โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

อานามสยามพ่าย ยุทธนาวี "ไตเซิน" พิชิตกองทัพสยาม ล่อไทยเข้าไปจนมุม-พ่ายยับ

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 30 ธ.ค. 2564 เวลา 07.13 น. • เผยแพร่ 30 ธ.ค. 2564 เวลา 07.07 น.
ภาพประดับฝาผนังภายในอาคารอนุสรณ์สถาน แสดงเหตุการณ์ตอนพวกไตเซินพิชิตกองทัพสยาม (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม ฉบับสิงหาคม 2556)

ในรอบ 1,000 ปี ตั้งแต่เป็นบ้านเป็นเมืองมา เวียดนามเจอศึกน้อยใหญ่หลายครั้ง แต่ที่นับว่าเป็นศึกใหญ่ระดับ “มหาสงคราม” นั้น เวียดนามเขาระบุว่ามี 10 ศึกด้วยกัน เช่น ศึกต้านทัพจีนที่แม่น้ำแบ็กดั่ง ศึกต้านฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟู ศึกต้านอเมริกาที่เวียดนามใต้ และที่สำคัญคือ ศึกต้านทัพสยามที่เหร็จเกิ้ม-สว่ายมุ๊ท(Rach Gam-Xoai Mut) ศึกท้ายสุดนี้ไม่เป็นที่รับรู้ในหมู่คนไทยเรา แต่ที่เวียดนามเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จนปรากฏเป็นอนุสรณ์สถานและบรรจุในตำราเรียน

ความเดิม

เพื่อเข้าใจเรื่องราวดีขึ้นต้องย้อนอดีตไปสักนิดว่าในพุทธศตวรรษที่ 24 นั้นเวียดนามปกครองด้วยราชวงศ์เล (Le) ราชวงศ์นี้สถาปนาโดย เลเหล่ย (Le Loi) เมื่อพุทธศตวรรษที่ 19 (หรือคริสต์ศตวรรษที่ 13) ถ้าไปเวียดนามต้องได้ยินเรื่องวีรบุรุษที่ได้ดาบวิเศษจากเต่าและใช้เป็นอาวุธจนสามารถไล่จีนออกไป จากนั้นก็ประกาศเอกราชให้แก่เวียดนาม วีรบุรุษผู้นั้นก็คือ เลเหล่ย ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เลพระองค์นี้แหละ ราชวงศ์เลปกครองเวียดนามตั้งแต่นั้นมา แต่ว่าในเวลาต่อมาทายาทของราชวงศ์เลอ่อนกำลังลง มีอำนาจแต่เพียงในนาม อำนาจที่แท้จริงนั้นอยู่ในมือของขุนนาง 2 ตระกูล คือ

ตระกูลตริ่นห์ หรือจิ่นห์ (Trinh) มีอำนาจอยู่ในเขตเวียดนามเหนือ บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำแดง หรือที่รู้จักในชื่อว่า “ตังเกี๋ย” (คำนี้พวกฝรั่งจะออกเสียงเป็น Tonkin) อีกตระกูลคือตระกูลเหงวียน (Nguyen) มีอำนาจในเขตเวียดนามกลาง หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อานาม หรือ อันนัม” (An Nam) เรื่อยลงมาทางใต้จนมาถึงเมืองไซ่ง่อน (อดีตเรียกว่าเมืองยาดิ่งห์/Gia Dinh) ในสมัยนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น “ยุค 1 ราชวงศ์ 2 ตระกูล”

ในยุคนี้เป็นยุคที่ชาวเวียดนามโดยเฉพาะพวกชาวไร่ชาวนา ถูกขุนนางทั้ง 2 ตระกูลรีดนาทาเร้นเพื่อกอบโกยเงินทองเข้ากระเป๋าตนโดยไม่คิดถึงหัวอกของคนที่ออกแรง ตอนที่ชาวบ้านต้องตกระกำลำบากนี้แหละที่ 3 พี่น้องตระกูล “เหงวียน” จากหมู่บ้านไตเซิน เมืองบิ่นห์ดิ่นห์ ที่ต่อมารู้จักกันในชื่อ “พวกไตเซิน” (Tay Son) ได้ลุกขึ้นนำพาผู้คนเข้ายึดอำนาจจากพวกขุนนางทั้ง 2 ตระกูล

พวกไตเซินก็แซ่ “เหงวียน” เหมือนกับพวกขุนนางที่ปกครองเวียดนามใต้ พวกนี้เป็น “เหงวียนขุนนาง” แต่พวกไตเซินเป็น “เหงวียนชาวนา” มีคนเล่าให้ฟังว่าทายาทของแซ่เหงวียนจากเวียดนามคนหนึ่งได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีของไทย แต่ไม่ทราบว่าบรรพบุรุษของท่านผู้นี้จะเป็น “เหงวียนขุนนาง” หรือ “เหงวียนชาวนา”

ชื่อแซ่ “เหงวียน” หรือ “เหงียน” นี้เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Nguyen เอกสารไทยเก่า ๆ จะออกเสียงผิดเป็น “งูเย็น”

การยึดอำนาจของพวกไตเซินเริ่มจากเขตเวียดนามใต้ก่อน จากนั้นก็เข้าสู่เวียดนามเหนือ จนในที่สุดสามารถยึดเวียดนามได้ทั้งประเทศ ฝ่ายชาตินิยมเวียดนามจะยกย่องวีรกรรมของพวกไตเซินนี้มาก ด้วยถือว่าพวกไตเซินได้รวมแผ่นดินเวียดนามเป็นครั้งแรก คือรวมเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้เข้าด้วยกัน แต่ฝ่ายราชสำนักเวียดนามและพันธมิตรจะมองว่าเป็นการกระทำของพวกกบฏ ดังเช่นในเอกสารฝ่ายไทยจะเรียกพวกนี้ว่า “กบฏไตเซิน” ทุกครั้ง

ตอนนี้ขอกลับไปตอนที่พวกไตเซินกำลังเรืองอำนาจ แล้วเข้ายึดดินแดนในเขตเวียดนามใต้ได้เรื่อย ๆ ตอนนี้แหละที่ทายาทของขุนนางตระกูลเหงวียนจากเว้ได้หลบหนีลงมาอยู่ที่ไซ่ง่อน กะว่าจะใช้ที่นี่เป็นฐานที่มั่นต่อสู้กับพวกไตเซิน แต่แล้วก็ถูกพวกไตเซินตามมาตีจนไซ่ง่อนแตก ทายาทตระกูลเหงวียนกลุ่มหนึ่งนำโดยองเชียงชุนจึงหนีเข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารในพระเจ้าตากสิน แต่ว่าอยู่มาไม่นานองเชียงชุนกับพวกก็ถูกประหารชีวิต เหตุเพราะคิดจะหนีกลับเวียดนาม

ส่วนทายาทตระกูลเหงวียนอีกกลุ่มหนึ่งนำโดยองเชียงสือ ไปหลบอาศัยอยู่ที่ชายแดนติดเมืองเขมร ต่อมาเมื่อมีกำลังมากพอก็ยกพลไปยึดเมืองไซ่ง่อนคืนจากพวกไตเซิน จากนั้นองเชียงสือก็ตั้งตนเป็นเจ้าเมืองไซ่ง่อน แต่ว่าอยู่ได้ไม่นานพวกไตเซินก็ตามมาตีเมืองไซ่ง่อนคืนอีก องเชียงสือเลยต้องหนีไปอาศัยอยู่ที่เกาะฝูก๊วกและเกาะกูด จากนั้นก็เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชกาลที่ 1 ของสยาม รัชกาลที่ 1 โปรดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านคอกกระบือ แถว ๆ สี่พระยาในปัจจุบัน

ความใหม่

เหตุการณ์ที่จะนำเสนอใน “อานามสยามพ่ายในสมรภูมิเหร็จเกิ้ม-สว่ายมุ๊ท” ซึ่งเกิดใน พ.ศ. 2328 นั้น ก็เกิดในตอนนี้แหละ

