ยาคุมรายเดือน/ฉุกเฉินควรกินอย่างไร ฝ่ายชายควรช่วยจ่ายไหม? และทำไมยังไงก็ควรใช้ถุงยางในวันที่วัยรุ่นบางส่วนดื้อดึงที่จะ ‘สด’ เรื่องเพศศึกษาน่าทบทวน จากกรณีนักแสดงซีรีส์วายโดนแหก
จากประเด็นร้อนที่หลายคนพูดถึงกันมากบนโลกออนไลน์ กรณี พระเอกซีรีส์วายชื่อดังถูกเปิดโปงพฤติกรรมเรื่องการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่สวมใส่ถุงยางอนามัยกับผู้หญิงหลายต่อหลายคน ซึ่งอันที่จริงการมีเซ็กซ์ไม่ว่าจะกับแฟนของตัวเอง คนคุย จนถึงไลฟ์สไตล์การนัดเย FWB หรือจะ ONS นั้นไม่ใช่เรื่องผิด เพียงแต่นอกจากวิธีการหว่านล้อมฝ่ายหญิงต่างๆ ที่หลายคนมองว่ามีปัญหา ยังมีเรื่องที่ดูจะน่าเป็นกังวลมากๆ จากรายละเอียดการพูดคุยผ่านแชตที่ถูกเผยแพร่ คือการขาดความรู้และยังมีเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิธี ‘ป้องกันอย่างถูกต้อง’ ตั้งแต่ความชัดเจนในการจะไม่ใส่ถุงยางอนามัยโดยไม่ได้ตระหนักถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือจะการเลือกให้ฝ่ายหญิงใช้ ‘ยาคุมกำเนิด’ โดยเฉพาะยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน พร้อมกับชุดความคิดที่ว่า ไม่ใส่ถุงก็ไม่น่ามีปัญหา คงไม่ท้อง หากฝ่ายหญิงกินยาคุมแล้ว ซึ่งเมื่อมีรายหนึ่งเกิดท้องขึ้นมา ก็ตามมาด้วยคำถามว่า “กินยาแล้วนิ ไม่ใช่หรอ” และในเวลาไล่เลี่ยกัน ก็มีนักแสดงซีรีส์วายอีกคนถูกเปิดโปงเรื่องการทำผู้หญิงท้อง ซึ่งทำให้เขาตั้งคำถามว่า “มาได้ไง” เมื่อฝ่ายหญิงยืนยันว่ากินยาคุมแล้ว
ความไม่เข้าใจเหล่านี้ ที่ทำให้มีคน ‘พลาด’ มาแล้วจริงๆ จึงทำให้เราอยากชวนทบทวนความรู้เรื่องการป้องกันการตั้งครรภ์ขั้นพื้นฐานที่ควรรู้กันอีกครั้ง เมื่อถุงยางอนามัยยังเป็นวิธีการป้องกันที่ได้ผลมากที่สุดอยู่ การกินยาคุมไม่ได้การันตีว่าจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% และการกินยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆ ก็อาจทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันต่ำลงไปอีก ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการท้องนอกมดลูก จนถึงข้อถกเถียงที่ว่า แบบนี้ฝ่ายชายควรช่วยออกค่ายาคุมรายเดือนไหม? หากจะเลือกวิธีการคุมกำเนิดลักษณะนี้ในระยะยาวกับคู่นอน เพราะนอกจากผลข้างเคียงที่ฝ่ายหญิงต้องเผชิญอยู่มากมาย กว่าจะเจอยาคุมที่ถูกกับร่างกายตัวเอง ก็อาจไม่ใช่คำว่า กินอะไรก็ได้ เหมือนๆ กันหมด และต้อง ‘ใช้เงิน’ และการเลือกจะไม่ใส่ถุงยางแต่ยังเลือกเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ นับว่าค่อนข้างเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากมาย เพราะในความเป็นจริงแล้ว เราไม่มีทางรู้ได้ว่าเขาไป ‘เอา’ กับใครมาบ้าง
1. ถุงยางอนามัย ยังเป็นวิธีคุมกำเนิดที่ ‘มีประสิทธิภาพที่สุด’ ลดความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้ 98% หรือมีเพียง 2 จาก 100 คนที่ตั้งท้อง หากใส่อย่างถูกต้อง
