โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ดรุณีร้อยเล่ห์

นิยาย Dek-D

อัพเดต 19 ก.ย 2566 เวลา 11.25 น. • เผยแพร่ 19 ก.ย 2566 เวลา 11.25 น. • กัญณัฐฐ์
ดรุณีร้อยเล่ห์
ถูกทั้งคนรักและน้องสาวต่างแม่หักหลัง โจวเยว่ซินเสียใจจริงๆ ก็ตอนที่เห็นคู่หมั้นของตัวเองต้องตาย หากขอชีวิตของเขากลับคืนมาได้ ให้แลกกับอะไร นางก็ยอม!

ข้อมูลเบื้องต้น

โค้งคาราวะขออภัยเจ้าค่ะ เนื่องจากเรื่องนี้มีการปรับเปลี่ยนเนื้อหา แล้วไม่ได้แก้ไขข้อมูลเบื้องต้น ต้องขออภัยนักอ่านด้วยเจ้าค่ะ

บทนำ

“เรื่องที่เกิดทั้งหมดนี้หากจะโทษก็โทษตัวท่านเถอะ”

เสียงเล็กๆ ระคนความรู้สึกผิดดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ก่อนจะปรากฎเรือนร่างของสตรีนางหนึ่ง นางพูดกับบุรุษซึ่งนั่งคุกเข่าใบหน้าก้มต่ำ ยามเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาปรากฎสองตาแดงก่ำ บนใบหน้ายังมีคราบเลือดติดอยู่ นางเห็นดังนั้นก็พลันรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดเจือจางในอากาศ

สายตาที่เขาใช้จ้องมองนางไม่ใช่ความโกรธแค้นแต่เต็มไปด้วยความเวทนา

เวทนา? นางมีสิ่งใดให้เขาต้องเวทนากันเล่า หากจะกล่าวกันจริงๆ แล้วคนที่น่าเวทนาก็คือเขาต่างหากมิใช่หรือ

ไม่กี่วันก่อนน้องชายคนเดียวของเขาจู่ๆ ก็ป่วยตาย ส่วนมารดาแม้ไม่ตายแต่ก็อยู่เหมือนตาย มีเพียงลมหายใจสูญสิ้นการรับรู้ทุกอย่างโดยสิ้นเชิง ส่วนตัวเขาก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งซื่อจื่อ [1] แห่งจวนอ๋องกลายเป็นคนไร้ค่าในชั่วข้ามคืน

จู่ๆ สายฝนก็เทกระหน่ำ นางยืนมองเขาผ่านม่านสายฝนอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะใช้สองมือยกชายกระโปรงขึ้นแล้วหันหลังวิ่งออกไป นางหันกลับมามองเขาอีกครั้งก็เห็นสายตาของเขายังคงจ้องมองอยู่ที่นางทั้งที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเม็ดฝน

ชั่วขณะหนึ่งหัวใจของนางรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างประหลาด อาจเป็นเพราะนางรู้สึกผิด นางหยุดมองเขาครั้งสุดท้ายแล้วหันหลังให้เขา

เดิมนางคือคู่หมั้นของเขา แต่หลายวันก่อนนางได้ถอนหมั้นกับเขาแล้ว และอีกไม่นานนางจะแต่งให้กับบุรุษอีกคน ผู้ที่ทั้งอ่อนโยนและแสนดีต่อนาง เรื่องราวทั้งหมดนี้จะโทษนางไม่ได้

ผู้ใดก็ต้องการแต่งกับบุรุษที่ดีทั้งนั้น นางเองก็เช่นกัน

ระหว่างนั้นนางก็ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมมืด ทั้งรูปร่างและเสื้อผ้าที่หญิงสาวคนนั้นสวมใส่ดูแล้วช่างคุ้นตา กระทั่งแสงไฟจากที่ใดที่หนึ่งส่องกระทบใบหน้านั้นอย่างชัดเจน

“ทำไมเจ้าถึงได้อยู่ที่นี่?” นางขมวดคิ้วหลังจากถามออกไปด้วยความสงสัย

มีเพียงรอยยิ้มเย้ยหยันเป็นคำตอบจากฝ่ายตรงข้าม ก่อนที่นางจะได้ถามหรือทำสิ่งใดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางที่นางจากมา เสียงนั้นทำให้นางต้องหันหลังกลับไปมอง

“ซื่อจื่อตายแล้ว”

นางวิ่งกลับมาเห็นร่างของเขาล้มลงนอนอยู่กับพื้น นางรู้สึกคล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นล้วงเข้ามาบีบหัวใจเจ็บปวดเสียจนยืนไม่อยู่

เป็นนางที่ทำร้ายเขา

ทว่านางมิได้ตั้งใจอยากให้เรื่องราวลงเอยเช่นนี้ นางทรุดกายลงแล้วเอื้อมมือเล็กๆ ของนางออกไป ใช้ปลายนิ้วเกี่ยวเอาเส้นผมยาวสยายที่เปียกชุ่มด้วยสายฝนออกจากใบหน้าของเขา

หัวใจของนางเต้นกระหน่ำมองใบหน้าที่เคยหล่อเหลาบัดนี้ขาวซีดราวกับกระดาษ เลือดสีแดงฉานทะลักออกจากปากไหลเป็นทางไปกับหยาดฝน ดวงตาคู่นั้นเบิกโพลงตาดำของเขาคล้ายกำลังจ้องมองมายังนาง

“ข้าขอโทษ” เสียงแผ่วเบาของนางพูดกับเขาเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจแผ่วเบาที่ปลายนิ้ว

“ทำไมเจ้าต้องฆ่าเขาด้วย?”

