โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ปม'เหล้ายาดอง' หาจุดสมดุล กม.รัฐ-วิถีชุมชน

MATICHON ONLINE

อัพเดต 31 ต.ค. 2562 เวลา 06.50 น. • เผยแพร่ 31 ต.ค. 2562 เวลา 06.50 น.

“เหล้ายาดอง” กลายเป็นกระแส ฮือฮาขึ้นมา หลังเกิดเหตุสลดใจ เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา ชาวบ้านในพื้นที่ตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ถูกหามส่งโรงพยาบาลนับสิบ หลังดื่มยาดองเหล้าสูตรคางคก หวังชูกำลังวังชา แต่กลับเกิดอาการชาทั้งตัว อาเจียนเป็นเลือด ทำให้มีผู้เสียชีวิต ส่วนที่รอดมาได้ก็ต้องเยียวยาตามอาการ บางรายถึงขั้นตามัวเพราะฤทธิ์ส่วนผสมแอลกอฮอล์

ที่น่าตกใจเจ้าของสูตรเหล้ายาดองดังกล่าวเร่ตระเวนขายไปทั่วตำบลเสม็ด และหลบหนีไปแล้ว

กรณีดังกล่าว “ณัฐกร อุเทนสุต” ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี ในฐานะ รองโฆษกกรมสรรพสามิต เผยว่า “อุตตม สาวนายน” รมว.คลัง มีคำสั่งการให้กรมสรรพสามิตเร่งปราบปรามการทำเหล้า ยาดองเพื่อจำหน่าย กรณีที่ชาวบ้านลักลอบทำเหล้ายาดองจำหน่ายทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ โดยมีส่วนผสม เช่น สมุนไพรรากสามสิบ ผสมคางคกและเหล้าขาว ส่งผลให้ผู้ที่ซื้อมาบริโภคต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และมีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 3 ราย ทั้งนี้ การทำเหล้ายาดองเพื่อจำหน่าย กรณีที่เป็นซุ้มยาดองไม่สามารถดำเนินการได้ ไม่มีกฎหมายรับรอง และไม่ได้รับการอนุญาต ได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้เข้าไปเร่งตรวจสอบ ถ้าพบก็จะถูกสั่งปิดและเสียค่าปรับตามกฎหมาย แต่ถ้าเป็นการดองอยู่บ้านแต่ไม่ได้มีการจำหน่ายสามารถทำได้ ส่วนที่อ้างว่าเป็นการดองยาโดยอ้างว่าสูตรตำรับไทยก็ไม่สามารถทำได้ ต้องขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา (อย.) เท่านั้น จึงจะจำหน่ายได้ เป็นการผลิตที่มีมาตรฐาน มีภาชนะปิดมิดชิด ขายในร้านขายยาเท่านั้น

รองโฆษกกรมสรรพสามิตยังกล่าวด้วยว่า ขณะนี้มีการตรวจสอบซุ้มเหล้ายาดอง แต่ไม่ได้ถือว่าเป็นการคุมเข้มอะไร เนื่องจากเป็นเพียงการประชาสัมพันธ์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเท่านั้น ว่าในตัวเหล้ายาดองไม่ได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐานที่ควรมี ซึ่งในส่วนของการถูกตั้งคำถามว่า เป็นการทำลายภูมิปัญญาชาวบ้านหรือไม่ ยืนยันว่ากรมไม่ได้ติดใจในส่วนนั้น แต่ติดใจในส่วนของตัวสุรา หากนำสุราไปหมักกับส่วนผสมหรือตำรับยาต่างๆ เพื่อบริโภคเองภายในครอบครัวสามารถทำได้และไม่มีความผิด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการผลิตขึ้นเพื่อจำหน่าย เป็นยาดองที่นำไปจำหน่ายไม่มีมาตรฐาน เพราะยังไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ทำให้ประเด็นที่กังวลจะเป็นส่วนตรงนี้มากกว่า

ขณะที่ นพ.ประเสริฐ มงคลศิริ ผอ. โรงพยาบาลหนองฉาง จ.อุทัยธานี ให้มุมมองต่อกรณีกินเหล้ายาดองสูตรคางคก มองเป็น 2 ประเด็น ว่า ประเด็นแรก ใต้ผิวหนังของคางคกมีต่อมที่มีสารพิษอยู่ หากกินแล้ว จะทำให้เสียชีวิตได้