อ. พญ.อรวิน วัลลิภากร สาขาวิชาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ถุงยางอนามัยสามารถลดความเสี่ยงการตั้งครรภ์ได้ถึง 98% นั่นหมายถึงวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการตั้งครรภ์ เช่นเดียวกับ อ.พญ.เจนจิต ฉายะจินดา หน่วยโรคติดเชื้อทางนรีเวชและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สตรี ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ที่ขยายความหากผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ 100 คน ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง จะมีเพียง 2 จาก 100 คนเท่านั้นที่ตั้งท้อง แต่หากใช้ถูกบ้าง ผิดบ้าง จะมีโอกาสตั้งท้องถึง 15 จาก 100 คน
นั่นหมายถึงคิดจะใส่ถุงยางอนามัยก็ต้องใส่ให้ถูกด้วย และควรรู้ไว้ว่า ถุงยางอนามัยจะมีประสิทธิภาพเพียง 30 นาที ดังนั้น อย่าใส่ไว้นานเกิน, อย่ารูดให้ส่วนปลายของถุงยางอนามัยแน่นเกินไป, ใช้ด้านที่ขอบม้วนอยู่ด้านนอก ส่วนกระเปาะชี้ขึ้น, เสร็จกิจกรรมปุ๊บ ควรทิ้งถุงยางอนามัยทันที ไม่ควรทิ้งไว้ในช่องคลอด, อย่าเก็บถุงยางอนามัยไว้ที่ร้อน เช่น หน้ารถ ห้ามใช้โลชั่น ออยล์ หรือมอยส์เจอไรเซอร์ แทนสารหล่อลื่น และที่สำคัญ ถุงยางอนามัยมีวันหมดอายุ อย่าลืมพลิกหลังกล่องด้วยล่ะ หรือสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://mirrorthailand.com/movinon/sex/100788
2. ตัดสินใจไม่ใส่ถุง เพราะคิดว่าแตกนอกคงไม่ท้อง ซึ่ง ผิด! เพราะแตกนอกก็ท้องได้ เนื่องจากน้ำหล่อลื่นของผู้ชายอาจมีอสุจิปะปน
บางคนอาจมีข้อจำกัดในการใส่ถุงยางอนามัย เพราะมีอาการแพ้ แต่หากคิดแค่ง่ายๆ ว่าตัวเองสามารถเอาจู๋ออกได้ทันเวลา นั่นอาจเป็นวิธีที่ผิด และเสี่ยงมากพอสมควร เนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์โดยที่ผู้ชายไม่สวมถุงยางอนามัย แม้จะไม่ได้แตกใน ก็ยังมีโอกาสท้องได้ เนื่องจากน้ำหล่อลื่นของผู้ชายอาจมี ‘อสุจิ’ ปะปนอยู่บ้าง ซึ่งทำให้เกิดการปฏิสนธิ และมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์ได้ ประมาณ 20% หรือ 1 ใน 5 หรือกระทั่งสงสัยว่า แล้วถ้าไม่มีการหลั่งเลยล่ะ? จะมีโอกาสท้องไหม นพ. กันตณัฏฐ์ อยู่ตรีรักษ์ แพทยศาสตรบัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้อธิบายไว้บนเว็บไซต์ HDmall ว่า แม้จะไม่มีการหลั่งก็ยังมีโอกาสผิดพลาดตั้งครรภ์ได้ 4-27% อยู่ดี เพราะอสุจิก็อาจปะปนไปกับน้ำหล่อลื่นแล้ว
นั่นหมายถึง ถ้าเกิดการสอดใส่เข้าไปโดยไม่สวมถุงยางอนามัย ก็นับว่าเป็นความเสี่ยงแล้ว ไม่ควรชะล่าใจมากเกินไป
3. ยาคุมฉุกเฉิน ต้องกินภายใน 72 ชั่วโมง ลดโอกาสการตั้งครรภ์ 75% แต่กินบ่อยๆ จะกลายเป็นว่าเสี่ยงท้องมากกว่าเดิม รวมถึง ท้องนอกมดลูก
ยาคุมฉุกเฉิน ชื่อก็บอกว่า ‘ฉุกเฉิน’ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรใช้เป็นวิธีการคุมกำเนิดหลักๆ ในชีวิต เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงหลายๆ อย่างตามมา โดยปกติแล้วยาคุมฉุกเฉินที่นิยมกันมากที่สุดคือแบบ 2 เม็ด ซึ่งควรกินภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสตั้งครรภ์ได้ ประมาณ 75-85% แต่ยิ่งกินช้ากว่านี้ ยิ่งมีโอกาสท้องได้มากขึ้น และเม็ดที่ 2 ควรกินเมื่อครบ 12 ชั่วโมง หลังจากเม็ดแรก