นางหันหลังกลับไปถามชายหนุ่มอีกคน เขาคือ คนที่ทำให้นางละทิ้งคู่หมั้นของนางเพื่อที่นางจะได้แต่งกับเขาอย่างไม่มีอุปสรรค เขาไม่ตอบคำถามของนาง เขาทำเพียงใช้ดวงตาอ่อนโยนของเขา

ไม่สิ ในตอนนี้มันไม่อ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครั้งที่มองนาง มันกลับเย็นชาเจือจางความรู้สึกหนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา นางไม่อยากสบดวงตาคู่นี้ของเขา นางจึงหันหลังให้เขา

“ระวัง” เสียงแหบอ่อนของคนที่กำลังจะหมดลมหายใจร้องเตือน

ฉับพลันนางรู้สึกเจ็บปวดบริเวณแผ่นหลังก่อนจะค่อยขยายออกไปทั่วร่าง นางจึงค่อยๆ ก้มใบหน้าลงมองเห็นส่วนปลายดาบแหลมคมโผล่ออกมาจากช่องอก นางส่งเสียงไอสองทีสายธารสีแดงก็ทะลักออกจากปาก

นางพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดที่แทรกซึมทุกอณูในร่าง ค่อยๆ หันกายกลับไปมองก็เห็นเขายืนนิ่งมือข้างหนึ่งของเขาถือดาบอยู่เล่มหนึ่งปลายดาบอาบชุ่มด้วยหยาดโลหิต ซึ่งจะเป็นของใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ของนาง

“ทำไม?” นางยังอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนี้ และก็เหมือนเดิมเขาไม่ตอบคำถามของนาง แต่ถึงเขาไม่ตอบนางคิดว่านางก็พอจะรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนี้ เมื่อนางเห็นหญิงสาวผู้นั้นเดินเข้ามา

ทันทีที่เขาเห็นหญิงสาวคนนั้นใบหน้าเย็นชาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาอย่างทันที ในตอนนี้เองสมองอันโง่เขลาของนางก็เข้าใจเรื่องราวรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ไม่คิดเลยว่าสองคนที่นางไว้ใจจะทรยศหักหลังนางเช่นนี้ คนหนึ่งคือชายหนุ่มที่นางหวังเคียงคู่จนผมขาว อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของนางนั่นเอง

“ฮ่า ฮ่า” นางเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“ข้ามอบความจริงใจให้พวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับทำกับข้าเช่นนี้รึ”

นางไม่อยากมองพวกเขาแล้ว ตอนนี้นางรู้สึกผิดกับชายหนุ่มผู้เป็นอดีตคู่หมั้นของนาง นางก้มลงมองใบหน้าขาวซีดริมฝีปากของเขาขยับน้อยๆ นางได้ยินเสียงเรียกชื่อของนาง

“…โจว…เยว่…ซิน…”

กระทั่งลมหายใจสุดท้ายเขาก็ยังเป็นห่วงนาง

หัวใจของนางเจ็บปวดด้วยความรู้สึกผิด ที่เขาเป็นอย่างนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะนางนั่นเอง คนโง่เขลาอย่างนางไม่สมควรได้รับความจริงใจจากเขา

“ซื่อจื่อข้าขอโทษ” นางพร่ำขอโทษพร้อมกระอักเลือดออกมาคำโต หากนางจะตายนางก็ไม่เสียดาย เพียงแต่นางอยากขอโอกาสให้เขาสักครั้ง จะให้แลกกับวิญญาณของนางก็ได้ นางยอมทุกอย่าง ขอโอกาสให้ชายหนุ่มผู้นี้ด้วย ขอให้เขาได้มีชีวิตอยู่ ได้พบเจอคนที่รักเขามิใช่คนไร้หัวใจเช่นนาง

สายฝนหยุดตกไปนานแล้ว ยามเมื่อใบหน้างดงามแหงนมองขึ้นบนฟ้า จึงเห็นแสงจันทร์อย่างชัดเจน ดวงตามุ่งมั่นมองขึ้นไปบนนั้นจ้องมองบนดวงจันทร์กลมโต หัวใจที่กำลังเต้นแผ่วเบาของนางเฝ้าอ้อนวอนขอให้นางได้มีโอกาสชดใช้ความผิดในครั้งนี้ด้วย โจวเยว่ซินเฝ้าอธิษฐานจนลมหายใจสุดท้าย

