โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

เปิดประวัติ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เส้นทางอำนาจ ผู้มีบารมี ถึงรักษาการนายกฯ

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 27 มี.ค. 2566 เวลา 08.32 น. • เผยแพร่ 25 ส.ค. 2565 เวลา 12.57 น.
FILE PHOTO

เปิดประวัติเส้นทางอำนาจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากผู้มีบารมีในกองทัพ สู่การก้าวขึ้นสู่เก้าอี้สูงสุดฝ่ายบริหาร รักษาการนายกรัฐมนตรีชั่วคราว

ช่วงเวลานี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กลายเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้น จากการขึ้นมาเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีแทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ

หากมองย้อนกลับไปในเส้นทางชีวิตของชายคนนี้ ถือเป็นผู้ที่มีคอนเน็กชั่นและสั่งสมบารมีทางการเมืองมากที่สุดคนหนึ่ง ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเพียงนายทหาร จนถึงวันนี้ที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี

เส้นทางพี่น้องนายพล 3 ป.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2488 เข้าเรียนในโรงเรียนเซนต์คาเบรียล เมื่อปี 2505 จากนั้น ปี 2508 ก้าวเข้าสู่ชีวิตชายชาติทหารด้วยการเป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่น 6 ในปี 2508 และนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 17 ในปี 2512 รุ่นที่ใครหลายคนตั้งชื่อรุ่นว่า “รุ่นฝนแรก” จากการที่ถูกลงโทษช่วงหน้าฝน และฝนตกช่วงฝึกภาคสนาม ในเดือนเมษายน ทั้งที่ช่วงเวลาดังกล่าวไม่ใช่ฤดูฝน

พล.อ.ประวิตรเริ่มต้นเดินบนเส้นทางการเป็นนายทหารด้วยการเป็นผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ 2 กรมผสมที่ 3 เมื่อปี 2512 และเตืบโตบนเส้นทางราชการทหารมาโดยตลอด กระทั่งปี 2524 ได้ขึ้นมาเป็นผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ หรือที่สื่อมักเรียกเครือข่ายดังกล่าวว่า “บูรพาพยัคฆ์”

ชีวิตการเป็นทหารของ พล.อ.ประวิตร เติบโตตามเส้นทางนายพลมากฝีมือและเครือข่ายอำนาจ ตั้งแต่การเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ในปี 2545 ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ในปี 2546 และผู้บัญชาการทหารบก สมัยรัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร (ปี 2547) นับเป็นทหารสายบูรพาพยัคฆ์คนแรกที่ได้ขึ้นแท่นเป็น ผบ.ทบ. ก่อนที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นทั้งพี่น้อง 3 ป. และทหารบูรพาพยัคฆ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งดังกล่าวเช่นกัน

จาก “ทหาร” สู่ “นักการเมือง”

หลังเกษียณอายุราชการทหารเมื่อปี 2548 ชื่อของ พล.อ.ประวิตร เป็นที่ได้ยินอีกครั้งบนสนามการเมือง ในฐานะ รมว.กลาโหม สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ปี 2551-2554) และกลับมาอยู่บนหน้าการเมืองอีกครั้งช่วงสมัย คสช. ในฐานะรองหัวหน้า คสช. รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเป็น รมว.กลาโหม ครั้งที่ 2 จนถึงกรกฎาคม 2562 โดยยังคงเป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้

ปี 2563 การเมืองไทยสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อมีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตรจะได้รับการเสนอให้เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แล้วกระแสข่าวก็กลายเป็นเรื่องจริง เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2563 พล.อ.ประวิตร ตอบรับนั่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และยังคงสร้างบารมี เป็นที่นับหน้าถือตาในกลุ่มสมาชิกทั้งนักการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ และหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งนักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร ที่มีเครือข่ายเกือบทุกพรรค ไม่เว้นแม้แต่นักการเมืองท้องถิ่น

พล.อ.ประวิตรคร่ำหวอดในวงการความมั่นคง เกี่ยวพันกับนักการเมืองทุกระดับมาตั้งแต่อ่อนเกษียณอายุราชการจวบจนปัจจุบัน อาจนับห้วงเวลาได้เกือบ 2 ทศวรรษ ชื่อของ พล.อ.ประวิตร จึงปรากฏอยู่ในการ “ดีลลับ” กับอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ไม่เคยมีหลักฐานปรากฏชัดแจ้ง

ไม่เพียงแต่กับคอนเน็กชั่นกับบรรดานักธุรกิจ นักการเมือง และผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ระดับชาติ พล.อ.ประวิตรยังมองหน้ารู้ใจกับคนในวุฒิสภาสัดส่วนเกินครึ่งใน 250 คน บารมีของเขายังคงลอยเหนือกองทัพ ทั้ง 4 เหล่าทัพ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ รวมทั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การได้รับฉายา “ป๋าคนที่สองของกองทัพ” ที่นายทหารกลุ่มที่สนิทเรียกกันเบา ๆ แต่ได้ยินกันทั่วทุกโครงสร้างอำนาจ จึงอาจมีความจริงเจือปนเป็นส่วนใหญ่

พล.อ.ประวิตร และคอนเน็กชั่นพิเศษ

พล.อ.ประวิตร เป็นนักการเมืองและอดีตนายทหารที่มีคอนเน็กชั่นและมีบารมีเป็นอย่างมากในสังคมทหารและสังคมการเมือง ทั้งจากการเป็นรุ่นพี่คนสนิทแห่งพี่น้อง 3 ป. (บิ๊กป๊อก, ประยุทธ์, ประวิตร) และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเซนต์คาเบรียลกับบรรดานายทหาร และคนที่มีชื่อเสียงมากมาย อาทิ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตหัวหน้า คมช., ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี, นายกล้านรงค์ จันทิก สมาชิก ส.ว. อตีดสมาชิก สนช.

