หลายคนน่าจะเคยเห็นการไลฟ์สด ‘รีแคปนางงาม’ และ ‘ปัญหาปวดแปด’ ที่กลายเป็นไวรัลไม่หวาดไม่ไหวบนโลกโซเชียล และมี ‘แอนนา-วริณทร วัตรสังข์’ และ ‘พี่จี้-จารุชา ปานมุณี’ ที่เป็นทุกอย่างของรายการ ตั้งแต่ครีเอทีฟ เขียนสคริปต์ ตอบคอมเมนต์ ไปจนถึงพิธีกร เห็นผู้หญิงสองคนมานั่งไลฟ์กันเกือบทุกวัน บางคนอาจจะคิดว่านี่คือช่องของผู้หญิงแก่หรือเปล่า ?
เจ้าตัวยืนยันว่า “เราไม่ใช่ช่องผู้หญิงแก่” แต่เป็นช่องที่ครบมากและอยากให้ลองเปิดใจ แล้วจะต้องติดใจกับเน็ตไอดอลตัวแม่วัย 40 ที่อยากทำอะไรใหม่ ๆ จากความชอบ ความเป็นตัวเองจนกลายเป็น Anna Celebeauty แอนนา พี่จี้
“ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าอยากทำอะไรใหม่ ๆ ก็เลยชวนพี่จี้มาทำคอนเทนต์อะไรสักอย่างจากสิ่งที่ทั้งแอนนาและพี่จี้ชอบ ส่วนตัวเราทั้งคู่เป็นแฟนนางงามกันอยู่แล้ว ย้อนกลับไปตอนนั้นถึงจะมีฐานแฟนนางงามจะไม่ได้เยอะมาก แต่ก็เหนียวแน่นกันมาตลอด เป็นกลุ่มที่รักจริง เชียร์จริง และมีความรู้เรื่องนางงามกันมาก ๆ ทำให้แอนนากับพี่จี้อยากทำคอนเทนต์ลักษณะนี้ และกลายเป็นการไลฟ์สดรีแคปนางงามจนถึงทุกวันนี้
“จริง ๆ ในเรื่องข้อมูลเราพังพินาศมากเลยนะ ผิดบ้าง มั่วบ้าง หลุดบ้าง เป็นเรื่องปกติเลย แต่ข้อดีก็คือเราจะพูดคุยกับแฟนนางงามตลอด แฟน ๆ จะเป็นคนให้ข้อมูลที่ดีที่สุด บางทีเราพูดผิด เค้าก็ช่วยแก้ให้ เรียกว่าเราเป็นเอนเทอร์เทนเนอร์ที่ทำให้ทุกคนได้มาแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องนางงามด้วยกันมากกว่า และพอมันเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กัน ก็ได้คุยกันเยอะขึ้น ทำให้ฟีดแบค ดีแบบถล่มทลาย คนดูสูงสุดในการสตรีมมิงอยู่ที่ 34,000 วิว ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับดีมาก ๆ
“แต่นอกจากคอนเทนต์รีแคปนางงาม ก็ยังมีคอนเทนต์อื่น ๆ เช่น Vlog ต่าง ๆ และไลฟ์สดปัญหาปวดแปด ซึ่งจะเป็นไวรัลแทบทุกครั้งที่ออนแอร์ และปีที่ผ่านมาก็มีคลิปท่องเที่ยวบ้าง ซึ่งคอนเทนต์ส่วนใหญ่จะเริ่มจากความเป็นตัวเราก่อน แล้วค่อยดึงความเป็นตัวเองออกมาเป็นคอนเทนต์ต่าง ๆ
“ช่อง Anna Celebeauty แอนนา พี่จี้ จะค่อนข้างหลากหลาย และแทบจะไม่มีสคริปต์เลย เราคิดว่ารายการอะไรก็ตาม ถ้ามีสคริปต์ที่มากเกินไปมักจะขาดความยืดหยุ่น แต่ถ้าไม่มีสคริปต์เลยก็จะหลวมเกินไป ดังนั้นรายการของเราก็เลยมีคอนเซปต์แกนกลาง คือเป็นรายการที่ให้พลังบวก ตรงไปตรงมา และไม่ฆ่าแขกรับเชิญ
