เอ็ดดี้ยัน ตนเองปกป้องสถาบัน แจงกรณีถูกอ้างอิงในการดำเนินคดีต่อนักวิชาการสหรัฐฯ ชี้ตนเองได้รับเกียรติจาก กอ.รมน. ภาค 3 นำข้อมูลไปใช้
เอ็ดดี้ – อัษฎางค์ ยมนาคออกแถลงการณ์กรณีบทความของอัษฎางค์ ยมนาค ที่ถูกอ้างอิงในกระบวนการดำเนินคดีต่อ ดร.พอล แชมเบอร์ส
ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ภาค 3 ได้มีการอ้างอิงบทความของข้าพเจ้า อัษฎางค์ ยมนาค ซึ่งเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2567 ในการดำเนินการตรวจสอบ และเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลในการแจ้งความดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แก่ ดร.พอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวสหรัฐอเมริกา นั้น
ข้าพเจ้าขอชี้แจงต่อสาธารณชน ดังต่อไปนี้
- ที่มาของข้อวิพากษ์ของข้าพเจ้า มาจากบทความของ ดร.พอล แชมเบอร์ส ซึ่งเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์
โดยใช้ถ้อยคำที่ชี้ให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีอำนาจเหนือรัฐบาลพลเรือนในการแต่งตั้งโยกย้ายกองทัพ ซึ่งขัดแย้งกับหลักการของรัฐธรรมนูญไทยโดยสิ้นเชิง
บทความดังกล่าว ถูกเขียนเป็นภาษาอังกฤษและเมื่อถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะในระดับนานาชาติ ก็ย่อมสร้างความเข้าใจผิดในวงกว้าง โดยเฉพาะในหมู่ผู้อ่านที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงตามหลักกฎหมายไทย อันอาจส่งผลให้ภาพลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในสายตาชาวโลกเกิดความเสียหายโดยไม่เป็นธรรม
บทความนั้นอาจถูกเขียนในทาง “วิชาการ” แต่มีลักษณะของ Disguised Political Attack (การโจมตีทางการเมืองที่สวมเสื้อคลุมวิชาการ) และส่งผลกระทบเชิงภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของสถาบันฯ ในระดับนานาชาติ เช่น
มีลักษณะ บ่อนเซาะความมั่นคงของสถาบันฯ
บิดเบือน หน้าที่ทางกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ
อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา
บทความของข้าพเจ้าเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ปรากฏต่อสาธารณะจากบทความในเว็บไซต์ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งตำแหน่งในกองทัพไทย
ข้าพเจ้าได้แสดงความเห็นในฐานะพลเมืองไทยที่มีสิทธิและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะในหมวด 4 มาตรา 50 ซึ่งกำหนดให้ประชาชนมีหน้าที่พิทักษ์สถาบันหลักของชาติ ได้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
- ข้าพเจ้าไม่มีเจตนากล่าวหา หรือให้ร้ายบุคคลใดเป็นการเฉพาะเจาะจง
แต่เป็นการแสดงความเห็นต่อประเด็นสาธารณะในเชิงวิชาการ โดยชี้ให้เห็นถึงความคลาดเคลื่อนของข้อมูลกับหลักกฎหมายและรัฐธรรมนูญของไทย มิได้มีถ้อยคำใดที่เป็นการใส่ร้าย หรือกระตุ้นให้เกิดความเกลียดชังต่อบุคคลใด
- ข้าพเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับการตัดสินใจหรือกระบวนการของหน่วยงานรัฐ
การที่บทความของข้าพเจ้าถูกนำไปใช้โดยหน่วยงานของรัฐ ย่อมอยู่ภายใต้ดุลยพินิจและอำนาจของหน่วยงานนั้น ๆ ข้าพเจ้าไม่มีอำนาจสั่งการ ชี้นำ หรือควบคุมผลทางกฎหมายใด ๆ ที่ตามมา
ทั้งนี้ ข้าพเจ้าตระหนักดีว่า บทความของข้าพเจ้าได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกอภิปรายในเวทีรัฐสภา ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน, กฎหมายอาญามาตรา 112, อำนาจหน้าที่ของกองทัพ, กระทรวงกลาโหม ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
ข้าพเจ้าจึงขอยืนยันอีกครั้งว่า ทุกข้อความในบทความนั้น เขียนขึ้นจากเจตนาบริสุทธิ์ ด้วยความห่วงใยต่อสถาบันหลักของชาติ และตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเท่านั้น มิได้มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง หรือมุ่งหมายให้เกิดความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแต่อย่างใด
- ข้าพเจ้าเชื่อว่า การที่บทความของข้าพเจ้าได้รับการอ้างอิงโดย กอ.รมน. ภาค 3 ถือว่าเป็นการได้รับเกียรติจากหน่วยงานความมั่นคงที่เห็นคุณค่าในการใช้ข้อมูลจากภาคประชาชน ในการนำไปพิจารณาดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดต่อกฎหมายไทย ซึ่งในฐานะประชาชนถือว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ
ไม่ใช่เพราะต้องการให้ใครได้รับโทษ แต่เพราะเป็นการตอกย้ำว่า พลเมืองคนหนึ่งสามารถทำหน้าที่ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
- เนื้อหาทั้งหมดของบทความนั้น ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์ตามหลักกฎหมาย ไม่ได้ใส่ร้ายหรือบิดเบือน แต่คือการชี้ให้เห็นถึงความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงในบทความของ ดร.พอล แชมเบอร์ส ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่า มีลักษณะที่ละเมิดกฎหมายไทย
การที่หน่วยงานความมั่นคงใช้บทความดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นในการตรวจสอบ จึงถือเป็นการใช้ข้อมูลภาคประชาชนอย่างมีคุณค่า และสะท้อนว่า สังคมไทยยังเปิดพื้นที่ให้พลเมืองได้ทำหน้าที่ของตนเพื่อปกป้องชาติบ้านเมืองอย่างสง่างาม
- ท้ายที่สุด ข้าพเจ้าขอเน้นย้ำว่า การแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นสาธารณะในสังคมประชาธิปไตย ต้องสามารถกระทำได้ภายใต้หลักแห่งกฎหมาย ความสุจริตใจ และความรับผิดชอบ
ในขณะเดียวกัน หน่วยงานของรัฐและสื่อมวลชนควรใช้อำนาจและข้อมูลด้วยความรอบคอบ และตรงต่อข้อเท็จจริง เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดหรือผลกระทบต่อบุคคลใดโดยไม่เป็นธรรม