เรื่องก็มีอยู่ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ส่งกองทัพมาช่วยองเชียงสือรบกับพวกไตเซิน ด้วยหมายจะชิงเมืองเวียดนามจากพวกไตเซินให้แก่องเชียงสือ

จดหมายเหตุความทรงจำ ของ พระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพ) กล่าวว่า “ณปลายปี พระโองการรับสั่งให้กรมหลวงเทพหริรักษ์ยกไปตีไกรเกริน”

“ไกรเกริน” ก็คือ “ไตเซิน”

พงศาวดารญวน (ฉบับที่สยามเรียบเรียงขึ้นรวมอยู่ในประชุมพงศาวดาร) กล่าวว่า “ถึงปีมะโรงศักราช 1146 จึงตรัสสั่งให้จัดกองทัพเรือ ให้พระเจ้าหลานเธอกรมหลวงเทพหริรักษ์เป็นแม่ทัพ กำกับองเชียงสือไปด้วย ให้พระยานครสวรรค์เป็นทัพหน้า ยกออกไปตีเมืองญวน เข้าทางปากน้ำเมืองนำก๊ก ตีทัพพวกองไกรเซินแตกขึ้นไปจนถึงคลองว่ำน่าว ฝ่ายพระยานครสวรรค์แม่ทัพหน้าคิดมิชอบเป็นใจกับพวกญวน จึงมีตราให้หาเข้ามา ณ กรุงฯ ให้ประหารชีวิตเสีย ส่วนกองทัพไทยตั้งอยู่คลองว่ำน่าวนั้น พวกญวนตัดหลังมาทางคลองวงเจิง เป็นทัพกระหนาบ กองทัพเรือไทยเห็นพวกญวนปิดไว้ทั้งต้นคลองทั้งปลายคลอง กลัวจะออกไม่ได้ ทั้งขัดเสบียงอาหารลงด้วยก็ทิ้งเรือใบเรือไล่เสีย ขึ้นบกหนีมาทางเมืองเขมร”

ส่วนเอกสารฝ่ายเวียดนามกล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า “พวกเรา[คือไตเซิน]ตั้งทัพอยู่ที่หมีทอนี้ แล้วจัดทหารไปตั้งซุ่มอยู่ในลำคลองเหร็จเกิ้มกองหนึ่ง ให้ยกไปตำบลซาแด๊ก รบล่อให้พวกองเชียงสือกับกองทัพฝ่ายสยามไล่ลงมาพ้นจากเหร็จเกิ้มแล้วให้กองทุ่มสกัดต้นน้ำไว้ กองทัพที่หมีทอตีขนาบขึ้นไป ตามที่ตกลงกันนี้เป็นอันได้จัดกองทัพมาล่อทัพไทย ให้ไล่ถลำไปดังเช่นความคิดนั้น…”

ในพระราชพงศาวดารรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ฉบับ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ กล่าวว่า “ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ท้าวพระยานายทับนายกองและองเชียงสือ กราบถวายบังคมลา ยกกองทับเรือออกไปทางทะเล เข้าปากน้ำเมืองปาศัก ไปตั้งอยู่คลองวามนาว ฝ่ายญวนไกเซินซึ่งมาตั้งค่ายรักษาที่ปากคลองวามนาว ทางจะลงไปซาแดกล่องโห้ไซ่ง่อน กองทับกรมหลวงเทพหริรักษ์จะหักลงไปไม่ได้ ก็ขึ้นตั้งค่ายบนบก หมายจะตีค่ายบกของญวนให้แตกเสียก่อน จึงจะยกทับเรือล่องไป ไม่ได้คิดระวังหลัง ครั้นน้ำมากขึ้น ญวนก็เอาเรือรบลัดมาทางคลององเจืองออกแม่น้ำใหญ่ แล้วมาปิดปากคลองวามนาว ค่างด้านหลังทางเข้าไป ฝ่ายทับญวนค่างปากคลองลำน้ำเมืองไซ่ง่อนก็ตีเข้ามา ค่างฝ่ายลำน้ำสมีถ่อก็ตีรุกหลังเข้าไป ทับกรมหลวงเทพหริรักษ์อยู่หว่างศึกขนาบก็ทิ้งเรือรบเรือไล่เสีย แตกขึ้นบกหนีไป”