แต่หนึ่งใน “เซนต์คาเบรียลคอนเน็กชั่น” ที่เป็นที่สนใจมากที่สุดช่วงเวลาหนึ่ง คือ นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ (เสี่ยคราม) นักธุรกิจ เจ้าของเครือคอม-ลิงค์ เจ้าของนาฬิกาหรูที่ให้ พล.อ.ประวิตรยืมใส่ด้วย

นอกจากการเป็นพี่คนสนิทแห่ง 3 ป. และมีหน้ามีตาในฐานะศิษย์เก่า-เพื่อนร่วมรุ่นเซนต์คาเบรียลแล้ว ยังเป็น “พี่ใหญ่” ผู้ส่งเสริมน้อง ๆ เติบโตเป็นใหญ่ในองค์กรแห่งอำนาจ จนกลายเป็นที่มาของคำว่า “ไปไหนมาไหนก็เจอแต่เด็กพี่ป้อม” รวมถึงบารมีในทางการเมืองเอง ที่ไม่ว่าจะมีปัญหาทางการเมืองอะไร ทุกอย่างจะจบลงอย่างสวยงามที่ “บ้านป่ารอยต่อ”

คดีนาฬิกาหรู

ภาพที่ พล.อ.ประวิตร ยกมือขึ้นบังแดดระหว่างถ่ายภาพหมู่ ครม. “ประยุทธ์ 5” ทำให้โลกออนไลน์สะดุดตากับแหวนและนาฬิกาหรู ก่อนเรื่องราวจะบานปลาย จากการที่ไม่มีการแสดงข้อมูลเครื่องประดับทั้ง 2 ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของสำนักงาน ป.ป.ช. ทำให้ ป.ป.ช.ต้องเรียก พล.อ.ประวิตรมาชี้แจ้งด่วน และจบที่ว่าแหวนนั้นเป็นของมารดา และนาฬิกานั้นยืมเพื่อนมาใส่ แต่คืนเพื่อนหมดแล้ว

ภายหลัง ป.ป.ช.ชี้แจงความคืบหน้ากรณีนี้ว่า พล.อ.ประวิตร ยืมนาฬิกาหรูทั้งหมด 22 เรือน โดยยืมจาก “เสี่ยคราม” หนึ่งใน “เซนต์คาเบรียลคอนเน็กชั่น” ผู้ล่วงลับ และคดีดังกล่าวจบลงที่ ป.ป.ช. มีมติ 5 ต่อ 3 ตีตกคดีนาฬิกายืมเพื่อน เพราะไม่มีน้ำหนักเพียงพอว่าจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ

วันที่ 8 มี.ค. 2565 สำนักข่าวอิศรา รายงานอ้างแหล่งข่าว สำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยผลการสอบสวนของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองเรื่องกล่าวหาประจำสำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมืองและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ว่า นาฬิกาทั้ง 22 เรือนที่ยืมมา เมื่อใช้เสร็จก็ได้คืนเป็นที่เรียบร้อย เป็นการยืมใช้คงรูป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 640 และ 641

ดังนั้น การได้รับประโยชน์ใช้สอยจากนาฬิกาจึงเป็นประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมายที่ผู้ยืมพึงมีสิทธิได้รับ การกระทำของผู้ถูกร้องจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 103 จึงมีความเห็นว่า ควรไม่รับเรื่อง

นอกจากนี้ คณะอนุกลั่นกรองฯ ได้มีการให้ขอทราบผลการดำเนินการของกรมศุลกากรและการเรียกเก็บภาษีนำเข้านาฬิกา จำนวน 20 เรือน ซึ่งมีการตรวจสอบแล้ว พบว่า น.ส.จุติพร สุขศรีวงศ์ ผู้รับมรดก เป็นผู้ครอบครองนาฬิกา จำนวน 20 เรือน แต่ไม่ทราบว่า ผู้ใดนำเข้ามาในประเทศไทย และไม่ทราบว่าบิดาครอบครองมาตั้งแต่เมื่อใด

ส่วนเรื่องเอกสารเรียกเก็บภาษีนำเข้า กรมศุลกากรได้ทำความตกลงระงับคดีและจำหน่ายนาฬิกาจำนวน 20 เรือน คืนให้แก่ น.ส.จุติพร ในราคารวมค่าภาษีอากรเป็นเงิน 19,979,523.96 บาท ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ประกอบประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ. 2560

ขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีรักษาการ

หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ต้องหยุดทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว จากคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวของศาลรัฐธรรมนูญ ที่สั่งให้หยุดทำหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยออกมา ชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นที่สนใจขึ้นมาอีกครั้ง เพราะต้องกลายมาเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีแทนรุ่นน้องสุดที่รัก

การขึ้นมาเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เป็นไปตาม คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 237/2563 เรื่อง การมอบหมายให้ราชการแทนนายกรัฐมนตรีฯ ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ระบุว่า ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีตามลำดับ ดังนี้

  • พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
  • นายวิษณุ เครืองาม
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล
  • นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
  • นายดอน ปรมัตถ์วินัย
  • นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์

ทั้งหมดนี้ คือเส้นทางแห่งบารมีและการมีหน้ามีตาทางการเมือง ทางทหาร ของชายที่ชื่อ “ประวิตร วงษ์สุวรรณ”

youtube
ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...