โดยยาคุมฉุกเฉินมีหน้าที่รบกวนหรือยับยั้งการตกไข่ ทำให้ไม่มีไข่ออกมาเพื่อรอการปฏิสนธิ รวมถึงขัดขวางการปฏิสนธิ หากมีการตกไข่ไปแล้ว ยาจะช่วยขัดขวางไม่ให้สเปิร์มเข้าถึงไข่ เปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อให้การฝังตัวของไข่ทำได้ยากขึ้น และช่วยลดโอกาสในการตั้งครรภ์ ทีนี้ด้วยความที่ยาคุมฉุกเฉินนั้นมีปริมาณฮอร์โมนที่สูงกว่ายาคุมปกติ ทำให้เกิดความเสี่ยงหลายๆ อย่างตามมา และทำให้ฮอร์โมนแปรปรวนเมื่อเราใช้มันบ่อยๆ ส่งผลให้ยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพลดลง หรือทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูงขึ้น มีผลข้างเคียงทำให้คลื่นไส้ เวียนศีรษะ หรือเลือดออกกะปริดกะปรอย รวมถึงอาจทำให้รอบเดือนผิดปกติ เพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งเต้านม และเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูก
ในกรณีที่บางคนเลือกจะมีเซ็กซ์หลังกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉินไปในช่วงที่ฤทธิ์ของยาคุมกำเนิดฉุกเฉินลดลงไปแล้วก็จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น หรือหากมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างที่ยังกินยาไม่ครบ 2 เม็ด ก็ควรกินยาให้ครบไม่ต้องเริ่มยาใหม่ แต่หากมีเพศสัมพันธ์หลังกินยาครบทั้ง 2 เม็ดแล้ว ก็อาจเริ่มยาแผงใหม่ได้แต่อาจเพิ่มความเสี่ยงของอาการข้างเคียง เพราะมันไม่ใช่ยาคุมในชนิดที่ควรกินเป็นประจำแต่อย่างใด ที่สำคัญ ‘ห้ามใช้’ ยาคุมฉุกเฉินแทนยาคุมแบบรายเดือน
4. ยาคุมรายเดือน ช่วยลดการตั้งครรภ์ได้ 90% แต่ต้องใช้ ‘วินัย’ ในการกินตรงเวลา หากลืมกินจะทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลง
ยาคุมกำเนิดชนิดที่ใช้กันอยู่แพร่หลาย คือ ชนิดฮอร์โมนรวม เนื่องจากใช้ง่าย และหาซื้อได้ทั่วไป โดย ผศ. พญ.อรวิน วัลลิภากร สาขาวิชาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่ายาคุมรายเดือนมีประสิทธิภาพการคุมกำเนิดสูงถึง 90% มีโอกาสพลาดตั้งครรภ์เพียง 0.3% โดยแนะนำให้เริ่มกินไม่เกินวันที่ 5 ของวันที่มีประจำเดือน ซึ่งนับวันแรกที่มีประจำเดือนเป็นวันที่ 1 หลังจากเริ่มกินแล้วควรกินต่อเนื่องทุกวัน ในช่วงเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เพื่อประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดที่ดีที่สุด
การทำงานของยาคุมกำเนิดแบบรายเดือน คือมันจะเข้าไปช่วยระงับไม่ให้ไข่สุกหรือขัดขวางไม่ให้มีการตกไข่ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลงจนตัวอ่อนที่เกิดจากการผสมกับไข่และอสุจิไม่สามารถฝังตัวได้ และยังช่วยทำให้เมือกบริเวณปากมดลูกมีความเหนียวข้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้อสุจิไม่สามารถเข้ามาผสมกับไข่เพื่อปฏิสนธิได้ และหากเริ่มกินยาใน 3 วันแรกของการมีประจำเดือน ยาแผงนั้นจะมีประสิทธิภาพคุมกำเนิดได้ในรอบนี้เลย โดยยาจะเริ่มออกฤทธิ์หลังกินไปได้หนึ่งสัปดาห์ ดังนั้นในสัปดาห์แรกควรใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยหากมีเซ็กซ์เพื่อความปลอดภัย
