โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ปธ.เอสเอ็มอี ค้าน 'คลัง-ธปท.' เล็งปล่อยเพดานดอกเบี้ยลอยตัว เผย 4 เรื่องไม่สมเหตุสมผล

MATICHON ONLINE

อัพเดต 13 ก.พ. 2566 เวลา 11.43 น. • เผยแพร่ 13 ก.พ. 2566 เวลา 10.44 น.

ปธ.เอสเอ็มอี ค้าน ‘คลัง-ธปท.’ เล็งปล่อยเพดานดอกเบี้ยลอยตัว เผย 4 เรื่องไม่สมเหตุสมผล

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวถึงกระแสข่าวกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย มีทิศทางการปล่อยเพดานดอกเบี้ยลอยตัวเพื่อลดความเสี่ยง NPL และช่วยจูงใจให้ปล่อยรายย่อยมากขึ้นนั้น ไม่สมเหตุสมผล ดังนี้

1.บูรณาการ ภาครัฐต้องทบทวนกฎหมาย กฎระเบียบ ให้สามารถนำผู้ประกอบการรายย่อยเข้าระบบกองทุน ต่างๆ ที่มีอยู่ อาทิ กองทุนพัฒนา SME ตามแนวประชารัฐ เงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย กองทุน สสว. กองทุนประกันสังคม เป็นต้น และให้ บสย. (บรรษัทประกัน สินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) สามารถค้ำประกันเพื่อลดความเสี่ยงและช่วยในการบ่มเพาะเป็นคลินิกแก้หนี้ สร้างความตระหนักรู้การบริหารจัดการวินัยทางการเงิน รวมทั้งใช้ระบบ Business Development Service หรือ (BDS) ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) มาเป็นแต้มต่อบ่มเพาะเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดรายได้เพิ่ม

ส่วนภาคแรงงานสามารถใช้กลไกกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และ กพรปจ. (คณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานการฝึกอาชีพประจำจังหวัด) ซึ่งมีทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันทำงานขับเคลื่อนอย่างจริงจังในการเชื่อมแต่ละหน่วยงานบูรณาการงานแต่ละหน่วยที่เป็นประโยชน์ทำงานร่วมกัน อาทิ สถาบันการศึกษา สถาบันการเงิน สถาบันภาคประชาสังคม เป็นต้น

นายแสงชัยกล่าวต่อว่า 2.เป็นกลาง คุ้มครองเงินฝากถูกต้อง แต่ควรจะต้องคุ้มครองดอกเบี้ยให้ความเป็นธรรมกับลูกหนี้ด้วย ไม่ควรออกนโยบายเอาใจกลุ่มทุน เพราะการขึ้นเพดานดอกเบี้ยพิโก้นาโนไฟแนนซ์ไม่ได้การันตีว่าผู้ประกอบการรายย่อยและภาคประชาชนที่เข้าไม่ถึงแหล่งทุนจะสามารถเข้าถึงได้ ภาครัฐมีระบบตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผลรายงานให้สาธารณชนรับทราบเกี่ยวกับผลการดำเนินงานสถาบันการเงินพิโก้นาโนไฟแนนซ์อย่างไร

ที่สำคัญ “มีการคุ้มครองเรื่องดอกเบี้ยที่เป็นธรรมกับผู้บริโภคหรือไม่?” ไม่เฉพาะพิโก้นาโนไฟแนนซ์เท่านั้น แต่รวมถึงสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ที่คิดอัตราดอกเบี้ยหลักประกัน ที่เป็นธรรมไม่ใช่เรียกหลักประกันจนเกินมูลค่าเงินกู้มากเกินไปด้วย สัดส่วนสินเชื่อ SME กับธนาคาพาณิชย์ มีเพียงร้อยละ 20 ของสินเชื่อทั้งหมดกว่า 17.5 ล้านล้านบาท ธปท.ควรหามาตรการเพิ่มสัดส่วนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อในระบบมากขึ้น

3.มีส่วนร่วม ภาครัฐ กระทรวงการคลัง และ ธปท. ควรศึกษาให้ข้อมูลหนี้นอกระบบอย่างลึกซึ้งถึงสถานการณ์ปัจจุบัน และสื่อสารสร้างการรับรู้ทิศทาง แนวทางการแก้ไขที่ชัดเจนกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องก่อน “อย่าถึอธงนำมาก่อน” ควรใช้คำว่า “ระดมความคิดหาทางออกแก้หนี้นอกระบบอย่างเป็นธรรมยั่งยืน” แทน “ขยับเพดานดอกเบี้ย ลดความเสี่ยง เพิ่มการเข้าถึงทุนใน ระบบ (ได้จริงหรือ)”