“พอมีคอนเซปต์แบบนี้แล้ว เราสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์คนที่อยู่ในกระแส ถามตอบปัญหา คอนเทนต์รีแคปนางงาม และอีกหลายอย่างที่คนดูคาดไม่ถึง เช่น การพาไปวัด รายการอื่นอาจจะไปไหว้พระ ทำบุญ แต่รายการเราไปวัดเพื่อขอหวย หรือไปงานอีเวนต์ คนดูอาจจะคิดว่าไปร่วมกิจกรรม แต่เปล่า เราไปเอาของแจก อะไรแบบนี้เป็นสิ่งที่คนดูคาดไม่ถึง เรียกว่าเป็นการเซอร์ไพร์สทั้งคนดูและตัวเองด้วยเหมือนกัน”
ด้วยความเรียล และชอบเซอร์ไพร์สคนดู ทำให้การไลฟ์สดคือคำตอบ แต่พอไลฟ์บ่อย ๆ ก็ทำให้การไลฟ์ถูกมองว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้
แอนนา: “ก่อนไลฟ์แอนนากับพี่จี้จะทำการบ้านว่าเราจะคุยอะไรกันบ้าง ประเด็นไหนบ้าง คนชอบคิดว่าการไลฟ์สดมันง่าย ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก แต่จริง ๆ แล้วมันยากนะกับการไลฟ์แล้วมีคนดูเป็นหมื่น เราต้องไม่ตายหรือเดตแอร์เลยแม้แต่วินาทีเดียว ต้องไลฟ์กันเหมือนคลิปที่มีความลื่นไหล ดังนั้นแอนนาคิดว่าการไลฟ์สดมันยากกว่า และเข้าถึงคนดูได้มากกว่า
“คือจะไลฟ์แต่ละครั้ง เราต้องรู้ว่าคนอยากดูอะไร ถ้ารู้ก็จะมีข้อมูล ที่สำคัญถ้าแอนนาไลฟ์คนเดียวจะรับบทนางพูดไปเรื่อย และอาจจะไปไม่รอด เพราะแอนนาไม่ได้มีคลังความรู้เยอะเหมือนพี่จี้ พี่จี้เป็นคนแปลก วัน ๆ ไม่ได้ทำอะไร อยู่แต่ในทวิตเตอร์ อัปเดตข่าวสาร คือไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร มีอะไรที่แอนนาไม่รู้ พอหันไปถามพี่จี้จะทราบหมด จะทราบเสมอจนดูเวอร์ไปเลย แม้จะเป็นเรื่องบางเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องที่เราจะคุยกัน พี่จี้ก็ทราบอีก
พี่จี้: “บางทีนางชอบพูดแล้วออกทะเล ออกอ่าวไทยไปเลย พี่ก็ต้องทำหน้าที่พานางกลับมาไม่ให้ออกไปไกลกว่านี้”
แอนนา: “เคยพูดเรื่องนางงามอยู่ดี ๆ กำลังคุยว่าใครเป็นตัวเต็ง เผลอแป๊บเดียวแอนนาพูดเรื่องไปเที่ยวยุโรปเฉย อยู่ดี ๆ ก็ถามพี่จี้ว่าเราจะไปเที่ยวยุโรปประเทศไหนดีพี่จี้ คนดูก็จะงงว่าตกลงกำลังดูอะไรอยู่ กำลังพูดถึงอะไรกันอยู่ โชคดีที่มีพี่จี้คอยดูให้อยู่ในร่องในรอย”
เพราะความลงตัวของแอนนา-พี่จี้ ทำให้ Anna Celebeauty แอนนา พี่จี้ โดดเด่น ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน
“แอนนากับพี่จี้โดดเด่นมากในเรื่องของอายุ ครีเอเตอร์ส่วนใหญ่จะอยู่ในวัย 20 แต่เราอยู่ในวัย 40 เป็นวัยที่ผ่านอะไรมาพอสมควร ขณะที่อายุเราเยอะ มีประสบการณ์เยอะ แต่ความคิดและจิตใจเราจะเป็นเด็กตลอดเวลา ก็เลยทำให้เราเข้าถึงคนหลายกลุ่ม แอนนาคิดว่าตรงนี้สำคัญมากนะ และเป็นข้อดีที่หายากเพราะครีเอเตอร์ส่วนใหญ่จะไม่มีตรงนี้
“อีกอย่างคือเราสองคนมีพลังบวกเยอะมาก อะไรที่เป็นเรื่องลบจะไม่เอาเข้าตัวเลย รู้สึกว่าเปลืองสมอง ทำให้ชอบทำอะไรที่เป็นมุมบวก บางทีก็บวกจนล้น จนบ้าบอ แต่คนดูก็ชอบ เหมือนคนดูเสพติดพลังบวกเหมือนกัน เช่นบางครั้งเรารู้อยู่แล้วแหละว่าต้องแพ้แน่ ๆ แต่เราก็จะเชียร์ต่อไป เชียร์แบบอวยสุด ๆ บอกคนดูด้วยว่าเราต้องชนะ ต้องเป็นที่หนึ่ง เพราะสุดท้ายแล้วถ้ารู้ว่าจะแพ้ก็จะถอดใจ คนดูก็จะรู้สึกเฟลและถอดใจเหมือนกัน
“แอนนาเชื่อว่าการทำคอนเทนต์เดี๋ยวนี้มันเห็นชัดมากที่ครีเอเตอร์พลังบวกจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ที่เป็นพลังลบหรือสายดาร์กจะเริ่มหายไปกันหมดแล้ว เพราะสังคมปัจจุบันมีอะไรที่ลบเยอะมากแล้ว ดังนั้นเราก็ต้องใส่ ต้องเติมอะไรที่เป็นบวกให้กับคนดู แอนนาว่ามันคือหน้าที่ของพวกเรา”
ถึงแอนนา-พี่จี้จะเป็นคนที่มีพลังบวกเยอะ แต่เมื่อเจอเรื่องอะไรลบ ๆ ก็มีท้อจนถึงขั้นดำดิ่งได้เหมือนกัน
“มีช่วงหนึ่งที่แอนนามีปัญหามาก เกือบจะฆ่าตัวตายเลย ทั้งทำคอนเทนต์ไม่ได้ ทั้งมีปัญหาชีวิตด้วย ต้องบอกก่อนว่าในโลกของการทำงานแบบนี้ จะมีความเป็นศิลปะ มีความศิลปินสูงมาก ตอนนั้นรู้สึกว่ามันถึงทางตันสำหรับการทำคอนเทนต์ของเราแล้ว ชีวิตทุกอย่างก็เจอแต่ทางตัน ทำอะไรไม่ได้แล้ว รู้สึกว่าทำคอนเทนต์ทุกซอก ทุกมุมของตัวเองไปหมดแล้ว จนไม่รู้จะขายอะไรอีก ตันมากตอนนั้น ที่สำคัญสำหรับคนทำคอนเทนต์ ตันเท่ากับไม่มีกิน ตันเท่ากับหมดหนทาง ก็เลยมืดแปดด้านจนถึงขั้นฆ่าตัวตาย
“ตอนนั้นก็หันไปพึ่งธรรมะ ทีนี้พอสบายใจมากขึ้นก็เลยคิดอะไรออกมากขึ้น มันเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อจะเกิดขึ้นได้ แต่มันเกิดขึ้นจริง ๆ ปกติแอนนาเป็นคนที่ทำอะไรสุดตัว พอคิดจะนั่งสมาธิก็ต้องไปให้สุด ต้องไปนั่งในป่าช้า
