เขียนโดย @mint.nisara | วีดีโอโดย Ruby the Journey
พลอยคือเด็กนิเทศ เอกภาพยนตร์ที่เริ่มทำงานในวงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 16 เธอเป็นนักแสดงจากช่องทีวีใหญ่ที่ค้นหาตัวเองมาเรื่อย ๆ จากการเรียนไปด้วยและทำงานไปพร้อม ๆ กัน จนมาถึงจุดหนึ่งที่เธอเรียนจบและเกิดคำถามกับตัวเองว่า “จบแล้วทำอะไรต่อดี” นั่นคือตัวจุดประกายให้เธอเริ่มต้นออกเดินทางเพื่อหาคำตอบให้กับตัวเอง และกลายเป็นทริปลุยเดี่ยวใน 8 ประเทศภายใน 37 วัน ที่เธอยกมาเล่าให้เราได้ฟังและทำให้เราได้รู้ว่าเด็กสาวคนนี้มาพร้อมพลังบวกและแรงบันดาลใจที่พร้อมจะส่งต่อให้ทุกคนจริง ๆ
พลอย - พลอยไพลิน ตั้งประภาพร เจ้าของเพจ “พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ?”
“ตอนที่เราใกล้เรียนจบ มันเป็นช่วงที่ไม่รู้จะทำอะไรต่อ และก็มีหลาย ๆ คนมากที่เข้ามาถามว่าจะทำอะไรต่อหรอ เราก็เครียดมากเพราะตัวเราเองยังไม่รู้คำตอบเลย พลอยเลยไปปรึกษาพี่คนหนึ่งที่เป็นนักแสดงด้วยกัน พี่เขาก็แนะนำว่าถ้าไม่รู้จะทำอะไรจริง ๆ ลองทำ gap year ดูไหม เรียนมาก็ 15 ปีแล้ว เอาเวลาลองไปทำอย่างอื่นที่มันแปลก ๆ ใหม่ ๆ ดูบ้าง ซึ่งจริง ๆ แล้วตอนนั้นอะ เราเตรียมเอกสารจะส่งสมัครปริญญาโทแล้วแหละ แต่พอได้ยินไอเดียนี้ก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจดีนะ ซักปีนึงแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ถ้าให้ย้อนกลับไปตอนสมัยเรียน ก่อนที่ gap year จะเกิดขึ้น พลอยเคยตั้งคำถามสงสัยกับชีวิตตัวเองไหมว่าอยากเดินไปทางไหน
“ไม่เลยนะ เพราะตอนเรียนม.ปลายเราเห็นตัวเองชัดมาก ๆ ว่าเราเป็นคนชอบเล่าเรื่อง ชอบวาดรูปมาก ชอบอ่านการ์ตูนตาหวาน (หัวเราะ) เราก็เลยมีความคิดว่าจะเข้าอนิเมชั่นหรือพวกกราฟิค แต่คิดไปคิดมาเราก็ไม่อยากนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานนาน ๆ เลยพยายามหาคณะเรียนที่ทำให้เรายังได้เล่าเรื่องและได้ออกไปข้างนอกด้วย ก็มาเจอสายภาพยนตร์ ซึ่งตอนเรียนเราก็รู้สึกนะว่าชอบด้านนี้ บวกกับที่ว่าระหว่างเรียน เราได้ทำงานแสดงไปด้วย ก็คิดว่าทำไปเรื่อย ๆ ก็โอเค แต่ว่าพอเรียนจบ มันก็ถึงเวลาที่ต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่างานแสดงหรอคืองานที่เราจะทำต่อจริง ๆ
ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเทค gap year เพื่อเที่ยวเลย พลอยคิดแต่ว่าอยากทำอะไรซักอย่างในเมืองไทยเนี่ยแหละ อย่างเช่นเรียนทำอาหาร ไปเป็นครูบ้านนอก หรือเรียนภาษามือ (ซึ่งสองอย่างนี้ก็เคยทำมาแล้ว) แต่มันกลายเป็นการเดินทางเพราะช่วงนั้นเป็นตอนที่ละครปิดกล้อง งานที่มหา’ลัยก็เคลียร์เสร็จหมดแล้ว เราก็มานั่งคิดกับตัวเองอีกทีว่าเดือนนี้จะทำอะไรก่อน เอ๊ย หรือว่าจะไปเที่ยวดี ก็คิดถึงทางรถไฟสายไซบีเรีย เป็นสิ่งที่เราอยากไปมานานมากแล้วแต่ยังไม่มีเวลาและโอกาสซะที คืนนั้นเลยตัดสินใจว่าครั้งนี้จะไป และจะไปเที่ยวคนเดียว”
พอบอกว่าจะออกเดินทางคนเดียว ที่บ้านว่ายังไงบ้าง
“คุณแม่คือไม่โอเคตั้งแต่แรกแล้ว แม่โกรธมากเพราะเราไปบอกตอนที่จองตั๋วไปแล้วด้วย ส่วนคุณพ่อรู้อยู่เนิ่น ๆ เค้าก็ดูเหมือนจะไม่ให้นะตอนแรก แต่พอเราบอกว่าเรียนจบแล้วขอลองแค่ครั้งเดียว พ่อก็บอกว่าโอเค ให้ไปลองใช้ชีวิตดู แต่ต้องออกเงินเองทั้งหมดนะ”
ทุกทีเตรียมตัวกันเป็นปี แต่ได้ยินมาว่าของพลอยมีเวลาแค่ 20 วันก่อนเดินทาง…
“คือตอนที่แพลน เราแพลนแค่ครึ่งทาง จากตอนที่ออกจากกรุงเทพบินไปลงปักกิ่งแล้วนั่งรถไฟยาว ๆ ไปถึงรัสเซีย เซนต์ปีเตอรสเบิร์กแค่นั้น หลังจากนั้นก็จองระหว่างการเที่ยว แพลนตามความรู้สึกตัวเองเลยว่าถ้าเหนื่อยไม่อยากเที่ยวตอนไหนก็จะพอแค่นั้น ซึ่งรวม ๆ แล้วพลอยเดินทางไปทั้งหมด 37 วัน จบที่ 8 ประเทศ ซึ่งตอนแรกตั้งใจว่าจากฝรั่งเศสแล้วจะข้ามไปสวิตเซอร์แลนด์ต่อ แต่ตอนนั้นมันไม่ไหวละ เราอยากกลับบ้านมาก”
เป็นผู้หญิงเดินทางคนเดียว เจออุปสรรคในการเดินทางอะไรบ้างไหม
“คือพลอยเป็นคนโชคดีมากที่ไม่ได้เจอใครทำร้ายหรือเรื่องอะไรแย่ ๆ เลย แต่ส่วนมากจะเป็นเรื่องของการหลงทางมากกว่า ซึ่งทุกคนก็น่าจะต้องเจอกันอยู่แล้ว
ครั้งที่พีกที่สุดก็คือตอนที่จะต้องข้ามจากเดนมาร์กไปเนเธอร์แลนด์ ตั้งแต่จีน มองโกเลีย รัสเซีย ก่อนที่จะข้ามประเทศ เราจะเผื่อเวลาไว้ประมาณชั่วโมงนึง ชั่วโมงครึ่งก่อนที่จะเดินทางโดยรถไฟ เพราะเรากลัวว่ามันจะเกิดอะไรรึเปล่า แต่มันมีวันนึงที่เราไม่ได้เผื่อเวลาเอาไว้เลย เพราะคิดว่าตัวเองเซียนแล้ว แบบเดินทางมาได้เดือนนึงก็ยังไม่เห็นจะตกรถเลยนี่นา วันนั้นเลยเผื่อไว้แบบเป๊ะ ๆ ที่จะเดินทางออกจากโฮสเทลไปที่ป้ายรถบัส
ปรากฏว่าไปถึง มันไม่ได้มีป้ายรถบัสเลยด้วยซ้ำ เป็นแค่ซอยเปลี่ยว ๆ ก็เลยต้องวิ่งหาคนแถวนั้นถามทาง ในหัวก็คิดแผนไว้แล้วว่าถ้าตกรถข้ามประเทศจริง ๆ ก็คงต้องซื้อตั๋วใหม่ เสียอีก 4-5 พัน แต่ตอนนั้นเราก็ไม่อยากเสียตังค์ไง ก็วิ่งแบกเป้ใบใหญ่ ๆ ไปถามทางคน เค้าก็บอกว่าถ้ามี 15 นาทีต้องขึ้นรถไฟไป 1 สถานีเพื่อไปที่จุดขึ้นรถ ซึ่งในเดนมาร์กเวลาจะซื้อตั๋วรถไฟ เราต้องซื้อผ่านออนไลน์เกือบทั้งหมด แต่ความโชคดีอย่างหนึ่งคือระบบรถไฟที่นั่นไม่มีไม้กั้น มีแค่เจ้าหน้าที่เดินสุ่มตรวจตั๋วในบางขบวนเท่านั้น เราก็เลยตัดสินใจว่าเสี่ยงดูละกัน ถ้าโดนจับได้ อย่างน้อยก็เสียค่าปรับพอ ๆ กับที่จะต้องเสีย 4-5 พันเพื่อออกตั๋วใหม่อยู่ดี ก็เลยเกาะครอบครัวนึงที่เราไปขอความช่วยเหลือขึ้นรถไฟไปเลย ปรากฏว่าก็ไปถึงจุดขึ้นรถบัสไปเนเธอร์แลนด์ทันเวลาค่ะ (หัวเราะ)”
มีช่วงไหนที่ต้องเผชิญกับความกลัวของตัวเองบ้างไหม
“มันเป็นความกลัวก่อนการเดินทางมากกว่า ตอนกำลังจะบินออกจากกรุงเทพ ก็แอบกลัวนิดนึง แต่ระหว่างทางมันเป็นเหมือนกับว่าเราถามตัวเองมากกว่าว่ามาทำอะไรที่นี่ (หัวเราะ) มันมีช่วงที่เราต้องนั่งรถไฟอยู่ในตู้นอน 3 วันไม่ได้ออกไปไหนเลย ตอนนั้นเราก็ถามตัวเองบ่อยมากว่าทำไม ต้องมาตรงนี้วะ บินไปก็ถึงแล้วเหมือนกัน
แล้วมันก็จะมีจุดที่เราคิดถึงบ้านมาก ที่พีกที่สุดคือตอนอยู่เนเธอร์แลนด์ ตอนนั้นอัดอั้นที่สุดเพราะอยู่คนเดียวมานานมาก มันมีเพื่อนก็จริงนะแต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนที่มาแล้วก็แยกย้ายกันเดินทางต่อไป แล้วคือวันนั้นเราเช่าจักรยานมาปั่น ทางมันเป็นเนินทรายหมดเลย เราปั่นไปแป๊บเดียวก็ไม่ไหว ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว มันรู้สึกแย่มากจนเราตะโกนเลย ว่ามาทำอะไรตรงนี้วะ หิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อย เหงาก็เหงา อยากกลับบ้าน (หัวเราะ)”
ถ้าตัดโมเมนท์คิดถึงบ้านออกไป อะไรที่พลอยคิดว่าเป็นส่วนที่ดีที่สุดของการเดินทาง
“พอกลับมานั่งคิดดูแล้ว พลอยรู้สึกว่าเราใช้เวลาไปกับการพูดคุยกับคนเยอะมาก ๆ แบบคุยเล่นเลย บางทีเราตั้งใจจะออกไปเที่ยวช่วงเช้า แต่กลายเป็นนั่งคุยไปคุยมา อ้าว เที่ยงแล้ว ยังไม่ได้ไปไหนเลย เหมือนพอเราเป็นเด็กอะ คนก็จะเริ่มสนใจเราว่าทำไมถึงมาเที่ยว มาเดินทางคนเดียว เราก็ไปปรึกษาเค้าว่าเราอยากค้นหาตัวเอง กำลังเครียดเรื่องนี้อยู่ เค้าก็เอ็นดูเรา เล่าประสบการณ์ตัวเองให้ฟัง มันก็เลยยาว แต่มันก็เป็นอะไรที่เราได้มากกว่าการไปเที่ยวนะ
ทุกคนให้มุมมองใหม่ ๆ กับเราหมดเลย อย่างตอนจากจีนไปมองโกเลียที่อยู่บนรถไฟ เราก็ไปเจอกับคุณลุงไบรอันจากอเมริกา อายุเขาก็ประมาณ 40 ปลาย ๆ จะ 50 แล้ว และบังเอิญว่ารถไฟทั้งตู้ที่เป็นตู้นอนไม่มีใครเลย นอกจากเรากับเค้าเป็นเวลา 33 ชั่วโมง มันเลยบังคับให้เราต้องคุยกับเค้าถึงจะเขินภาษาอังกฤษตัวเองมากเลย เริ่มจากบทสนทนาที่ผิวเผินกลายเป็นอะไรที่ลึกลงไปเรื่อย