ปธ.เอสเอ็มอี ค้าน 'คลัง-ธปท.' เล็งปล่อยเพดานดอกเบี้ยลอยตัว เผย 4 เรื่องไม่สมเหตุสมผล
ปธ.เอสเอ็มอี ค้าน ‘คลัง-ธปท.’ เล็งปล่อยเพดานดอกเบี้ยลอยตัว เผย 4 เรื่องไม่สมเหตุสมผล
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวถึงกระแสข่าวกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย มีทิศทางการปล่อยเพดานดอกเบี้ยลอยตัวเพื่อลดความเสี่ยง NPL และช่วยจูงใจให้ปล่อยรายย่อยมากขึ้นนั้น ไม่สมเหตุสมผล ดังนี้
1.บูรณาการ ภาครัฐต้องทบทวนกฎหมาย กฎระเบียบ ให้สามารถนำผู้ประกอบการรายย่อยเข้าระบบกองทุน ต่างๆ ที่มีอยู่ อาทิ กองทุนพัฒนา SME ตามแนวประชารัฐ เงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย กองทุน สสว. กองทุนประกันสังคม เป็นต้น และให้ บสย. (บรรษัทประกัน สินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) สามารถค้ำประกันเพื่อลดความเสี่ยงและช่วยในการบ่มเพาะเป็นคลินิกแก้หนี้ สร้างความตระหนักรู้การบริหารจัดการวินัยทางการเงิน รวมทั้งใช้ระบบ Business Development Service หรือ (BDS) ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) มาเป็นแต้มต่อบ่มเพาะเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดรายได้เพิ่ม
ส่วนภาคแรงงานสามารถใช้กลไกกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และ กพรปจ. (คณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานการฝึกอาชีพประจำจังหวัด) ซึ่งมีทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันทำงานขับเคลื่อนอย่างจริงจังในการเชื่อมแต่ละหน่วยงานบูรณาการงานแต่ละหน่วยที่เป็นประโยชน์ทำงานร่วมกัน อาทิ สถาบันการศึกษา สถาบันการเงิน สถาบันภาคประชาสังคม เป็นต้น
นายแสงชัยกล่าวต่อว่า 2.เป็นกลาง คุ้มครองเงินฝากถูกต้อง แต่ควรจะต้องคุ้มครองดอกเบี้ยให้ความเป็นธรรมกับลูกหนี้ด้วย ไม่ควรออกนโยบายเอาใจกลุ่มทุน เพราะการขึ้นเพดานดอกเบี้ยพิโก้นาโนไฟแนนซ์ไม่ได้การันตีว่าผู้ประกอบการรายย่อยและภาคประชาชนที่เข้าไม่ถึงแหล่งทุนจะสามารถเข้าถึงได้ ภาครัฐมีระบบตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผลรายงานให้สาธารณชนรับทราบเกี่ยวกับผลการดำเนินงานสถาบันการเงินพิโก้นาโนไฟแนนซ์อย่างไร
ที่สำคัญ “มีการคุ้มครองเรื่องดอกเบี้ยที่เป็นธรรมกับผู้บริโภคหรือไม่?” ไม่เฉพาะพิโก้นาโนไฟแนนซ์เท่านั้น แต่รวมถึงสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ที่คิดอัตราดอกเบี้ยหลักประกัน ที่เป็นธรรมไม่ใช่เรียกหลักประกันจนเกินมูลค่าเงินกู้มากเกินไปด้วย สัดส่วนสินเชื่อ SME กับธนาคาพาณิชย์ มีเพียงร้อยละ 20 ของสินเชื่อทั้งหมดกว่า 17.5 ล้านล้านบาท ธปท.ควรหามาตรการเพิ่มสัดส่วนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อในระบบมากขึ้น
3.มีส่วนร่วม ภาครัฐ กระทรวงการคลัง และ ธปท. ควรศึกษาให้ข้อมูลหนี้นอกระบบอย่างลึกซึ้งถึงสถานการณ์ปัจจุบัน และสื่อสารสร้างการรับรู้ทิศทาง แนวทางการแก้ไขที่ชัดเจนกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องก่อน “อย่าถึอธงนำมาก่อน” ควรใช้คำว่า “ระดมความคิดหาทางออกแก้หนี้นอกระบบอย่างเป็นธรรมยั่งยืน” แทน “ขยับเพดานดอกเบี้ย ลดความเสี่ยง เพิ่มการเข้าถึงทุนใน ระบบ (ได้จริงหรือ)”