เพื่อให้เข้าใจเหตุการณ์นี้ได้ดียิ่งขึ้น ผมได้ขอให้ Vo Thi Linh Phuong นักศึกษาชาวเวียดนามเอกภาษาไทย ช่วยแปลหนังสือประวัติศาสตร์เวียดนามที่กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ ได้ข้อมูลว่า

“เดือน 7/1784 [ปี พ.ศ. 2327] กองทัพเรือสยามเข้าฝั่งและยึดได้เหร็จยา (Rach Gia) และตีกองทัพไตเซินที่เกิ้นเธอ (Can Tho) และยึดได้หลายเมืองบริเวณแม่น้ำป่าสัก [แม่น้ำโขงสายล่างคนเวียดนามเรียกว่าแม่น้ำหลังหรือเห่าหย่าง/Hau Giang] แม่ทัพของไตเซินจึงนำกองทัพจากยาดิ่นห์ [Gia Dinh เมืองนี้ต่อมาเรียกว่าไซ่ง่อน] ไปต้านข้าศึกที่แม่น้ำป่าสัก

วันที่ 30/11/1784, Chu Van Tiep แม่ทัพสยามนำทัพมาทางบก เมื่อไปถึงแม่น้ำป่าสักก็ถูกกองทัพไตเซินโจมตีจนแพ้และแม่ทัพตาย เหงวียนเหวะ[นามเดิมคือ Quang Trung น้องชายคนที่ 2 ของพวกไตเซิน] จึงนำกองทัพมาช่วยเสริม แต่พระองค์พิจารณาเห็นว่าจำนวนไพร่พลน้อยกว่าที่ต่อสู้ได้ จึงถอยออกจากแม่น้ำป่าสัก กองทัพสยามจึงให้กองทัพเรือในแม่น้ำโขง [คนเวียดนามเรียก เตียนหย่าง/Tien Giang แปลว่า แม่น้ำหน้า] ไปตั้งค่ายอยู่ที่จาเติน[Tra Tan อาจเป็นบริเวณคลองวามนาวในจังหวัดซาแด็ก/Sa Dec ในปัจจุบัน]

ปลายปี 1784 กองทัพไตเซินนำโดยเหงวียนเหวะ (Nguyen Hue) ยกทัพไปตั้งมั่นที่หมีทอ (My Tho) พอถึงต้นปี 1785 [ปี พ.ศ. 2328] เหงวียนเว้ก็ส่งกองกำลังบางส่วนโจมตีแบบกองโจรเพื่อประเมินกำลังข้าศึก เมื่อรู้จักนิสัยกองทัพสยามที่มักโลภ เหงวียนเหวะก็ให้คนเอาเงินติดสินบนเพื่อทำให้กองทัพสยามประมาท

ด้วยความใกล้ชิดทำให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามาเป็นฝ่ายของเหงวียนเหวะมากยิ่งขึ้น ตรงกันข้ามกับกองทัพสยาม ถือว่าตนเป็นคนมาช่วยเหลือ จึงกดขี่ข่มเหงประชาชน ดูถูกทั้งกองทัพไตเซินและเหงวียนเหวะ เพราะฉะนั้นในจดหมาย ลงวันที่ 25/1/1785 [ปี พ.ศ. 2328] ของเงหวียนเว้ ที่ส่งให้กับบาทหลวง เจ. ลิออต (J. Liot) เขียนว่า ‘ตอนนี้ทหารสยามปล้นทรัพย์สิน ข่มขืนผู้หญิง ฆ่าคนตามอำเภอใจ เพราะฉะนั้นนับวันกองทัพของไตเซินยิ่งเข้มแข็ง ส่วนกองทัพสยามยิ่งอ่อนลง’