ขอให้นางได้มีโอกาสชดเชยความผิดในครั้งนี้

แต่เรื่องราวก็ยังคงดำเนินต่อไป

เขาตายแล้ว ส่วนนางก็ถูกฆ่าตายเช่นกันจากน้ำมือของบุรุษที่นางเลือกเอง

[1] ซื่อจื่อ คือ ตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดของเชื้อพระวงศ์และขุนนางที่มีบรรดาศักดิ์

--- เริ่มลงใหม่ตั้งแต่บทแรก เนื่องจากมีการ re-write ใหม่ และขอชี้แจงร่วมกันสักนิด

เรื่องนี้อาจลงไม่จบ ไม่อยากรับปากว่าจะลงให้จบ การลงรายตอนอาจทำให้คนอ่านรำคาญและหงุดหงิด และเรื่องสำตัญที่มีผลต่อคนเขียนที่สุดคือ คอมเม้นท์ หากเป็นคอมเม้นท์เกี่ยวกับการเขียน สำนวน คำผิด หรือเกี่ยวกับการเขียน คนเขียนน้อมรับและขอบคุณมากเพราะมันทำให้เราเอามาปรับปรุงตัวเอง

แต่ก็มีคอมเม้นท์บางประเภท ที่ไม่สร้างสรรค์สำหรับคนเขียน ซึ่งอยากชี้แจงว่า นิยาย เป็นจินตนาการของคนเขียนซึ่งรังสรรค์มันออกมาจากมันสมองอันน้อยนิด หากไม่ชื่นชอบกันก็ขอให้ปล่อยผ่านอย่าได้ทำลายความรู้สึกของผู้เขียนด้วยตัวหนังสือเพียงไม่กี่ตัวเลย ซึ่งบอกตามตรงว่าคอมเม้นท์บางประเภททำให้คนเขียนหยุดงานเขียนไปเลยเป็นเดือนๆ ก็มี อันนี้พูดโดยรวมในหลายแอพที่เราลงให้อ่าน

ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มีให้กันเสมอมาด้วยเจ้าค่ะ

เยว่เอ๋อ

“เรื่องบัดซบ นี่มันเรื่องบัดซบชัดๆ โอยยย…เจ็บเป็นบ้า”

ริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุยยังไม่ทันได้สบถคำหยาบในหัวกลับต้องส่งเสียงครางต่ำเมื่อรู้สึกปวดร้าวไปเกือบทั้งร่างคล้ายกระดูกทุกชิ้นในตัวแตกหักออกมาเป็นเสี่ยงๆ

จำได้ว่าก่อนหน้านี้กำลังทำอะไรอยู่นะ อ้อ! เธอกำลังเดินข้ามถนนจากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘เอี๊ยด….’ เสียงบ้านั่นยังติดอยู่ในหูอยู่เลย

เสียงนั่นคล้ายล้อรถลากยาวเสียดสีกับพื้นถนนนั้นดังอยู่ใกล้มาก ในตอนนั้นหัวใจของเธอเต้นกระหน่ำยังไม่ทันที่จะขยับตัวหลบ เธอก็รู้สึกว่ามีใครสักคนพุ่งตัวเข้ามากอดเธอไว้ แล้วทุกอย่างก็พลันดับมืด

เธอจำได้แล้ว เธอถูกรถชนนั่นเอง

โชคดีที่ยังไม่ตาย

เธอพยายามฝืนเปิดเปลือกตาอันแสนหนักอึ้งขึ้นเพื่อมองโดยรอบ คาดว่าเธออาจถูกนำส่งโรงพยาบาลสักแห่ง เธอยังคิดห่วงไปอีกว่าจะมีใครโทรแจ้งพี่เฉินหรือยังว่าเธอถูกรถชน

“คุณหนูใหญ่ฟื้นแล้ว คุณหนูใหญ่ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”

“…”

เสียงเสียงเล็กๆ ของใครสักคนดังอยู่ริมใบหูแล้วค่อยห่างออกไป มองจากหางตาเห็นร่างนั้นวิ่งผลุนออกไปอย่างรวดเร็ว หัวคิ้วของเธอขมวดยุ่งจนแทบจะชิดเป็นเส้นเดียว เมื่อสายตาสามารถมองเห็นรายละเอียดรอบตัวอย่างชัดเจน

เธอถูกรถชนแทนที่จะส่งโรงพยาบาล กลับเอาเธอมาไว้ในห้อง อืม…ห้องอะไรดีล่ะ มันดูคล้ายห้องที่อยู่ในฉากของซีรีย์จีนโบราณ นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ อีพี่เฉิน เธอเจ็บเกือบตายเชียวนะ ย้ำว่าเกือบตาย เจ็บจะตายอยู่แล้วไม่รู้ว่ากระดูกตรงไหนหักบ้าง ยังจะรับงานถ่ายทำอะไรกันอยู่อีก

เธอชื่อ ‘เยว่เล่อ’ เป็นนักแสดงธรรมดาไม่ใช่ซุปเปอร์วูแมน!