ย้ำอีกครั้งว่า การกินยาคุมกำเนิดจะต้องกินเวลาเดิมทุกวัน หากลืมกินยาจะทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลง และหากลืมกินยาคุมกำเนิดมากกว่า 3 ชั่วโมง ให้กินทันทีที่นึกขึ้นได้ และกินเม็ดต่อไปในเวลาเดิม ซึ่งการกินยาคุมกำเนิดก็มีผลข้างเคียงตามมาเหมือนกัน เช่น คลื่นไส้อาเจียน, มีเลือดออกผิดปกติ, อารมณ์แปรปรวน และมีหลอดเลือดอุดตัน ฯลฯ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
5. ควรช่วยฝ่ายหญิงออกค่ายาคุมไหม? ข้อถกเถียงที่น่าพูดถึง เมื่อบางคนก็แพ้ยาคุม กว่าจะเจอที่ถูกกับร่างกายก็ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
“เขาบอกให้เรากินยาคุมรายเดือน ซึ่งเราบอกว่าเราไม่สะดวก เขาบอกให้เราไปฉีดยาหรือฝังยาคุมเพื่อจะได้เจอกันบ่อย” / “ตัดสินใจไปซื้อยาคุมรายเดือนมากินเพราะบอกจะออกค่ายาให้ แต่ก็ไม่เคยให้เราสักบาท” นี่คือส่วนหนึ่งของประโยคในแชตจากกรณีดังกล่าว นำไปสู่คำถามว่า ค่ายาคุมควรช่วยจ่ายไหม? เมื่อเซ็กซ์คือกิจกรรมที่ทำร่วมกันทั้งสองฝ่าย และการกินยาคุมกำเนิดทุกเดือนก็ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ในราคาที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละยี่ห้อ เพราะบางคนก็ตอบสนองต่อยาที่แตกต่างกันไป หรือบางคนก็อาจเบนเข็มไปเลือกวิธีการฉีดยาคุม ฝังยาคุม หรือใส่ห่วงอนามัย
ที่ผ่านมา มีคนที่แพ้ยาคุม ไม่ว่าจะแพ้ส่วนประกอบของฮอร์โมน หรือสารประกอบอื่นที่บรรจุมาในเม็ดยา ซึ่งในรายที่มีอาการแพ้แบบรุนแรงจะไม่แนะนำให้มีการใช้ยาต่อ แต่อาการส่วนใหญ่ที่เกิดหลังจากการใช้ยาคุมกำเนิดในช่วงแรก จะเรียกว่าผลข้างเคียงจากยา หรือเป็นภาวะที่ร่างกายได้รับฮอร์โมนจากภายนอกแล้วมีการตอบสนองที่แตกต่างกันไป สามารถใช้ยาต่อไปได้
มีตั้งแต่ลมพิษ หรือผื่นขึ้นที่ผิวหนัง อาการคัน มีไข้ น้ำมูกไหล บวมบริเวณใบหน้า ลำตัว ปาก และคอ หายใจถี่ หายใจมีเสียง คันตาและมีน้ำตาไหล โดยปฏิกิริยารุนแรงที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย และอาจเป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต ก็มีตั้งแต่แน่นหน้าอก หายใจลำบาก วิงเวียนศีรษะ หรือหน้ามืด ความดันโลหิตต่ำ ชีพจรอ่อน ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง อาการชัก หรือหมดสติ
และบางครั้งการกินยาคุมอาจไม่ได้ช่วยแค่ป้องกันการตั้งครรภ์อย่างเดียว แต่อาจรวมถึงใช้ในการรักษาประจำเดือนผิดปกติ ภาวะถุงน้ำในรังไข่ โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ภาวะฮอร์โมนเพศชายเกิน และยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งรังไข่ มะเร็งโพรงมดลูกและมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งควรผ่านการปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจก่อนเช่นกัน