ประเด็นที่สอง เหล้ายาดองที่กินกันเป็น กลุ่มนั้นหากเอาไปตรวจ การผลิตเหล้าตามพื้นบ้านส่วนใหญ่ สมัยก่อนจะเรียกกันว่า “ไอ้เป้” หรือ “ลูกแป้ง” นำมาหมักทิ้งไว้จนมันสร้างแอลกอฮอล์ได้ด้วยตัวเอง แต่เดี๋ยวนี้ มีการผลิตเหล้ายาดอง เหล้าเถื่อน แต่ใช้แอลกอฮอล์เพื่อความไวในการลดระยะเวลาการหมักแทนวิธีเดิม

ประเด็นอยู่ตรงที่ว่าแอลกอฮอล์นั้นมี 2 อย่างทางการแพทย์ จะอยู่ใกล้เคียงกันมาก ส่วนผสมต่างๆ ในแอลกอฮอล์จะเหมือนกันคือมี ไฮโดรเจน ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ เพียงแต่ว่าอะตอมที่มันเกาะกันนั้น ในแต่ละสารแต่ละธาตุมันก็ไม่เหมือนกัน

ใน 2 แอลกอฮอล์ตัวแรกคือเอทิล แอลกอฮอล์ที่สามารถกินได้ ส่วนตัวที่ 2 คือเมทิลแอลกอฮอล์ที่ไม่สามารถกินได้

‘น่าจะมีการเอาเมทิลแอลกอฮอล์ไปผสมกับเหล้าจึงทำให้เสียชีวิต เพราะห้ามนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารอย่างเด็ดขาด หากนำมาใช้ในทางการแพทย์จะเป็นกลุ่มแอลกอฮอล์ล้างแผล เป็นต้น ทำให้บางครั้งชาวบ้านอาจจะเข้าใจผิดวิธีหวังลดระยะเวลาในการหมักแป้งจากเดิมด้วยการหยอดแอลกอฮอล์ลงไปเลย ทำให้มีความรู้สึกที่เมามาก แล้วแต่ว่าใครจะผสมกี่เปอร์เซ็นต์ โดยปกติเหล้าจะอยู่ที่ 35 เปอร์เซ็นต์ ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ คือเหล้าขาวที่ผลิตกัน แต่ใช้เอทิลแอลกอฮอล์”

นพ.ประเสริฐยังกล่าวว่า ในส่วนเรื่องของกรมสรรพสามิตจะดำเนินการกวาดล้างเหล้ายาดองเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้าน คงต้องแยกกัน ถ้าจะเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านหรือเป็นลักษณะของสินค้าพื้นเมืองหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอท็อป) ต้องมีการควบคุมการผลิตด้วย อย่างเช่น ต้องผ่านการตรวจสอบของ อย. ไม่เช่นนั้นอาจจะใช้แอลกอฮอล์ผิดประเภท ส่วนตัวยังเห็นด้วยที่จะมีหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ แต่ขอให้ทำให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ เพราะจริงๆ แล้วกรณีนี้ไม่ใช่เกิดเป็นกรณีแรก ในต่างประเทศมีงานเลี้ยงในชุมชนในท้องถิ่นกินกันเสียชีวิตคาโต๊ะก็มี และในเมืองไทยที่ไม่เป็นข่าวก็น่าจะมีด้วยเช่นกัน

ขณะที่ “บรรณ แก้วฉ่ำ” นักวิชาการด้านกฎหมายท้องถิ่นและการกระจายอำนาจ ให้ความเห็นด้วยว่า ยาดอง เหล้ากลั่น สาโท สุราพื้นบ้าน เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน หากย้อนหลังยุคก่อนเปิดเสรีปี 2542 การผลิตสุราถูกผูกขาดโดยกลุ่มบริษัทเพียงไม่กี่ราย และมีผู้ผลิตในกลุ่มดังกล่าวเพียง 5 บริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ภายหลังปี 2543 มีนโยบายเปิดเสรีทำให้มีผู้ผลิตประเภทโรงงานขนาดใหญ่ 18 ราย แต่ยังคงเป็นนักลงทุนกลุ่มเดิมที่ทำอยู่ในยุคผูกขาด ต่อมา ปี 2545 ได้ผ่อนคลายให้ผู้ผลิตรายย่อยเข้ามาผลิตและขายสุราแช่พื้นเมืองได้ แต่ความเป็นจริง โดยข้อระเบียบกฎหมายที่ออกมา กลับมีข้อจำกัดจนชาวบ้านผลิตและจำหน่ายสุราพื้นบ้านได้ยากมาก