ด้วยเหตุนี้ทำให้เหงวียนเหวะมีเวลาเพียงพอที่จะศึกษาภูมิประเทศและรูปแบบของการต่อสู้ครั้งใหญ่ เมื่อเปรียบเทียบกำลังพลก็ทราบว่า กองทัพไตเซินไม่สามารถต้านทัพสยามที่ซาแด็กและจาเติน (Sa Dec/Tra Tan) ได้ เหงวียนเว้จึงไปสำรวจภูมิประเทศและเรียนรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของศัตรู ในที่สุดก็เลือกชัยภูมิได้ที่แม่น้ำโขงในเมืองหมีทอ (My Tho) ช่วงระหว่างแม่น้ำเหร็จเกิ้มกับแม่น้ำสว่ายมุ๊ท ตรงนี้อยู่ห่างจากเมืองหมีทอในปัจจุบันไป 12 กิโลเมตร

หลังจากให้ทัพบกและทัพเรือแอบซ่อนตามที่กำหนดไว้แล้ว เหงวียนเหวะก็ให้คนไปหลอกล่อกองทัพสยามให้ลงมาตีกองทัพไตเซินที่หมีทอ คืนวันที่ 18/1/1795[ปี พ.ศ. 2328] กองทัพสยามทั้งเรือและบกบุกมาอย่างรวดเร็ว

เช้าตรู่วันที่ 19/1/1785 ขบวนเรือของศัตรูก็มาถึงสนามรบตรงที่ได้ซุ่มกองกำลังของไตเซินไว้ในคลองเหร็จเกิ้ม-สว่ายมุ๊ท (Rach Gam-Xoai Mut) กองทัพไตเซินส่งสัญญาเปิดการโจมตี เริ่มต้นกองทัพเรือของไตเซินสองชุดโผล่ออกจากคลองเหร็จเกิ้มและสว่ายมุ๊ท ปิดกั้นทั้งสองทางแล้วไล่ศัตรูเข้าไปจุดที่ดักรอไว้แล้ว ขณะเดียวกันจากสองฝั่งแม่น้ำ กองทัพบกไตเซินก็ยิงปืนใหญ่ไปที่ขบวนเรือศัตรู ซึ่งกำลังติดอยู่ที่กลางแม่น้ำ พร้อม ๆ กันนั้นเรือรบของไตเซินจากคลองทั้งสองฝั่งโผล่ออกมาเพื่อโจมตีและแบ่งแยกขบวนและให้เรือเล็กเข้าไปเพื่อทำลายเผาผลาญเรือศัตรู

พอรุ่งอรุณ การสู้รบก็ได้ยุติ ผลปรากฏว่าเรือรบ 300 กำลังพล 200,000 คน ของกองทัพสยามถูกกองทัพเหงวียนเว้กำจัดภายในเพียงแค่วันเดียว นายพลสยามหนีไปทางซาแด๊กนำไพร่พลที่เหลือไม่กี่พันคนกลับสยามโดยทางบก ส่วนเหงวียนแอ๊นห์ (หรือองเชียงสือ) หนีไปยังเมืองฮ่าเตียน (Ha Tien)”

จากเอกสารทั้งหลายที่ได้นำมาเสนอนั้น สรุปได้ว่า กองทัพเรือของสยามซึ่งนำโดยกรมหลวงเทพหริรักษ์นั้น ถูกล่อให้ถลำเข้าไปบริเวณแม่น้ำโขงช่วงที่คลองสาขา 2 สายซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายเหมือนกันไหลมาออกแม่น้ำโขง บริเวณนี้ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดหมีทอ (My Tho) คลองที่อยู่ทางเหนือคือคลองเหร็จเกิ้ม คลองที่อยู่ทางใต้คือคลองสว่ายมุ๊ท กองทัพเรือสยามถูกล่อให้มาอยู่ที่แม่น้ำโขงตรงบริเวณที่คลองทั้ง 2 กั้นอยู่ทางเหนือและใต้ เมื่อทัพเรือสยามมาถึงที่ตาย ทัพเรือของฝ่ายไตเซินก็ออกจากคลองทั้ง 2 สายมาปิดกั้นทั้งหัว-ท้าย รวมทั้งกองกำลังที่ซุ่มอยู่ 2 ฝั่งแม่น้ำโขงต่างก็ระดมยิงเข้ามา เป็นเหตุให้ฝ่ายสยาม ซึ่งตกอยู่ในวงล้อมต้องพ่ายแพ้ในที่สุด

จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์อย่างนี้ ฝ่ายเวียดนามใช้มาตั้งแต่สมัยนายพลเจิ้นฮึงด่าว ที่หลอกล่อทัพเรือราชวงศ์หยวนของจีนเข้าไปที่แม่น้ำแบ๊กดั่ง อันเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำแดงก่อนที่จะไหลออกทะเล โดยที่ฝ่ายศัตรูไม่รู้ว่าในขณะนั้นเป็นช่วงน้ำขึ้น ทำให้เรือจีนล่วงเข้าไปในแม่น้ำได้ แต่พอกองทัพเรือจีนเข้ามาถึงที่ตายแล้ว น้ำเริ่มลด รอซึ่งปักไว้ใต้น้ำก็โผล่ กั้นไม่ให้เรือจีนหนีไปได้ จากนั้นฝ่ายเวียดนามก็เข้าตะลุมบอน จนมีชัยชนะแก่จีนในที่สุด

และในการศึกอีกหลายครั้งในประวัติศาสตร์ของเวียดนามก็ใช้กลยุทธ์นี้ รวมทั้งศึกกับสยามคราวนี้ด้วย กลยุทธ์เรียกย่อ ๆ ว่า “ล่อ-ล้อม-รุม” คือล่อข้าศึกให้เข้ามาที่วางกับดักไว้ เมื่อมาถึงที่กำหนดไว้แล้วก็เข้าล้อมและรุมบดขยี เพื่อนชาวเวียดนามเล่าให้ฟังว่าในศึกที่จีนยกมาโจมตีเวียดนามเมื่อ ปี พ.ศ. 2522 ที่เรียกว่า “สงครามสั่งสอน” นั้น ฝ่ายเวียดนามก็ใช้กลยุทธ์นี้เช่นกัน

หลายคนคงสงสัยว่ากรมหลวงเทพหริรักษ์มีองเชียงสือไปด้วย ทำไมองเชียงสือไม่แจ้งเรื่องภูมิประเทศ หรือกลยุทธ์นี้ให้ทราบเลยหรือ ถ้าอ่านจากเอกสารฝ่ายเวียดนามก็จะทราบว่ากองทัพขององเชียงสือนั้นถูกกันให้แยกออกจากกองทัพของกรมหลวงเทพหริรักษ์ หรือว่าอาจจะแจ้งแต่กองทัพเรือของสยามไม่ตระหนักในเรื่องกลศึก คงคิดแต่เพียงว่าจะตามตีกองทัพฝ่ายไตเซินให้พินาศให้จงได้ เลยต้องถลำเข้าไปติดกับดักของฝ่ายไตเซินจนพ่ายแพ้ดังกล่าว

ฝ่ายพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา กลับกล่าวถึงเหตุการณ์นี้ต่างออกไปว่า “ครั้นเพลาวันหนึ่ง ทัพเรือฝ่ายไทยยกลงไปรบทัพเรือญวน แล้วถอยขึ้นมาเอาศีรษะเรือรบจอดอยู่หน้าค่าย รี้พลขึ้นบกเข้าค่าย ทิ้งเครื่องศาสตราวุธปืนใหญ่น้อยไว้ในเรือ ด้วยมีความประมาทมิได้ระวังข้าศึก ครั้นเพลาน้ำขึ้น ทัพเรือญวนยกตามขึ้นมาถึงหน้าค่าย ยิงปืนระดมขึ้นมาทำลายค่าย ต้องไทยในค่ายตายเป็นหลายคนและพลทหารไทยเสียที จะลงเรือออกต่อรบมิทัน ก็ทิ้งค่ายเสีย แตกหนีเป็นอลหม่าน นายทัพนายกองจะกดไว้มิอยู่ ก็พากันแตกหนีมาทั้งสิ้น…”