คนเจ็บส่งค้อนตาขาวใส่ลมไปตามเรื่องตามราวระหว่างรอตัวปัญหาอย่างพี่เฉินอี้ ระหว่างนั้นเธอก็นึกกลับไปต่อว่าทำไมเธอถึงถูกรถชนได้ ก็เพราะเธอกำลังข้ามถนนนะสิ

ในตอนนั้นเองเธอได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้คนมากกว่าหนึ่งวิ่งตรงมายังที่เธอนอนอยู่ คาดว่าคงเป็นพี่เฉินแล้วก็ทีมงาน ดีมากันให้พร้อมหน้าจะได้ด่าแบบม้วนเดียวจบ

“เยว่เอ๋อ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

เยว่เอ๋ออย่างนั้นหรือ?

ไม่มีใครเรียกเธอเช่นนี้มานานมากแล้ว ตั้งแต่พ่อและแม่ของเยว่เล่อหย่าขาดจากกันเพราะพ่อนอกใจแม่ไปมีผู้หญิงใหม่ แม่ของเยว่เล่อจึงหย่าขาดจากพ่อแล้วพาเยว่เล่อกลับมาอยู่กับยาย

เยว่เล่อเงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นดวงตาของเธอก็เหม่อลอยเมื่อเห็นใบหน้าเจ้าของเสียงนั้น ใบหน้านี้คือแม่ของเธอ แม่ของเธอกลับมาหาเธอแล้ว

“แม่จ๋า แม่กลับมาหาเยว่เล่อแล้ว ฮือ”

เรื่องราวเกี่ยวกับแม่ที่เธอเก็บไว้ในใจหลั่งไหลพรั่งพรูออกมา หลังจากกลับไปอยู่กับยายได้ไม่นานแม่ก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แม่เอาแต่นั่งเหม่อลอยบ่อยครั้งก็ร้องไห้ไม่หยุด อย่าว่าแต่เอ่ยปากเรียกเธอว่า ‘เยว่เอ๋อ’ เลย กระทั่งแม่มองหน้าเธออยู่แต่ในแววตาของแม่กลับว่างเปล่า แม่จำเธอไม่ได้แล้วหรือไม่แม่ก็คงไม่อยากจดจำลูกเกิดจากชายคนรักที่ทรยศหักหลังแม่

แม่เป็นอยู่อย่างนี้กระทั่งเยว่เล่ออายุได้สิบขวบ เยว่เล่อจำวันนั้นได้ดีเหมือนมันพึ่งเกิดเมื่อวาน เด็กหญิงเยว่เล่อกลับจากโรงเรียนด้วยความดีใจเพราะเธอได้ถ้วยรางวัลจากการแข่งขันตอบปัญหา เธอจึงรีบกลับบ้านเพื่อเอาถ้วยรางวัลมามาอวดแม่ ตอนที่เยว่เล่อก้าวเท้าเข้าบ้านเห็นยายนั่งร้องไห้ ในตอนนั้นหัวใจของเยว่เล่อกระตุกอย่างแรง ขาน้อยๆ รีบวิ่งเข้าไปด้านในยายหันมาคว้าตัวเธอแล้วกอดไว้พร้อมพูดเสียงสั่นเครือที่แสนจะแผ่วเบา แต่เยว่เล่อกลับได้ยินอย่างชัดเจน

‘แม่หายไปแล้ว ไม่รู้ไปไหน’

ยายเล่าว่ายายออกไปซื้อของข้างนอกกลับมาอีกทีแม่ก็หายออกไปจากบ้านแล้ว ยายออกเดินตามหาทั่วทั้งหมู่บ้าน รวมถึงโทรไปตามบ้านญาติก็ไม่มีใครเห็นแม่ จากนั้นยายจึงแจ้งตำรวจ

นับตั้งแต่วันนั้นแม่ก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย

“ฮือๆ อย่าไปอีกนะ อย่าไปไหนอีก อยู่กับเยว่เอ๋อนะ” เธอร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลเต็มสองตาก็ไม่กล้าแม้จะกระพริบตา เธอกลัวแม่จะหายไปอีก

“เด็กโง่ ข้าจะทิ้งเจ้าไปไหนได้ ข้าก็ต้องอยู่กับเจ้านะสิ”

เยว่เล่อยอมให้อีกฝ่ายเช็ดน้ำตาให้ สัมผัสแผ่วเบาจากปลายนิ้วของแม่บนใบหน้ายิ่งทำให้บ่อน้ำตาของเยว่เล่อแตก

“เยว่เอ๋อ เจ้าเจ็บตรงไหน บอกข้ามาเร็วเข้า” อีกฝ่ายตกใจรีบใช้สายตาไล่สำรวจรอยฟกช้ำบนร่างกายเล็กๆ นั่นทันที