ในปี 2560 รัฐบาลนี้ได้ออก พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต 2560 และอาศัยอำนาจ มาตรา 5 วรรคหนึ่ง และมาตรา 153 วรรคสอง ออกกฎกระทรวง เรื่องการอนุญาตผลิตสุรา มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2560 เป็นต้นมา ได้กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะขอใบอนุญาตผลิตสุราแช่ ต้องมีคุณสมบัติ เป็นบริษัท ที่มีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท กรณีสุรากลั่นก็ต้องเป็นบริษัท กรณีสุรากลั่นในชุมชนก็ต้องมีโรงอุตสาหกรรมผลิตสุราตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ขออนุญาต และต้องเป็นวิสาหกิจชุมชน หรือเป็นห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือบริษัท ตลอดทั้งกำหนดเงื่อนไขไว้มากมายจนชาวบ้านในท้องถิ่นไม่มีโอกาสที่จะได้รับอนุญาต นอกจากนั้น ยังออกกฎกระทรวงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสุราเพื่อการค้า มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2560 กำหนดว่า จะทำการเปลี่ยนแปลงสุราได้ ก็ต่อเมื่อผู้ซื้อได้ร้องขอให้เปลี่ยนแปลงสุราเพื่อดื่มในขณะนั้น คือผสมหรือหมักยาสมุนไพรไว้ล่วงหน้าไม่ได้ แต่จะต้องผสมแล้วดื่มในขณะนั้น ทั้งที่ยาดองก็ต้องดองไว้ก่อน ตัวยาสมุนไพรจึงจะออกมาผสมกับสุรา และโดยมากร้านขายยาดองก็เป็นลูกค้าของวิสาหกิจชุมชน

“เห็นได้ว่า พ.ร.บ.และกฎกระทรวงที่รัฐบาลชุดนี้ออกมา โดยเนื้อความในกฎกระทรวง มีเจตนาแต่ต้นที่จะดำเนินคดีกับร้านยาดอง และจงใจทำลายผู้ประกอบการผลิตสุราที่วิสาหกิจชุมชน เพื่อผลักให้ผู้บริโภคไปอุดหนุนสุราของบริษัทนายทุนรายใหญ่”บรรณกล่าว

ทางด้าน “ฉลอง นิ่มเนียม” สรรพสามิต พื้นที่อุบลราชธานี กล่าวว่า จากการตรวจสอบยาดองที่ จ.อุบลราชธานี ไม่มีซุ้มยาดองจำหน่ายในพื้นที่ทั้ง 25 อำเภอ มีแต่ “ยาชง” เป็นตัวยาสมุนไพรที่ได้รับการยกเว้นใช้ผงยาซึ่งเป็นยาสมุนไพรไทย ซื้อจากร้านขายยาไทยแผนโบราณทั่วไป เวลาขายให้กับ ผู้บริโภคก็จะตักใส่ช้อนใส่แก้วแล้วก็ใช้สุราขาวที่เสียภาษี มีแสตมป์เรียบร้อย แล้วใส่เข้าไป ชงขายที่จุดดื่มเป็นส่วนใหญ่

“จะไม่มีประเภทแช่ไว้ในโหลยาดอง ปัจจุบันกำลังดำเนินการไล่ตรวจสอบคือสุราขาวที่นำเอามาขายผสมกับยาชง จะต้องเป็นสุราที่ติดแสตมป์ ขณะนี้กำลังตรวจและจัดทำข้อมูลไว้หมดทุกราย”

น.ส.ชนัญชิดา พิบูลย์ อายุ 31 ปี แม่ค้าร้านยาชงบริเวณตลาดดอนกลาง ต.ขามใหญ่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า ทางแผงจำหน่ายแต่ยาชงสมุนไพรผสมเหล้าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านมีหลายสูตร ไม่ผิดกฎหมาย ผงยาชงผสมเหล้า ที่ขายมีหลายสูตร เช่น ม้ากระทืบโรง กษัยเส้น นารีรำพึง โด่ไม่รู้ลืม และพญาเสือโคร่ง ขายราคากลมละ 120 บาท แบนละ 60 บาท เป๊กละ 10-15-20 บาท หรือขนาดกั๊กละ 30 บาท ลูกค้าที่มากินประจำส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้แรงงาน ผู้สูงอายุ จะมีวัยรุ่นบ้างแต่ไม่มากนัก

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...