โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

แนวโน้มอุตสาหกรรมเนื้อสุกรไทย (Update)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

อัพเดต 19 มี.ค. เวลา 12.01 น. • เผยแพร่ 19 มี.ค. เวลา 12.01 น.

• ในปี 2568 คาดว่า อุปทานเนื้อสุกรลดลง 2.4% ตามจำนวนสุกรเลี้ยงที่ลดลง เนื่องจากมาตรการปรับลดจำนวนแม่พันธุ์สุกรและผลกระทบโรคระบาด แม้ว่าราคาอาหารสัตว์จะมีแนวโน้มลดลง อาทิเช่น ปลายข้าว กากถั่วเหลือง และปลาป่น โดยอุปทานเนื้อสุกรจะมาจากผู้ผลิตสุกรรายกลาง-ใหญ่เป็นสำคัญ ในขณะที่ผู้ผลิตสุกรรายย่อยจะลดบทบาทลง
• อุปสงค์เนื้อสุกรปี 2568 คาดว่าลดลง 1.7% ตามราคาเนื้อสุกรที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก จะกดดันความต้องการของผู้บริโภคไทย ในขณะที่ผู้บริโภคที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่ายังเติบโตได้ ทำให้ภาพรวมการบริโภคเนื้อสุกรในประเทศลดลงไม่มากนัก
แนวโน้มอุปทานและอุปสงค์เนื้อสุกรไทย
อุปทานเนื้อสุกรไทย
ปี 2568 คาดว่า อุปทานเนื้อสุกรไทยลดลง 2.4% ตามจำนวนสุกรมีชีวิตที่ลดลงราว 5 แสนตัว (รูปที่ 2) จากมาตรการลดจำนวนแม่พันธุ์สุกรและโรคระบาด แม้ราคาอาหารสัตว์จะปรับลดลง
อุปทานเนื้อสุกรไทยลดลง เนื่องจากมาตรการภาครัฐที่ต้องการลดจำนวนแม่พันธุ์สุกรในฟาร์มขนาดใหญ่ และผลของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรหรือ ASF ที่อาจสร้างความเสียหายในบางพื้นที่ (แต่ไม่รุนแรงเท่าปี 2565)
อย่างไรก็ดี ด้วยราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีแนวโน้มลดลง ทั้งปลายข้าว กากถั่วเหลือง และปลาป่น ตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยในแหล่งผลิตหลัก โดยในเดือนแรกของปี 2568 ปลาป่นมีราคาเฉลี่ยลดลงมากถึง 24% ตามด้วยกากถั่วเหลืองที่มีราคาเฉลี่ยลดลง 21% (รูปที่ 3) จึงทำให้ภาพรวมอุปทานเนื้อสุกรในปีนี้ปรับลดลงไม่มาก
จำนวนสุกรเลี้ยงของไทยฟื้นกลับมาเทียบเท่าก่อน ASF โดยมาจากผู้เลี้ยงรายใหญ่มากขึ้น ในขณะที่ผู้เลี้ยงรายย่อยทยอยลดจำนวนลง
โดยในปี 2567 จำนวนสุกรเลี้ยงมีถึง 21 ล้านตัว สะท้อนถึงระดับอุปทานสุกรที่เต็มกำลังการผลิต ซึ่งอุปทานสุกรส่วนใหญ่จะมาจากผู้เลี้ยงรายกลาง-ใหญ่มากขึ้น โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 72% ของผลผลิตสุกรในปี 2564 เป็น 75% ในปี 2567 (รูปที่ 4) ขณะที่ผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยบางส่วนยังเผชิญภาวะขาดทุนสะสมจากผลของ ASF จนต้องเลิกกิจการ โดยในปี 2567 มีการขาดทุนเฉลี่ยถึง 8 บาทต่อกิโลกรัม
อุปทานเนื้อสุกรของไทยยังเป็นไปเพื่อการบริโภคในประเทศเกือบทั้งหมด เนื่องจากเนื้อสุกรของไทยยังมีราคาสูงกว่าผู้ผลิตรายสำคัญของโลก เช่น สเปน สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น จึงทำให้ไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคาในตลาดโลกได้ (รูปที่ 5) ขณะเดียวกัน ตลาดเนื้อสุกรในประเทศก็ได้รับการปกป้องจากกฏหมายควบคุมการนำเข้าสุกรและผลิตภัณฑ์สุกร ทำให้ผู้ผลิตเนื้อสุกรมักเลือกทำตลาดในประเทศเป็นหลัก
อุปสงค์เนื้อสุกรไทย
ในปี 2568 คาดว่า อุปสงค์เนื้อสุกรไทยลดลง 1.7% จากปริมาณ 1.61 ล้านตัน มาอยู่ที่ 1.58 ล้านตัน (รูปที่ 6) ตามราคาเนื้อสุกรที่ปรับเพิ่มขึ้น 3.1%
เมื่อราคาเนื้อสุกรเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคไทยมักบริโภคเนื้อสุกรลดลง (รูปที่ 7) ทำให้ราคาเนื้อสุกรไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม (รูปที่ 8) จะส่งผลต่ออุปสงค์จากผู้บริโภคไทยให้ลดลง
ขณะที่ในส่วนของผู้บริโภคที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติก็มีส่วนต่อการบริโภคอาหารที่รวมถึงเนื้อสุกร โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2568 จะยังขยายตัวได้ ก็อาจเป็นแรงหนุนส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาพรวมอุปสงค์เนื้อสุกรของไทยลดลงไม่มากนัก