ๆ เราก็ระบายให้เค้าฟังว่าเครียดมากเลย ไม่รู้จะทำอะไรต่อดี เค้าก็บอกว่าทำไมไม่ลองทำล่ะ จะคิดทำไม เออ มันก็จริงนะ ทำไมแค่นี้เราคิดไม่ได้ เค้าวางแผนจะเดินทาง 5 เดือน เราก็ถามเค้าว่าที่บ้านโอเคมั้ย เค้าบอกว่าไม่แคร์ ชีวิตเค้าคือของเค้า เราก็แบบ เออ ๆ เป็นคนอินดี้เนอะ และเราก็มารู้ทีหลังว่าเค้าเป็น life coach ทำงานโดยการคุยโทรศัพท์ ให้คำปรึกษากับคน เราก็เลยโชคดีไปเพราะได้ปรึกษาฟรี (หัวเราะ)”
“มันเหมือนการเล่นเกมผ่านด่านนะ แบบมาเช็กอินประเทศนี้แล้วนะ
ต่อไปก็ไปเก็บประเทศนี้นะ
เหมือนเราได้ไต่ไปเรื่อย ๆ achieve สิ่งใหม่ ๆ เรื่อย ๆ”
หลังจากจบทริปนี้ ได้คำตอบหรือยังว่าอยากทำอะไรต่อ
“เราว่าการไปเที่ยวมันไม่ได้ให้คำตอบหรอกว่าแกต้องเป็นอันนี้นะ สำหรับพลอย มันทำให้เรารู้ว่าตัวเราทำอะไรได้บ้างมากกว่า เหมือนกับว่าตอนที่เราอยู่เฉย ๆ อะ เราก็ไม่รู้หรอกว่าเราทำอะไรได้บ้าง แต่พอตอนเที่ยว เราก็ทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้นี่หว่า อาชีพในหัวมันก็จะมาเรื่อย ๆ อย่างตอนอยู่รัสเซีย มานั่งคิดว่าเราก็เที่ยวมาได้ครึ่งโลกแล้วนี่นา เป็นไกด์ก็น่าจะดี หรือตอนไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก พลอยไปเจอโฮสเทลนึงที่ดีมาก ๆ เจ้าของเค้าบอกว่าอยากทำโฮสเทลให้ดีเพื่อที่จะทำให้ทุกคนรักประเทศของเค้า เราก็คิดขึ้นมาว่า เฮ้ย ถ้าเรามีโฮสเทลที่ไทยก็น่าจะดีเหมือนกันแฮะ เหมือนไอเดียเรื่องอาชีพมันมาเรื่อย ๆ อะค่ะ (หัวเราะ) หรืออย่างการเขียนหนังสือก็เป็นอย่างนึงที่เราค้นพบระหว่างทริปนี้ ตอนอยู่จีนเพื่อนคนจีนก็ถามว่าตอนนี้อยากทำอะไร อยู่ดี ๆ เราก็ตอบไปว่าอยากเขียนหนังสือ ทั้ง ๆ ที่ในชีวิตนี้เราไม่เคยคิดถึงการเป็นนักเขียนเลย”
บทเรียนสำคัญที่เราได้เรียนรู้คืออะไร
“ก่อนที่พลอยเดินทาง พลอยเข้าใจว่าชีวิตมันมีแค่เส้นทางเดียว แบบเรียนจบแล้วก็ทำงานเลย แล้วพอเราเรียนจบแต่ยังไม่มีงานที่เราอยากจะทำ เราก็คิดแล้วว่ามันคือข้อผิดพลาดของเรา ที่เรากากอะ นู้บอะ แต่พอเราไปเที่ยวและเจอคนที่หลากหลายมา มันทำให้เรารู้ว่ามันมีหลายเส้นทางมาก บางคนก็ไม่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก ไม่ได้มีชีวิตที่สมหวัง ไม่ได้เรียนที่เค้าอยากจะเรียนด้วยซ้ำ เราก็เลยเข้าใจว่าไอ้คำบอกที่ว่า “ให้ทำงานที่เรารักอะ” มันไม่มีจริงเสมอไป ทุกคนไม่ได้มีโอกาสนั้นเสมอไปและมันก็ไม่ใช่ความล้มเหลวในชีวิตด้วย”
แนะนำให้ทุกคนไปใช้ gap year ไหม