4.ธรรมาภิบาล หน่วยงานกระทรวงการคลังและ ธปท. ที่ออกมาให้แนวทางแก้หนี้นอกระบบ โดยขยับขึ้น เพดานดอกเบี้ยลักษณะนี้ควรมีหน่วยงานรัฐทำหน้าที่ตรวจสอบที่มาของแนวคิด เกิดจากความไม่ซื่อตรงหรือสุจริตใจในการออกแบบนโยบายมีความจงใจเอื้อประโยชน์ เพื่อให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบายหรือไม่? เพราะการขึ้นเพดานดอกเบี้ยไม่ใช่การแก้ไขปัญหาแต่จะสร้างปัญหาอื่นเพิ่มขึ้น ตามมาให้ผู้ประกอบการรายย่อยและประชาชน ทางแก้ควรออกแบบระบบกองทุนที่สามารถเข้าถึงกลุ่มประชาชนนี้ให้มีแต้มต่อดอกเบี้ยต่ำ หรือใช้ประโยชน์จากกองทุนที่มีอยู่ปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ เข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำ ไม่ซ้ำเติมรายย่อย ไม่ใช่ผลักไปพิโก้นาโนไฟแนนซ์เท่านั้น

“สมาพันธ์ต้องการสะท้อนให้ข้อเสนอแนะที่ตรงไปตรงมา และไม่มีประโยชน์แอบแฝง ชวนคิดกันว่าภาครัฐประกาศส่งเสริม สนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ต้องการดูแลรายย่อย ลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังแต่ถ้าบอกอย่าง ทำอีกอย่าง แล้วชีวิตครอบครัว ธุรกิจ และอาชีพการงานของประชาชนคนรากหญ้าจะทำอย่างไร พึ่งพากลไกใดได้ต่อจากนี้” นายแสงชัยกล่าว

ทั้งนี้ นายแสงชัยกล่าวลงในรายละเอียดถึงหนี้นอกระบบประเทศไทย ดังนี้ จากสัญญาณ “หนี้นอกระบบ” ที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจฐานราก ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ ตามปกติ เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงที่ระบบธนาคารไม่ได้ตอบสนองต่อกลุ่ม ผู้ประกอบการรายย่อย ประชาชนกลุ่ม แรงงานทั่วไปที่ต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบดอกเบี้ยโหดแบบรายวัน รายสัปดาห์กว่าร้อยละ 20 ต่อเดือน ครั้นเข้าหาพิโก้และนาโนไฟแนนซ์ ก็พบกับดักสูงถึง 36% ต่อปี และที่ผ่านมาภาครัฐนำเสนอว่ายังดีกว่าหนี้นอกระบบ

ซึ่งโดยข้อเท็จจริง “ดีกว่าแต่ไม่ยั่งยืน” ในเมื่อภาครัฐต้องการความมั่นคง มั่งคั่ง ต้องการลดความเหลื่อมล้ำ ต้องการช่วยเหลือเศรษฐกิจฐานราก ผู้ประกอบการรายย่อยวิสาหกิจชุมชน เกษตรกรและแรงงาน รวมทั้งประชาชนทั่วไป การส่งเสริม สนับสนุนแต้มต่อทางการเงินให้กลุ่มเศรษฐกิจฐานรากนี้จะต้องให้ความสำคัญ ทั้งแนวคิด นโยบาย มาตรการ และการกระทำอย่างจริงจัง จริงใจ “ไม่ใช่ปากว่าตาขยิบ” อย่างที่กระทรวงการคลังและ ธปท. ส่งสัญญาณตัวเลขเพดานดอกเบี้ยใหม่ตามความเสี่ยงของลูกหนี้เอื้อต่อนายทุน หรือ ช่วยเหลือรายย่อยกันแน่