4.ธรรมาภิบาล หน่วยงานกระทรวงการคลังและ ธปท. ที่ออกมาให้แนวทางแก้หนี้นอกระบบ โดยขยับขึ้น เพดานดอกเบี้ยลักษณะนี้ควรมีหน่วยงานรัฐทำหน้าที่ตรวจสอบที่มาของแนวคิด เกิดจากความไม่ซื่อตรงหรือสุจริตใจในการออกแบบนโยบายมีความจงใจเอื้อประโยชน์ เพื่อให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบายหรือไม่? เพราะการขึ้นเพดานดอกเบี้ยไม่ใช่การแก้ไขปัญหาแต่จะสร้างปัญหาอื่นเพิ่มขึ้น ตามมาให้ผู้ประกอบการรายย่อยและประชาชน ทางแก้ควรออกแบบระบบกองทุนที่สามารถเข้าถึงกลุ่มประชาชนนี้ให้มีแต้มต่อดอกเบี้ยต่ำ หรือใช้ประโยชน์จากกองทุนที่มีอยู่ปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ เข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำ ไม่ซ้ำเติมรายย่อย ไม่ใช่ผลักไปพิโก้นาโนไฟแนนซ์เท่านั้น
“สมาพันธ์ต้องการสะท้อนให้ข้อเสนอแนะที่ตรงไปตรงมา และไม่มีประโยชน์แอบแฝง ชวนคิดกันว่าภาครัฐประกาศส่งเสริม สนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ต้องการดูแลรายย่อย ลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังแต่ถ้าบอกอย่าง ทำอีกอย่าง แล้วชีวิตครอบครัว ธุรกิจ และอาชีพการงานของประชาชนคนรากหญ้าจะทำอย่างไร พึ่งพากลไกใดได้ต่อจากนี้” นายแสงชัยกล่าว
ทั้งนี้ นายแสงชัยกล่าวลงในรายละเอียดถึงหนี้นอกระบบประเทศไทย ดังนี้ จากสัญญาณ “หนี้นอกระบบ” ที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจฐานราก ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ ตามปกติ เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงที่ระบบธนาคารไม่ได้ตอบสนองต่อกลุ่ม ผู้ประกอบการรายย่อย ประชาชนกลุ่ม แรงงานทั่วไปที่ต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบดอกเบี้ยโหดแบบรายวัน รายสัปดาห์กว่าร้อยละ 20 ต่อเดือน ครั้นเข้าหาพิโก้และนาโนไฟแนนซ์ ก็พบกับดักสูงถึง 36% ต่อปี และที่ผ่านมาภาครัฐนำเสนอว่ายังดีกว่าหนี้นอกระบบ
ซึ่งโดยข้อเท็จจริง “ดีกว่าแต่ไม่ยั่งยืน” ในเมื่อภาครัฐต้องการความมั่นคง มั่งคั่ง ต้องการลดความเหลื่อมล้ำ ต้องการช่วยเหลือเศรษฐกิจฐานราก ผู้ประกอบการรายย่อยวิสาหกิจชุมชน เกษตรกรและแรงงาน รวมทั้งประชาชนทั่วไป การส่งเสริม สนับสนุนแต้มต่อทางการเงินให้กลุ่มเศรษฐกิจฐานรากนี้จะต้องให้ความสำคัญ ทั้งแนวคิด นโยบาย มาตรการ และการกระทำอย่างจริงจัง จริงใจ “ไม่ใช่ปากว่าตาขยิบ” อย่างที่กระทรวงการคลังและ ธปท. ส่งสัญญาณตัวเลขเพดานดอกเบี้ยใหม่ตามความเสี่ยงของลูกหนี้เอื้อต่อนายทุน หรือ ช่วยเหลือรายย่อยกันแน่