“พลอยคิดว่าถ้า มีโอกาสและยังไม่รู้จริง ๆ ว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิต มันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าถ้า ต้องทำงานเพื่อดูแลครอบครัว ก็ควรทำหน้าที่ของตัวเองตรงนั้น หลายคนบอกว่าเราอะมีเงินถึงจะทำแบบนี้ได้ ไปตามความฝันของตัวเองได้ แต่พลอยก็อยากจะบอกว่าการหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ความจริงมันไม่ต้องไปไหนไกลก็ได้ ไปคุยกับคนอื่น ๆ ที่เราไม่รู้จัก ไปคุยกับลุงป้าน้าอา หรือเดินทางใกล้ ๆ ภายในประเทศก็ได้ตามงบที่เรามี เราก็สามารถเรียนรู้ได้เหมือนกัน ที่พลอยเลือกไปไกล ๆ เพราะมันคือความฝันของเราที่เรายอมเอาเงินเก็บทั้งหมดตั้งแต่เรียนเพื่อจะไป และตอนนี้ก็คือการกลับมาใช้กรรมอยู่ค่ะ (หัวเราะ)”
คำแนะนำสำหรับมือใหม่หัดเที่ยวคนเดียว
1 ถ้าเป็นผู้หญิง พลอยอยากให้เตรียมหาข้อมูลไปให้แน่นที่สุดค่ะ พลอยหาข้อมูลลึกถึงขนาดที่ว่าถ้าสมมติซื้อตั๋วรถไฟแล้วจะต้องไปยื่นที่ไหน ให้เห็นภาพว่าเราจะไปอย่างนี้นะ จะเจอแบบนี้ ๆ นะ
2 ระวังตัว มีสติตลอดเวลา อย่าไปอยู่ในที่ที่อันตราย อย่างตอนพลอยไป ตอนฟ้ามืดเราก็จะกลับที่พักเลย เซฟตัวเองให้มาก ๆ
3 ปรินท์ชื่อโรงแรมที่เราจะไปพัก พวกเบอร์โทรโรงแรมและแผนการเดินทางของเราทิ้งไว้ให้ที่บ้าน เผื่อเค้าติดต่อเราไม่ได้ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งจะได้รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน
ติดตามเรื่องราวการเดินทางของพลอยต่อได้ในหนังสือ “วิชาเดินทางหลังเลิกเรียน” สั่งซื้อได้ที่ Minimore และอัปเดตชีวิตของพลอยได้ต่อทางเพจ “พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ?”
ความเห็น 43
😸
BEST
จะทำแบบนี้ ก็ต้องมีเงินด้วย ไม่ใช่ใครก็ได้ที่ไปได้
14 พ.ค. 2562 เวลา 12.22 น.
Ťon🧡
BEST
นั่งนิ่งๆอยู่บ้าน หายใจเข้าออกช้าๆ ปล่อยจิตให้ว่าง เรียกกันว่า " สมาธิ " ทำบ่อยๆก็มีคนค้นเจอตัวเองเหมือนกันครับ !! สะดวกเเบบไหนทำเเบบนั้น ^ ^
14 พ.ค. 2562 เวลา 12.41 น.
Pojsible
BEST
ไปเที่ยวเนี่ยนะ ค้นหาตัวเอง เค้าต้องลองทำนั่นทำนี่ ไปเรื่อยๆ ถึงรู้ว่าตัวเองถนัดอะไร ทำอะไรแล้วมีความสุข สบายใจ
14 พ.ค. 2562 เวลา 13.07 น.
Oil
เคยลองแล้วแต่แค่ 2 อาทิตย์ คิดเหมือนกันเลยกูทำอะไรอยู่วะ กลับบ้านทำงานหาเงินดีกว่า หมดไปเยอะละ เพื่อนก็ไม่มี คิดกลับไปก็สนุกแต่ให้ทำอีกไม่เอาดีกว่า เหงา
14 พ.ค. 2562 เวลา 13.46 น.
Rojravee
ค้นเจอไหมครับ..ตัวเอง ?
14 พ.ค. 2562 เวลา 12.07 น.
ดูทั้งหมด