เพราะที่ผ่านมาก็ปล่อยตามการประเมินความเสี่ยงของสถาบันการเงินนั้นๆ อยู่แล้วจากการให้ข่าว ของกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยผ่านประชาชาติธุรกิจ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 แสดงถึงความไม่เข้าใจ และไม่ตระหนักถึงความเดือดร้อนประชาชนที่ต้องการกลไกรัฐเข้ามาช่วยกำกับ ส่งเสริม และสนับสนุนแต้มต่อให้รายย่อยเข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำ แต่กลับสนับสนุนให้กลุ่มทุนปล่อยเพดานดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เพื่อหวังจะให้ปล่อยกู้เพิ่ม คงไม่ต่างจากบทเรียน Soft loan ที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนมากที่จำเป็นต้องการ ใช้แต่ไม่ได้ใช้

จากผลการสำรวจของ สสว. เมื่อเดือนกันยายน 2565 พบว่าอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ประกอบการรายย่อย ร้อยละ 45.5 รับดอกเบี้ยได้ 1-5% ต่อปี และร้อยละ 44.3 รับดอกเบี้ยได้ 6-8% ต่อปี และร้อยละ 8.1 รับดอกเบี้ยได้ 9-12% ต่อปี ที่สำคัญคือ จากการประกาศเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ส่งผลกระทบต่อภาระหนี้สินของธุรกิจรายย่อย

ดังนั้น ร้อยละ 24.9 กระทบน้อย (ระดับ 1-20%) ร้อยละ 20.5 กระทบค่อนข้างน้อย (ระดับ 21-40%) ร้อยละ 35.8 กระทบปานกลาง (ระดับ 41-60%) ร้อยละ10.7 กระทบค่อนข้างมาก (ระดับ 61-80%) ร้อยละ 6.1 กระทบมาก (ระดับ 81-100%) ซึ่งหากประเมินผลกระทบจะพบว่ารายย่อยที่มีผลกระทบด้านภาระดอกเบี้ยระดับปานกลางถึงมาก ร้อยละ 52.6 และหากประเมินตัวเลขจำนวนผู้ประกอบการรายย่อยที่ส่งผลกระทบปานกลางถึงมาก จะมีกว่า 1.426 ล้านราย (ภาพประกอบ) จากงานวิจัยของ Pinitjitsamut and Suwanprasert (2022) ซึ่งศึกษาสถานการณ์หนี้นอกระบบในประเทศไทย

โดยลงพื้นที่สัมภาษณ์ครัวเรือนโดยตรงกว่า 4,800 ครัวเรือน จาก 12 จังหวัด 4,628 ตัวอย่าง พบว่ากลุ่มอาชีพที่มีสัดส่วนผู้กู้ยืมเงินนอกระบบมากที่สุด คือกลุ่มอาชีพค้าขาย (52%) และกลุ่มอาชีพอิสระ (50%) ทั้งสองกลุ่มอาชีพนี้มีหนี้นอกระบบโดยเฉลี่ย 33,000 บาท และ 19,000 บาท โดยงานวิจัยชิ้นนี้แบ่งสาเหตุของการกู้ยืมเงินออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.การลงทุนในการประกอบอาชีพ 2.ค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่ารักษาพยาบาล และค่าเล่าเรียน 3.ใช้คืนหนี้เก่าในระบบและนอกระบบ 4.ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำ เป็น เช่น ซื้อเครื่องประดับ และโทรศัพท์มือถือ

ในภาพรวม 46.8% ของหนี้นอกระบบถูกนำมาใช้เพื่อค่าใช้จ่ายจำเป็น และ 41.5% ของหนี้นอกระบบถูกนำไปลงทุนในการประกอบอาชีพ มีเพียง 9.4% ของหนี้นอกระบบเท่านั้น ที่ถูกกู้มาเพื่อใช้จ่ายหนี้อื่นๆ และเพียง 2.3% ที่ถูกนำมาใช้สำหรับค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น จากข้อมูลมากกว่า 50% ของครัวเรือนซึ่งมีอาชีพเป็นพ่อค้าแม่ค้า เจ้าของธุรกิจส่วนตัวและเกษตรกร กู้หนี้นอกระบบเพื่อนำไปใช้จ่ายในการลงทุน

ในขณะที่ 70% ของลูกหนี้ที่มีอาชีพเป็นพนักงานเอกชน ลูกจ้าง อาชีพอิสระและไม่ได้ทำงาน กู้หนี้นอกระบบเพื่อนำไปจับจ่ายใช้สอยจำเป็นของครัวเรือน และอีกประมาณ 20% ของพนักงานรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจกู้หนี้นอกระบบเพื่อใช้หนี้เก่า

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...