“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ ท่านหมอหูมาแล้วเจ้าค่ะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้น เยว่เล่อจึงละสายตาจากแม่แล้วมองเลยไป นอกจากแม่แล้วยังมีเด็กหญิงตัวเล็กอีกคนหนึ่งน่าจะเป็นคนเดียวกับที่อยู่กับเธอในตอนที่เธอลืมตาขึ้นมานั่นเอง แล้วนั่น…เยว่เล่อหรี่ตามองผู้ชายอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาซึ่งเธอขอเรียกเขาว่า ชายแก่ เพราะทั้งผมและหนวดเคราของเขาเป็นสีขาวหมดจด แต่เดี๋ยวนะด้วยเสื้อผ้าเหมือนอยู่ในนิยายจีนโบราณ

“ให้ข้าจับชีพจรนางดูหน่อย” เสียงชายแก่นั่นบอก แม่ของเธอจึงลุกขึ้นถอยเพื่อเปิดทางให้

เยว่เล่อมองนิ้วมือเหี่ยวย่นวางบนข้อมือเล็กๆ ของเธอ

เอ๊ะ! ข้อมือเล็กๆ นี่คือของใครกัน เยว่เล่อพยายามดึงมือกลับเจ้าข้อมือเล็กนั่นก็ขยับตาม

“เยว่เอ๋อเจ้าอยู่เฉยๆ ไม่เช่นนั้นหมอหูจะตรวจเจ้าไม่ได้”

“แม่” ทำไมแขนเธอถึงหดเล็กลง เธออยากถามออกไปมาก ทว่าเมื่อเห็นสายตาดุของแม่เธอจึงเม้มปากเก็บคำถามลงท้อง

“คุณหนูใหญ่ไม่เป็นอะไรแล้ว เพียงแค่ตกใจเล็กน้อย เดี๋ยวข้าจะให้ยาทาแก้ฟกช้ำและยาสงบใจต้มให้คุณหนูใหญ่กินเช้าเย็นไม่เกินสามวันคุณหนูใหญ่ก็หายดีแล้ว”

เธอโดนรถชนไม่ใช่ตกบันได ให้แค่ยาแก้ฟกช้ำและยาสงบอะไรนะ อ๋อ ยาสงบใจ แค่นี้นี่นะ เยว่เล่อมองชายแก่ที่ถูกเรียกว่าหมอหูอย่างไม่เชื่อถือ ก่อนที่เธอจะเอ่ยอะไรออกไปนั้น พลันมีคนสองคนก้าวเข้ามาในห้องเยว่เล่อหันมองเห็นหนึ่งคนมีใบหน้าที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดีก็ร้องเรียกเสียงดังอย่างดีใจว่า

“พี่เฉิน!”

คนที่ถูกเรียกว่า ‘พี่เฉิน’ กระพริบตาปริบสองครั้งแล้วยกนิ้วขึ้นชี้ปลายจมูกตัวเอง “เจ้าเรียกข้างั้นรึ?”

เยว่เล่อพยักหน้ามอง ‘พี่เฉิน’ ทำท่าทางลังเลจนสตรีอีกคนซึ่งอยู่ด้านข้างคล้ายทนดูไม่ได้เป็นฝ่ายดันตัวเขาเข้ามาอยู่ข้างเตียงของเธอแทน

หมอหูที่ลุกขึ้นเดินออกไปแล้ว

“เจ้าลูกโง่ นางไม่เรียกเจ้าแล้วจะเรียกใคร ที่นี่ก็มีแค่เจ้าที่แซ่เฉิน”

“แต่ว่า” เฉินอี้มองร่างเล็กบนเตียงด้วยสีหน้างุนงง ลูกผู้น้องของเขาคนนี้มิใช่ไม่ชอบเขาหรอกหรือ ที่สำคัญนางไม่เคยเรียกเขาว่า ‘พี่เฉิน’ ด้วยซ้ำ

“พี่เฉิน ทำไมใบหน้าของพี่”

“ใบหน้าของข้าเป็นอย่างไรหรือ”

“ใบหน้าของพี่ดูเด็กมากเลย”

“…”

พอเยว่เล่อพูดจบในห้องก็เกิดความเงียบทุกสายตาหันมองใบหน้าของเด็กหนุ่มจนเขารู้สึกเขินอายได้แต่ยกมือขึ้นเกาศีรษะแล้วพูดเบาๆ ว่า

“ปีนี้ข้าอายุสิบเจ็ดไม่เรียกว่าเด็กแล้ว”

เอ๋…พี่เฉินของเธอปีนี้อายุสามสิบแล้วไม่ใช่สิบเจ็ดสักหน่อย แต่ใบหน้านี้เป็นของพี่เฉินอย่างแน่นอน หรือว่าพี่เฉินของเธอจะร้อยไหมผ่าตัดทำศัลยกรรม ทว่ารูปร่างของคนตรงหน้าก็ดูหดเล็กกว่าพี่เฉินของเธอเยอะเลย ดูเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดจริงๆ ไม่ใช่ชายหนุ่มวัยสามสิบที่ผ่านการศัลยกรรม