เพราะที่ผ่านมาก็ปล่อยตามการประเมินความเสี่ยงของสถาบันการเงินนั้นๆ อยู่แล้วจากการให้ข่าว ของกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยผ่านประชาชาติธุรกิจ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 แสดงถึงความไม่เข้าใจ และไม่ตระหนักถึงความเดือดร้อนประชาชนที่ต้องการกลไกรัฐเข้ามาช่วยกำกับ ส่งเสริม และสนับสนุนแต้มต่อให้รายย่อยเข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำ แต่กลับสนับสนุนให้กลุ่มทุนปล่อยเพดานดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เพื่อหวังจะให้ปล่อยกู้เพิ่ม คงไม่ต่างจากบทเรียน Soft loan ที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนมากที่จำเป็นต้องการ ใช้แต่ไม่ได้ใช้
จากผลการสำรวจของ สสว. เมื่อเดือนกันยายน 2565 พบว่าอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ประกอบการรายย่อย ร้อยละ 45.5 รับดอกเบี้ยได้ 1-5% ต่อปี และร้อยละ 44.3 รับดอกเบี้ยได้ 6-8% ต่อปี และร้อยละ 8.1 รับดอกเบี้ยได้ 9-12% ต่อปี ที่สำคัญคือ จากการประกาศเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ส่งผลกระทบต่อภาระหนี้สินของธุรกิจรายย่อย
ดังนั้น ร้อยละ 24.9 กระทบน้อย (ระดับ 1-20%) ร้อยละ 20.5 กระทบค่อนข้างน้อย (ระดับ 21-40%) ร้อยละ 35.8 กระทบปานกลาง (ระดับ 41-60%) ร้อยละ10.7 กระทบค่อนข้างมาก (ระดับ 61-80%) ร้อยละ 6.1 กระทบมาก (ระดับ 81-100%) ซึ่งหากประเมินผลกระทบจะพบว่ารายย่อยที่มีผลกระทบด้านภาระดอกเบี้ยระดับปานกลางถึงมาก ร้อยละ 52.6 และหากประเมินตัวเลขจำนวนผู้ประกอบการรายย่อยที่ส่งผลกระทบปานกลางถึงมาก จะมีกว่า 1.426 ล้านราย (ภาพประกอบ) จากงานวิจัยของ Pinitjitsamut and Suwanprasert (2022) ซึ่งศึกษาสถานการณ์หนี้นอกระบบในประเทศไทย
โดยลงพื้นที่สัมภาษณ์ครัวเรือนโดยตรงกว่า 4,800 ครัวเรือน จาก 12 จังหวัด 4,628 ตัวอย่าง พบว่ากลุ่มอาชีพที่มีสัดส่วนผู้กู้ยืมเงินนอกระบบมากที่สุด คือกลุ่มอาชีพค้าขาย (52%) และกลุ่มอาชีพอิสระ (50%) ทั้งสองกลุ่มอาชีพนี้มีหนี้นอกระบบโดยเฉลี่ย 33,000 บาท และ 19,000 บาท โดยงานวิจัยชิ้นนี้แบ่งสาเหตุของการกู้ยืมเงินออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.การลงทุนในการประกอบอาชีพ 2.ค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่ารักษาพยาบาล และค่าเล่าเรียน 3.ใช้คืนหนี้เก่าในระบบและนอกระบบ 4.ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำ เป็น เช่น ซื้อเครื่องประดับ และโทรศัพท์มือถือ
ในภาพรวม 46.8% ของหนี้นอกระบบถูกนำมาใช้เพื่อค่าใช้จ่ายจำเป็น และ 41.5% ของหนี้นอกระบบถูกนำไปลงทุนในการประกอบอาชีพ มีเพียง 9.4% ของหนี้นอกระบบเท่านั้น ที่ถูกกู้มาเพื่อใช้จ่ายหนี้อื่นๆ และเพียง 2.3% ที่ถูกนำมาใช้สำหรับค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น จากข้อมูลมากกว่า 50% ของครัวเรือนซึ่งมีอาชีพเป็นพ่อค้าแม่ค้า เจ้าของธุรกิจส่วนตัวและเกษตรกร กู้หนี้นอกระบบเพื่อนำไปใช้จ่ายในการลงทุน
ในขณะที่ 70% ของลูกหนี้ที่มีอาชีพเป็นพนักงานเอกชน ลูกจ้าง อาชีพอิสระและไม่ได้ทำงาน กู้หนี้นอกระบบเพื่อนำไปจับจ่ายใช้สอยจำเป็นของครัวเรือน และอีกประมาณ 20% ของพนักงานรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจกู้หนี้นอกระบบเพื่อใช้หนี้เก่า