การส่งออกเนื้อสุกรไทย
ปี 2568 คาดว่า ปริมาณการส่งออกเนื้อสุกรแช่เย็นแช่แข็งของไทยจะเติบโตราว 4.9% (รูปที่ 9) โดยได้แรงหนุนจากความต้องการในตลาดส่งออกหลักอย่างฮ่องกง ที่นำเข้าจากไทยมากขึ้นในจังหวะที่แหล่งนำเข้าหลักอย่างจีนมีผลผลิตสุกรลดลงและมีราคาขายสุกรที่สูงกว่าไทย
อย่างไรก็ดี ปริมาณการส่งออกเนื้อสุกรแช่เย็นแช่แข็งของไทยยังน้อยมาก เนื่องจากสุกรของไทยส่วนใหญ่ยังเผชิญปัญหาโรคปากและเท้าเปื่อย (FMD: Foot and Mouth Disease) จึงยังเป็นข้อจำกัดในการส่งออกเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ของไทย
ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมเนื้อสุกรในระยะข้างหน้า
คาดว่า อุปทานคงเพิ่มได้ยาก และอุปสงค์คงโตได้จำกัด

ปัจจัยกดดันอุปทาน

  • ต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะต้นทุนจัดการฟาร์ม (Biosecurity) เพื่อให้ได้มาตรฐานที่ปลอดจากโรค ASF นอกจากนี้ ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ที่ไทยยังต้องนำเข้าในบางรายการหลัก เช่น กากถั่วเหลือง จะทำให้ราคามีความไม่แน่นอนสูง กระทบต่อปริมาณการผลิตสุกร โดยเฉพาะในเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อย
  • ความเสี่ยงจากการเปิดเสรีการค้า โดยเฉพาะหากไทยถูกกดดันให้เปิดตลาดเนื้อสุกรจากสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลิตสุกรรายใหญ่ของโลก ซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่ำและราคาถูกกว่าเนื้อสุกรในประเทศ จะทำให้เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรง

ปัจจัยกดดันอุปสงค์

  • จำนวนประชากรไทยมีแนวโน้มลดลง โดยประชากรไทยได้ลดจำนวนลงตั้งแต่ปี 2563 มาอยู่ที่ 66.2 ล้านคน และลดต่อเนื่องมาในปี 2567 อยู่ที่ 65.95 ล้านคน กดดันการบริโภคเนื้อสุกร โดยคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า การบริโภคเนื้อสุกรของไทยอาจโตได้ต่ำที่ 0.6% ต่อปี
  • จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ปัจจุบันไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) และคาดว่าในปี 2572 ไทยจะเป็น Super-Aged Society ซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคเนื้อสุกรลดลง เนื่องจากผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่บริโภคเนื้อสุกรน้อย ทั้งปริมาณและความถี่ต่อสัปดาห์ โดยผู้สูงอายุบริโภคเนื้อสุกรเฉลี่ยลดลงเหลือ 38 กิโลกรัมต่อคนต่อปี เทียบกับคนวัยทำงานที่บริโภคเนื้อสุกรเฉลี่ยอยู่ที่ 49 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...