หรือเธอจะถูกรถชนจนสมองกระทบกระเทือนทำให้สายตามีปัญหา นอกจากแขนและมือของเธอหดเล็กลงแล้ว พี่เฉินของเธอยังหดลงด้วย

เยว่เล่อมองใบหน้าของเขาด้วยความรู้สึกสับสนก่อนจะถามขึ้นด้วยข้อสงสัยอีกอย่างว่า “กองถ่ายอยู่ที่ไหนกันหรือคะ”

คราวนี้เธอขยับคอมองไปยังด้านหน้าประตูเพื่อหวังเจอกล้องสักตัว หรือไม่ก็คนในทีมงานของกองถ่ายสักคน ที่ช่วยให้เธอหายข้องใจกับสิ่งที่เธอกำลังเจออยู่ในตอนนี้ ทุกคนในห้องต่างขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นท่าทางของเธอ จากนั้นก็มีเสียงของใครสักคนรีบร้อนเรียกให้หมอหูกลับมาตรวจดูอาการของเธออีกครั้ง

“คุณหนูใหญ่เกิดอาการตกใจอย่างแรงจึงทำให้สมองมึนงง ช่วงนี้อาจมีอาการความจำสับสนมิใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างไร ฮูหยินใหญ่ไม่ต้องเป็นกังวล ขอเพียงคุณหนูใหญ่หมั่นกินยาที่ข้าเขียนเทียบไว้ให้ ไม่เกินหนึ่งเดือนอาการทุกอย่างก็จะหายเป็นปกติอย่างแน่นอน”

“…”

--- กลับมาแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยได้ทำการ re-write เนื้อหาใหม่ เริ่มลงให้อ่านทุกวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ และ เสาร์

เนื่องจากข้าน้อยมีงานประจำ อาจมนีบางช่วงบางเวลาหายไปบ้าง เรื่องนี้ 2 เล่มจบ พอ re-write ไปแล้วเนื้อหามันก็งอกขึ้น เลยขมวดลงที่เล่มเดียวไม่จบ ข้าน้อยจะลง e-book เล่ม 1 ให้อ่านก่อน ซึ่งคาดว่า ราวปลายเดือน หรือต้นเดือนหน้า

ขอบคุณบรรดา รีดทั้งหลายที่ยังให้อภัยและติดตามข้าน้อยเจ้าค่ะ

ปล. หากมีปัญหา พูดคุย สามารถไปที่เพจ กัญณัฐฐ์ ได้นะเจ้าคะ เพราะที่นั่นข้าน้อยสามารถเห็นการแจ้งเตือนได้เร็ว

ข้าชื่อเฉินอี้

หลังจากอยู่ตามลำพังกับตัวเอง เธอก็ทดลองหยิกตัวเองแรงๆ จากนั้นจึงพบว่า ‘เจ็บชะมัด’ นี่มันเป็นเรื่องที่บ้ามาก ไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ อยากให้ทุกอย่างเป็นความฝันแต่มันก็ดันเป็นความจริง เมื่อวานเธอยังเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบสามปีชื่อ เยว่เล่อ อยู่ในโลกที่มีทั้งโทรศัพท์มือถือห้าจี รถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน อีกทั้งเครื่องบินที่สามารถเดินทางได้รอบโลก และอื่นๆ อีกมากมายจนสาธยายไม่หมด

เธอคือ เยว่เล่อ ที่มีอนาคตไกลในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ชีวิตเธอกำลังเรียกว่าขาขึ้นเลยทีเดียว ทว่าเธอกลับทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณที่ไม่รู้ว่าคือที่ไหน เธอจำได้ว่าไอ้การทะลุมิตินี่เป็นพล็อตเรื่องยอดฮิตของนิยาย ไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดขึ้นกับเธอ

สวรรค์ให้ตายเถอะ แทนที่จะให้เธอดื่มน้ำแกงยายเมิ่งแล้วไปเกิดใหม่ ดันให้เธอเข้ามาอยู่ในร่างของ ‘โจวเยว่ซิน’

ก่อนอื่นต้องตั้งสติก่อนนะ เยว่เล่อ ไม่สิ ในตอนนี้เธอคือ โจวเยว่ซิน แล้ว ต้องตั้งสติให้ดีก่อน

โจวเยว่ซินมุ่นคิ้วขบคิดภาพความทรงจำของเจ้าของร่างก็หลั่งไหลเข้ามาในหัว ปีนี้นางอายุสิบสี่เป็นบุตรสาวคนโตที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ หวงลี่เฉียว ที่มีหน้าตาเหมือนกับแม่ของเยว่เล่อ กับ โจวเฟิง ซึ่งเป็นขุนนางดำรงตำแหน่งเจ้ากรมอาลักษณ์ [1] โชคดีที่ชีวิตของโจวเยว่ซินไม่รันทดเหมือนนิยายน้ำเน่า นอกจากไม่กำพร้าบิดามารดาแล้ว มารดาของนางยังรวยมาก เฮ้อ ชีวิตต่อจากนี้คงไม่น่ากังวล เอ๊ะ แต่เดี๋ยวนะ คิ้วเรียวดั่งใบหลิวขมวดมุ่น บิดาของนางยังมีฮูหยินรอง แล้วนางก็ยังมีน้องสาวต่างมารดาอีกถึงสองคน