จะเห็นได้ว่า บางคนกินยาคุมแล้วน้ำหนักกระโดดขึ้นมาเป็น 10 กิโลฯ หรือบางคนก็สิวบุกอย่างรุนแรง อาจเกิดจากการที่แต่ละยี่ห้อนั้นมีความแตกต่างกันของส่วนประกอบ ทำให้บางคนต้องทดลองเปลี่ยนยี่ห้อยาคุมในหลายต่อหลายครั้ง กว่าจะเจอยาคุมที่เหมาะกับตัวเองและผลข้างเคียงน้อยที่สุด
6. ยาคุม ไม่ได้ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกชนิด หากคิดจะไม่ใส่ถุงยางอนามัย การพาคู่นอนไปตรวจโรคก่อนมีเซ็กซ์ อาจช่วยเพิ่มความปลอดภัย
ดังนั้น หากเป็นคู่นอนที่จะมีเซ็กซ์กันในระยะยาว การช่วยออกค่ายาคุมก็นับว่าเป็นทางเลือกที่แบ่งเบาภาระค่าใช่จ่ายกันได้ในระดับหนึ่ง เช่นเดียวกับที่เคยมีประเด็นเรื่องการหารค่าถุงยางอนามัย เพราะหากเป็นกรณีคู่รัก หรือคู่นอนที่มีความชัดเจนว่า มีเซ็กซ์กันแค่กับคู่ของเราอย่างเดียว ยาคุมกำเนิดรายเดือน อาจเป็นอีกช้อยส์สำหรับคนที่แพ้ถุงยางอนามัย หรือต้องการความชัวร์เรื่องการป้องกันการท้องอีกแรง ก็สามารถสวมถุงยางอนามัย และกินยาคุมกำเนิดควบคู่ไปด้วยได้ แต่ท้ายที่สุด ยาคุมนั้นไม่ได้ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใดๆ ที่ตามมา ไม่ว่าจะเอดส์ ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี หนองใน เริม และ HPV ฯลฯ เราจึงควรตระหนักเรื่องนี้ให้มากๆ ไม่เว้นแม้แต่คนรักของตัวเองที่บางคนอาจมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง หรือยิ่งสำหรับคนที่มีการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเข้าไปอีกหากเลือกที่จะ ‘ไม่ใส่ถุงยางอนามัย’ ไม่ใช่แค่ประเด็นท้องหรือไม่ท้องแล้วนะ แต่เสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพไม่ใช่น้อย ซึ่งบางคนอาจเลือกจับมือกันพาไป ‘ตรวจ’ โรคต่างๆ เพื่อความชัวร์ และความมั่นใจ แบบนั้นน่าจะสบายใจเพิ่มขึ้น
อ้างอิง:
https://hdmall.co.th/blog/faq/risk-without-condom/
https://www.medparkhospital.com/lifestyles/birth-control-pills
https://hdmall.co.th/blog/c/how-to-use-condoms-materials-produced/
https://hdmall.co.th/blog/faq/emergency-contraceptive-pill-delay-periods/
https://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/qa_full.php?id=4303
https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/644
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- ยาคุมรายเดือน/ฉุกเฉินควรกินอย่างไร ฝ่ายชายควรช่วยจ่ายไหม? และทำไมยังไงก็ควรใช้ถุงยางในวันที่วัยรุ่นบางส่วนดื้อดึงที่จะ ‘สด’ เรื่องเพศศึกษาน่าทบทวน จากกรณีนักแสดงซีรีส์วายโดนแหก
- กดไลก์รูปผู้หญิงคนอื่น ทั้งที่มีแฟนอยู่แล้ว ถือเป็น Red Flag ในความสัมพันธ์ไหม ? มองปัญหาชีวิตคู่ให้ลึกกว่าแค่ความหึงหวง เพราะต่อให้ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่เกี่ยวกับความมั่นใจ ความไว้ใจ และการให้เกียรติกัน
- เบื้องหน้าสร้างสุข เบื้องหลังทุกข์ทน Men who sold the world แด่ Heath Ledger ถึง Robin Williams และศิลปินชายที่จากไปโดยไม่มีใครคาดคิด กับปัญหาสุขภาพจิตของผู้ชายที่ยังคงถูกกดทับไว้ด้วย Stigma
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : Mirror Thailand.com