ข้อมูลในเอกสารนี้บอกว่าที่ฝ่ายสยามแพ้นั้นเพราะประมาท ทิ้งอาวุธไว้ในเรือ เมื่อถูกฝ่ายไตเซินโจมตี ไม่มีปืนยิ่งโต้ตอบเลยต้องแพ้ แต่ไม่บอกเรื่องที่ถูกล่อให้เข้าไปจนมุม ฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ เพราะในการศึก ทหารจะอยู่ห่างจากอาวุธอย่างนั้นได้หรือ และการที่กองเรือฝ่ายไตเซินจะมาประชิดจนยิงถล่มนั้น ฝ่ายสยามไม่เห็นศัตรูก่อนที่จะเข้ามาใกล้หรือ? จำได้ว่า อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ บอกไว้ที่ไหนสักแห่งว่าพระราชพงศาวดารฉบับนี้น่าเชื่อถือน้อยที่สุด เห็นจะจริง

ปัจจุบันที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงในจังหวัดหมีทอ ตรงที่สยามเคยมาแพ้นั้น ทางเวียดนามได้สร้างเป็นอนุสรณ์ถึงชัยชนะครั้งนี้อย่างใหญ่โต ถ้าอยากเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด เวียดนามจึงให้ความสำคัญกับการศึกครั้งนี้ ต้องอ่านจากหนังสือที่ชื่อ“เวียดนาม ประวัติศาสตร์ฉบับพิสดาร” ของเหงวียนคักเวียน ซึ่งเขาเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนี้ว่า

“เหงวียนแอ็นห์[คือองเชียงสือ]ใช้ยุทธวิธีโบราณ แบบศักดินาในยามตกยาก คือเรียกคนต่างชาติมาช่วย เขาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าแผ่นดินสยาม ซึ่งทรงส่งกำลังทัพจำนวน 2 หมื่นคน (บางหลักฐานระบุว่า 5 หมื่นคน) พร้อมเรือ 300 ลำ มาช่วย ใน ค.ศ. 1784 กองทัพสยามยกเข้ามาทางตะวันตกของปากแม่น้ำโขง เหงวียนเหวะ [ผู้นำไตเซินคนที่ 2] ออกไปเผชิญกับกองทัพสยาม ล่อให้กองทัพเรือสยามเข้าเกยตื้นบนฝั่งแม่น้ำหมีทอ (My Tho) ในอำเภอเหร็จเกิ้มสว่ายมุ๊ต (Rach Gam Xoai Mut) กองทัพสยามเหลือไพร่พลเพียง 2 พันคน ถอยไปทางบกทางทิศตะวันตก เป็นชัยชนะที่งดงามที่สุดอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เวียดนาม ที่มีชื่อเสียงเพราะเอาชนะได้อย่างรวดเร็ว ตัดบทมิให้สยามพยายามขยายอำนาจเข้ามาในนามโบะ (คือภาคใต้เวียดนาม) เหงวียนเหวะปรากฏตัวขึ้นในฐานะเป็นนักวางแผนที่เฉลียวฉลาดและเป็นวีรบุรุษของชาติ ตรงข้ามกับเหงวียนแอ็นห์ผู้พยายามชิงราชบัลลังก์ด้วยความช่วยเหลือจากกองทัพต่างชาติ”

ทีนี้คงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดทางเวียดนามจึงให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ครั้งนี้ จนสร้างเป็นอนุสรณ์สถานไว้ที่นี่ และคงเข้าใจดีว่าในอดีตนั้นเพื่อนบ้านมองเราอย่างไร ที่สำคัญที่สุดคงเข้าใจว่าเหตุใดประวัติศาสตร์เรื่องนี้ จึงไม่ปรากฏในตำราเรียนของเรา

อ่านเพิ่มเติม :

หมายเหตุ : คัดเนื้อหาจากบทความ “อานามสยามพ่าย ตอน ยุทธภูมิเหร็จเกิ้ม-สว่ายมุ๊ท” เขียนโดย สมฤทธิ์ ลือชัย ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับสิงหาคม 2556

เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 30 ธันวาคม 2564

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...