เหมือนจะไม่มีอะไร ทว่าส่วนลึกในใจของนางร้องบอกนางว่าอย่าได้ไว้ใจสามแม่ลูกนี้อย่างเด็ดขาด

“คุณหนูปวดหัวหรือเจ้าคะ”

เสี่ยวชิงรีบวางอ่างน้ำลงแล้วพาร่างเล็กๆ ของตัวเข้ามาที่เตียงอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นคุณหนูใหญ่กำลังใช้มือบีบลงบนขมับทั้งสองข้าง

“ไม่เป็นไร ฉะ…เอ่อ…ข้าเอ่อ…เออนั่นแหละ”

เยว่เล่อ ไม่สิ ต้องเรียกว่า โจวเยว่ซินถอนหายใจมองเด็กหญิงวัยสิบห้าซึ่งเป็นคนเดียวกันที่อยู่กับ เธอ อ้อสรรพนามก็ต้องเปลี่ยนด้วย เด็กหญิงคนนี้อยู่กับนางตอนฟื้นขึ้นมาในร่างนี้

เสี่ยวชิงใช้สายตาเล็กๆ ไล่สำรวจไปทั่วร่างของคุณหนูบนเตียง นึกประหลาดใจแต่ไม่พูดอะไรออกมา

เดิมคุณหนูใหญ่มีนิสัยดุร้าย เอาแต่ใจ หากได้บาดเจ็บถึงเพียงนี้ต้องร้องไห้โวยวายไม่หยุด อย่าว่าแต่ได้รับบาดเจ็บหนักเลย กระทั่งผิวหนังมีรอยถลอกสักเพียงเล็กน้อย คุณหนูใหญ่ก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่คับจวนสกุลโจวแล้ว ทว่าตอนนี้คุณหนูใหญ่ถึงกับนอนรักษาตัวอย่างเงียบเชียบทั้งที่บนร่างกายมีแต่รอยฟกช้ำ หรือว่าคุณหนูใหญ่จะตกม้าจนสมองเลอะเลือนทำให้กลายเป็นคนละคนอย่างนี้ แต่จะว่าไป คุณหนูใหญ่ที่เป็นแบบนี้ก็ดีไม่ใช่น้อย

เสี่ยวชิงเม้มปากแล้วค่อยประคองคุณหนูใหญ่ของนางขึ้นแล้วใช้มือหนึ่งหยิบหมอนใบเล็กสอดเข้าด้านหลังเพื่อให้คุณหนูใหญ่ของนางได้นั่งอย่างสบาย

“ท่านแม่ล่ะ” อย่างน้อยใบหน้าท่านแม่ที่นี่ก็เหมือนกับแม่ที่โน่นทำให้โจวเยว่ซินรู้สึกอุ่นใจไม่น้อย

“ฮูหยินใหญ่กำลังควบคุมแม่ครัวเคี่ยวยาให้คุณหนูใหญ่อยู่เจ้าค่ะ”

เสี่ยวชิงตอบโจวเยว่ซินพยักหน้ารับก่อนจะเบ้หน้าเมื่อคิดถึงของเหลวสีดำขมปี๋ แม้ไม่อยากกินแต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของท่านแม่ จึงได้แต่กลืนยาพวกนั้นลงคออย่างจำใจ

แค่เพียงคิดถึงกลิ่นยาขมๆ ก็ลอยโชยมาแต่ไกล

เอาเถอะ เพื่อรอยยิ้มของท่านแม่

“เยว่เอ๋อ วันนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

หวงฉี่ยู่เดินเข้ามาพร้อมบุตรชายคนเดียว ‘เฉินอี้’ หลังจากเมื่อวานพากันกลับไปเพื่อให้เด็กหญิงพักผ่อนวันนี้นางจึงรีบจับมือบุตรชายขึ้นรถม้ามาเยี่ยมหลานสาวคนเดียวแต่เช้าตรู่

“ข้าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ ท่านป้า” เสียงเล็กๆ ของโจวเยว่ซินร้องตอบพร้อมรอยยิ้ม

อืม…จริงสิ ยังมีเด็กหนุ่มที่มีหน้าตาเหมือนพี่เฉินของเธออยู่ที่นี่อีกทั้งคน แม้เขาจะไม่ใช่พี่เฉินทะลุมิติมาเหมือนนางแต่นางก็เชื่อว่าเขาจะต้องดีกับนางเหมือนพี่เฉินอย่างแน่นอน