“การจะไปนั่งสมาธิในป่าช้า จะมีบททดสอบก่อนว่าสมาธิเราแน่วแน่พอจะไปได้ไหม ตอนนั้นแอนนาก็แน่วแน่มาก เพราะคิดว่าไปหลายคน แต่พอถึงเวลา เค้าพูดว่าเดี๋ยวไปส่ง ก็รีบถามเลยว่าไปส่งคือยังไงคะ เค้าก็บอกว่าก็คือเราไปนั่งสมาธิในป่าช้า แล้วเค้ากลับ คิดว่าป่าช้าคงเหมือนในหนัง มีหลุมศพหรือมีป้ายรูปหน้าศพอะไรแบบนั้น แต่ไม่ใช่นะ ป่าช้าคือที่รวมของศพไม่มีญาติ แล้วมากองรวมกันไว้ นั่งสมาธิไปก็ได้กลิ่นแปลก ๆ ไป แล้วเราก็ต้องนั่งอยู่ตรงนั้น สองชั่วโมงคนเดียว
“ตอนแรกก็เกือบจะถอดใจเพราะความกลัว แต่ระยะทางที่เดินไปมันมีบ่อ มีศพนอนอยู่ คิดว่าถ้าวิ่งกลับ เกิดไปเหยียบใครเข้าก็เป็นบาปอีก ถ้าวิ่งก็ต้องใช้เวลา 15 นาที ไม่รู้จะหลงป่าไหมด้วย ก็เลยตัดสินใจว่านั่งสมาธิดีกว่า เสร็จแล้วเดี๋ยวเค้าก็มารับเอง ดีกว่ากลับคนเดียว
“พอผ่านมาได้ แอนนาก็ได้ฟีดแบคที่ดีมากกลับมาใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้นอน ๆ อยู่ยังคิดงานออกเลย ที่สำคัญคือพอเราคิดได้ ก็วางได้ ก่อนหน้านี้วางไม่เป็น สมองตื่นตัวตลอดเวลา เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปเยอะมากตั้งแต่ไปนั่งสมาธิ คิดงานก็คือคิดงาน นอนก็คือนอน โทรศัพท์ไม่จับเลย ตัดเรื่องโลกโซเชียลไปได้เยอะมาก”
พอผ่านช่วงวิกฤตในการคิดงานมาได้ คราวนี้แอนนา-พี่จี้ก็เลยฉลุย วางแผนทำคอนเทนต์ที่น่าติดตามเอาไว้เพียบ
“แอนนากับพี่จี้อยากทำคอนเทนต์ที่เป็นเรียลลิตี้ ตอนนี้กำลังวางแผนกันอยู่ คิดว่าคนดูชอบอะไรที่ค่อนข้างเรียล ชอบอะไรที่ไม่มีการตกแต่ง ก็เลยคิดว่าการท่องเที่ยวแบบของเราน่าจะตอบโจทย์ตรงนี้ เพราะแอนนากับพี่จี้ เราเที่ยวกันแบบเรียลมาก แต่ไม่เคยนำเสนอะไรแบบนี้อออกมาเลย
“ที่เคยดู ๆ กันจะเป็นรายการท่องเที่ยวที่วางแผนทุกอย่างไว้หมด แต่ของเราจะไม่ใช่แบบนั้น เช่น ที่แอนนากับพี่จี้เคยไปกันมาแล้ว คือจองตั๋วไปยุโรปตอน 5 โมงเย็น แล้วเครื่องออก 2 ทุ่ม ซึ่งไม่มีรายการท่องเที่ยวที่ไหนทำแบบนี้ แต่เราทำ เก็บเสื้อผ้ากันแทบไม่ทัน ไม่ได้เตรียมอะไรเลย แต่ก็ขึ้นเครื่องไปเที่ยวยุโรป
“ตอนไปกันก็จองโรงแรมไปแบบหลอก ๆ พอไปถึงก็ไปเช่ารถขับแบบไม่รู้จะไปไหน แล้วก็นอนแบบไม่รู้จะนอนที่ไหน ซึ่งก็เกิดเหตุการณ์ไม่มีที่จะนอนกันมาแล้ว คือตอนนั้นตั้งใจจะไปนอนที่โมนาโค ก็จองที่พักไปเรียบร้อย แต่เราไม่รู้เลยว่าหลังเที่ยงคืนโมนาโคเค้าจะปิดชายแดน ห้ามเข้า-ออก พอไปถึงคือเข้าเมืองไม่ได้ ตอนนั้นคือขับรถจนจะร้องไห้ เพราะไม่รู้จะไปเส้นทางไหนของโลก เราไม่ได้แพลนอะไรเลย ไม่รู้ด้วยว่าหลังเที่ยงคืนเค้าจะปิด เรียกว่าขับไปขับมาจน GPS งง เกือบจะตกเขา และกลายเป็นเรื่องราวที่เราต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากัน
“ปกติเราก็ไปเที่ยวลักษณะนี้บ่อย ๆ คือไม่มีแพลน ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า จะไปก็ไปเลย เคยมีครั้งหนึ่งไปต่างประเทศ เราไม่รู้แม้กระทั่งว่าค่าเรือที่เอารถข้ามไปด้วยราคาเท่าไหร่ ปรากฎว่าตอนนั้นเสียค่าข้ามเรือไป 20,000 บาท ถ้าเป็นคนปกติก็คงไม่ไปกัน แต่เราไปค่ะ หรือจะเป็นเรื่องที่เราไปเที่ยวแล้วไปหมดตัวอยู่ที่คาสิโน ไม่มีที่จะนอน ไม่มีค่าห้อง ต้องรอจนเช้าให้เพื่อนโอนเงินมาให้ อะไรแบบนี้เราก็ทำกันมาแล้ว
“ที่ทำเอาเหนื่อยและเกือบตายเลยก็คือ ตอนที่ไปสวิตเซอร์แลนด์ แล้วอุตริขึ้นเขาไปเดินเล่นกัน และต้องลงจากเขาเพื่อมาให้ทันรถไฟตอนสองทุ่ม คือถ้ารถไฟหมดกลับไม่ได้ก็ตายอย่างเดียว เพราะอากาศหนาวมาก หนาวแบบติดลบเลย แล้วเราไปเดินเล่นกันไกล กลับลงมาที่สถานีคือรถไฟออกไปแล้ว
“ตอนนั้นคิดกันว่าจะวิ่งไปดักรอที่อีกสถานีหนึ่งเพื่อให้ทันขึ้นรถไฟ คิดว่ามันคงไม่ไกล แต่เดิน ๆ วิ่ง ๆ ด้วยรองเท้าส้นสูงกันชั่วโมง ก็ยังไม่ถึง จนกระทั่งเราเห็นรถไฟวิ่งลิบ ๆ มาแล้ว ทำให้ต้องวิ่งกันแบบสุดชีวิต เพื่อไปขึ้นรถไฟให้ทัน และสุดท้ายเราก็ชนะค่ะ ได้ขึ้นรถไฟ ไม่ต้องหนาวตายอยู่ตรงนั้น เป็นอะไรที่มันดีเหมือนกัน
“แต่ถามว่าทั้งเหนื่อย ทั้งเกือบตายแล้วเข็ดไหม แอนนาไม่เคยเข็ดกับเรื่องแบบนี้เลย คิดว่ามันคงเป็นนิสัยส่วนตัว จริง ๆ คิดแค่ว่าไม่ต้องมีแพลนก็ไม่น่าจะเป็นไร เพราะถ้าล้มเหลว ก็น่าจะรับได้ แต่พอไปจริง ๆ ต้องเรียกว่าพังพินาศไปเลยมากกว่า แต่มันก็สนุก และเป็นสีสันในการเที่ยวของเราเสมอ
“เรื่องราวแบบนี้ เราไม่เคยนำเสนอให้คนดูเห็นเลย ทั้ง ๆ ที่มันเรียล มันเป็นตัวเราที่สุด แต่ต่อไปเราจะเล่าเรื่องแบบนี้ให้ฟัง คิดว่ามันน่าจะสนุกมาก ๆ และต่างจากรายการท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่คงจะเห็นแต่อะไรที่สวย ๆ งาม ๆ และง่ายไปหมด ทุกอย่างถูกตัดต่อมาอย่างดี ทั้งที่จริง ๆ แล้วการไปเที่ยวมันมักจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ
“ยังไงก็ขอฝากทุกคนให้เปิดใจกันนะคะ จริง ๆ เราไม่ใช่ช่องผู้หญิงแก่ แต่เราเป็นผู้ชายมาก่อน แล้วก็มาเป็นสาวประเภทสองและแก่ด้วย ดังนั้นเราคือกลุ่มคนที่หลากหลาย เด็กก็ผ่านมาแล้ว แก่ก็ผ่านมาแล้ว ผู้ชายเราก็เป็นมาแล้ว ตอนนี้ก็เป็นผู้หญิงแล้วด้วย เพราะฉะนั้นเราครบมากค่ะ”