โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

JETRO เตือน มาตรการภาษีทรัมป์ เสี่ยงฉุด GDP โลก 763,000 ล้านดอลลาร์ เศรษฐกิจสหรัฐจะเสียหายหนักสุด

การเงินธนาคาร

อัพเดต 02 เม.ย. เวลา 11.30 น. • เผยแพร่ 02 เม.ย. เวลา 04.30 น.

JETRO เตือน มาตรการภาษีทรัมป์ เสี่ยงฉุด GDP โลก กว่า 763,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2570 เศรษฐกิจสหรัฐจะเสียหายหนักสุดอาจหดตัวถึง 2.7% จากต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้น

วันที่ 2 เมษายน 2568 เว็บไซต์ Cryptopolitan รายงานว่าสถาบันเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจในเครือองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) คาดการณ์ว่ามาตรการเก็บภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) ชุดใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย.68 อาจส่งผลให้ GDP โลกหดตัวมากกว่า 763,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570 หรือคิดเป็น 0.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมโลก ตามตัวเลขคาดการณ์ของ IMF ที่ประเมิน GDP โลกไว้ที่ 127 ล้านล้านดอลลาร์ในปีดังกล่าว

ในบรรดาผลกระทบทั่วโลก เศรษฐกิจสหรัฐจะเสียหายหนักสุด โดย JETRO คาดว่า GDP สหรัฐอาจหดตัวถึง 2.7% อันเนื่องมาจากต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้น ซึ่งกระทบทั้งบริษัทผู้ผลิตและผู้บริโภคโดยตรง โดยเฉพาะบริษัทที่พึ่งพาชิ้นส่วนจากจีน

ทำเนียบขาวมองว่า มาตรการนี้เป็นการปกป้องประเทศจากการเอารัดเอาเปรียบทางการค้า ซึ่งมีมาอย่างยาวนาน โดยทรัมป์ขนานนามวันพุธนี้ว่าเป็น“วันแห่งการปลดปล่อย (Liberation Day)” พร้อมระบุว่า “พวกเขาแย่งงาน แย่งทรัพย์สินของเราไปนานเกินไปแล้ว”

โดยมาตรการภาษีที่กำลังจะมีผลบังคับใช้วันที่ 2 เมษายน 2568 ได้แก่ จะเริ่มเก็บภาษีนำเข้า 25% สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์เพิ่มเติมจากภาษีเดิมที่ใช้กับสินค้าจีน แคนาดา และเม็กซิโก ก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีสินค้าจีนจาก 10% เป็น 20% และกำหนดอัตรา 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ขณะที่มีการยกเว้นภาษีบางส่วนในช่วงก่อนหน้า แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าผลกระทบจริงเริ่มใกล้เข้ามาเต็มที

Michael Creedon Jr. ซีอีโอของ Dollar Tree ร้านค้าราคาประหยัดในสหรัฐ ระบุว่า บริษัทสามารถรับมือกับผลกระทบของภาษี 10% รอบแรกจากจีนได้ถึง 90% ด้วยการปรับซัพพลายเชนและขึ้นราคาสินค้าบางรายการ แต่สำหรับภาษีใหม่ที่เพิ่มเป็น 20% และภาษีสินค้าจากแคนาดา-เม็กซิโก บริษัทอาจต้องแบกรับต้นทุน เพิ่มขึ้นถึง 20 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน

Peter Navarro ที่ปรึกษาของประธานาธิบดี กล่าวว่าภาษีชุดนี้สามารถสร้างรายได้มากถึง 6 ล้านล้านดอลลาร์ใน 10 ปี เพียงพอจะใช้แทนรายได้จากภาษีเงินได้ของประชาชน

ขณะที่ Karoline Leavitt โฆษกทำเนียบขาว ยืนยันแผนภาษีว่า"เป็นการย้อนคืนความเป็นธรรมให้สหรัฐฯ หลังจากถูกเอาเปรียบมาหลายทศวรรษ"

อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า ผู้ที่จ่ายภาษีจริงคือผู้นำเข้าสหรัฐ ซึ่งสุดท้ายจะส่งผลให้ราคาสินค้าทั่วไปตั้งแต่เสื้อผ้าจนถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีสูงขึ้น และผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องเป็นฝ่ายรับภาระในท้ายที่สุด

ขณะที่ EU เตรียมตอบโต้หากถูกกระทบจากภาษีของทรัมป์ โดยประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula von der Leyen ระบุว่า อียูพร้อมเจรจา แต่จะใช้ท่าทีแข็งกร้าวและเครื่องมือทุกชนิดหากจำเป็น โดยระบุว่า “ยุโรปมีแต้มต่อมากมาย ทั้งขนาดตลาด เทคโนโลยี และการค้าระหว่างประเทศ …แต่ความแข็งแกร่งนี้ก็อยู่บนพื้นฐานของความพร้อมจะตอบโต้หากถูกท้าทาย”

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนที่แล้ว อียูได้ขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐมูลค่าสูงสุด 28,000 ล้านดอลลาร์ รวมถึงสินค้าสำคัญอย่างเรือ, เหล้าบูร์บง และมอเตอร์ไซค์ เพื่อตอบโต้ภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียมของทรัมป์

แม้รัฐบาลทรัมป์จะอ้างว่าต่างชาติเป็นผู้แบกรับภาษี แต่นักวิเคราะห์เตือนว่า ผลกระทบส่วนใหญ่จะย้อนกลับมาที่สหรัฐเอง ไม่ว่าจะผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของบริษัทในประเทศ หรือราคาสินค้าที่ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้น มาตรการที่รัฐบาลอ้างว่าเป็น“การคืนความยุติธรรม” อาจกลายเป็นชนวนความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระดับโลกครั้งใหม่ที่มีต้นทุนมหาศาลต่อสหรัฐฯ เองในระยะยาว

อ้างอิง : mitrade.com

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องกับ สถานการณ์รอบโลก ทั้งหมด ได้ที่นี่

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0