงสาวกของพระพุทธองค์ ยังมีฤทธิ์เดชขนาดนี้ จึงเกิดสำนึกในบาปที่ตนกระทำ แล้วอธิษฐานขอเป็นพระพุทธองค์ในอนาคตกาล ด้วยจิตอันแก่กล้าพระอุปคุตสดับรับฟังคำสำนึกบาปของพญามารได้ จึงกล่าวว่าท่านอย่าโกรธเราเลย เราทำด้วยด้วยปราณี จากนั้นก็คลายพันธนาการพวงมาลัยหมาเน่าออกจากคอของพญาวัสวดีมาลาธิราช
ซึ่งเรื่องราวของพระอุปคุตเถระที่เล่ามา มีปรากฏอยู่ในพระปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ดังนั้นการจัดพิธีอัญเชิญพระอุปคุตขึ้นจากแม่น้ำโขง ด้วยเหตุคือองค์พระธาตุพนม ซึ่งเป็นมหาเจดีย์บรรจุพระอุรังคธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็น 1 ใน 84,000 พระสถูปมหาเจดีย์ ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนั่นเอง

นอกจากนี้งานนมัสการพระธาตุพนม ซึ่งตรงกับเดือน 3 ของทุกปี ชาวอีสานจึงเรียกกันว่าบุญเดือนสาม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งคือบุญข้าวจี่ มีอยู่ในฮีต 12 (จารีตของคนโบราณอีสาน) หรือประเพณี 12 เดือน มีปรากฏในหนังสือธรรมบทว่า ในสมัยหนึ่งนางปุณณทาสีได้ทำขนมแป้งจี่(ข้าวจี่) ที่ทำจากรำข้าวอย่างละเอียดถวายแด่พระพุทธเจ้าและพระอานนท์ นางคิดว่าเมื่อพระพุทธองค์กับพระอานนท์รับแล้วคงไม่ฉัน เพราะอาหารที่เราถวายไม่ใช่อาหารที่ดีหรือประณีตอะไร คงจะโยนให้หมู่กาและสุนัขกินเสียกลางทาง พระพุทธเจ้าทรงทราบวาระจิตของนาง และเข้าใจในเรื่องที่นางปุณณทาสีคิด จึงได้สั่งให้พระอานนท์ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐาก ได้ปูลาดอาสนะลงแล้วประทับนั่งฉันขนมแป้งจี่ของนาง ณ ที่นั้น พอนางได้เห็นก็เกิดความปิติอย่างสุดกำลัง และในตอนท้ายหลังการทำภัตตกิจด้วยขนมแป้งจี่เรียบร้อยแล้ว พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมให้ฟัง จนกระทั่งนางปุณณทาสีได้บรรลุโสดาบันเป็นอริยอุบาสิกาเพราะมีข้าวจี่เป็นมูลเหตุ ด้วยความเชื่อแบบนี้คนอีสานโบราณจึงได้จัดแต่งให้บุญข้าวจี่ทุกๆปีไม่ได้ขาด

ตลอดงานนมัสการพระธาตุพนม 9 วัน 9 คืน จะมีการแสดงสินค้าโอทอป การแสดงหมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี นิทรรศการหมู่บ้านรักษาศีล 5 การฟังพระธรรมเทศนาที่ลานหน้าวัดและเวียนเทียนทุกคืน การทำบุญตักบาตรในตอนเช้า และการแสดงมหรสพสมโภชทั้งกลางวัน กลางคืน ตลอด 9 วันเต็ม โดยเฉพาะวันที่ 8 กุมภาพันธ์ (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3) จะเป็นวันพระใหญ่คือ “วันมาฆบูชา” ที่ได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธ เนื่องจากเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น กล่าวคือ พระโคตมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา ซึ่งในคัมภีร์ปปัญจสูทนีระบุว่า ครั้งนั้นมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระภิกษุ 1,250 รูป ได้มาประชุมพร้อมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย พระภิกษุทั้งหมดนั้นเป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง พระภิกษุทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6 และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญเดือน 3 ดังนั้น จึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่งว่า “วันจาตุรงคสันนิบาต” หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4

ซึ่งในวันมาฆบูชาที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร จะมีพุทธศาสนิกชน ทั้งชาวไทยและลาว ประกอบพิธีเวียนเทียนรอบองค์พระธาตุพนม ตามความเชื่อของชาวอีสานว่าหากใครได้มีโอกาสมาเวียนเทียนในวันสำคัญต่างๆ รอบองค์พระธาตุพนม หรือมากราบไหว้บูชา ถือเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ จะทำให้มีความเจริญก้าวหน้า และอยู่เย็นเป็นสุข

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...