โจวเยว่ซินหันไปยิ้มกว้างให้เฉินอี้

ใบหน้าคุ้นตาของพี่เฉินในยามนี้ช่างหล่อเหลา โจวเยว่ซินมองหางตาไร้รอยจีบย่นแล้วคิดถึงยามที่พี่เฉินมักส่องกระจกแล้วใช้นิ้วมือแต้มครีมบำรุงบรรจงนวดบริเวณนั้นเป็นประจำ ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมา

หวงฉี่ยู่รู้สึกแปลกใจกับท่าทางของหลานสาว จะบอกว่าแปลกใจตั้งแต่เมื่อวานแล้วก็ใช่ หลานสาวคนนี้ของนางไม่ชื่นชอบนางและบุตรชายสักเท่าไหร่ เรียกว่าไม่ใช่แค่นางและบุตรชายเท่านั้นกระทั่งน้องสาวของนางซึ่งเป็นมารดา หลานสาวคนนี้ก็ไม่ชอบใจ เพราะอะไรนั่นหรือ ก็เพราะตระกูลหวงเป็นแค่พ่อค้ามิใช่ขุนนางอย่างไรเล่า

หวงฉี่ยู่คิดถึงท่าทางห่างเหินก่อนหน้านี้ของหลานสาวแม้จะรู้สึกโมโหไม่ชอบใจ ทว่าอย่างไรนางก็รักหลานสาวคนนี้ เพราะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลหวงของพวกนางนั่นเอง หวงฉี่ยู่จึงไม่เคยเกลียดหลานสาวคนนี้เลย

“วันนี้ป้าต้มน้ำแกงโสมมาให้เจ้าด้วย เร็วเข้าสิชักช้าอยู่นั่นแหละ” หวงฉี่ยู่ส่งยิ้มให้หลานสาวแล้วหันกลับส่งเสียงเร่งเร้าบุตรชายที่เอาแต่ทำท่าทางประหลาด ก็ดูท่าทางเดินนั่นสิ

เจ้าเด็กนั่นทำอย่างกับว่าตรงนี้มีอะไรน่ากลัวหนักหนา ทั้งที่ตรงนี้มีแต่นางและญาติผู้น้องที่เป็นเพียงเด็กสาวน่ารักไร้เดียงสาเท่านั้น

ครั้นถูกมารดาเอ็ด เฉินอี้ก็ทำหน้าบึ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินเข้ามาแล้วยื่นของในมือให้เสี่ยวชิงเอาไปใส่ถ้วยให้คุณหนูของนาง เฉินอี้แอบมองใบหน้าเล็กของคนบนเตียงอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจ จะบอกว่ากลัวก็ใช่ ก่อนหน้านี้ญาติผู้น้องเห็นเขาทีไรหากไม่ทำเป็นมองไม่เห็นเขาก็แสดงสีหน้าดูถูกดูแคลน หาได้แสดงท่าทางดีใจแล้วยิ้มกว้างอย่างนี้เสียที่ไหนกันเล่า ‘หรือจะถูกผีเข้า’ เขาคิดว่าต้องใช่แน่ๆ คิดแล้วก็คล้ายจะรู้สึกว่าอากาศภายในห้องเย็นยะเยือกขึ้นมากระทันหันจึงยกมือขึ้นถูแขนของตัวเองพร้อมเหลียวมองรอบๆ ห้อง ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกฝ่ามือของมารดาตีลงมาอย่างแรง

“ท่านแม่ข้าเจ็บนะขอรับ” เฉินอี้โอดครวญ

โจวเยว่ซินอมยิ้มมองเฉินอี้แล้วพูดว่า “พี่เฉิน ข้าขอเรียกท่านว่าพี่เฉินได้ไหมเจ้าคะ” เพียงนางได้เรียกเขาว่าพี่เฉินนางก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาไม่น้อย

ใบหน้าเด็กหนุ่มขึ้นสีระเรื่อก่อนจะพยักหน้ารับพร้อมส่งเสียง “อืม” อยากเรียกก็เรียกสิจะต้องถามทำไมกันเล่า อืม พี่เฉินนี่ฟังแล้วรื่นหูดีเหมือนกัน

หวงฉี่ยู่มองสถานการณ์ระหว่างบุตรชายและหลานสาวก็ชอบใจที่เห็นพวกเขาสนิทสนมกัน จึงแอบรู้สึกดีไม่ได้ที่หลานสาวตกม้าในครั้งนี้

บรรยากาศภายในห้องอวลไปด้วยความสนิทสนมต้องชะงักเมื่อเสียงของเสี่ยวชิงดังขึ้น

“คุณหนูใหญ่ ฮูหยินรองมาเยี่ยมเจ้าค่ะ”

[1] กรมอาลักษณ์ หมายถึง หน่วยงานราชเลขานุการด้านหนังสือของฮ่องเต้

--- จ๊าด เสียดายพี่เฉินไม่ได้วาร์ปมาด้วย ไม่งั้นมี เฮ

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0

ความเห็น 0

ยังไม่มีความเห็น