โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

(อ่านฟรีทุกวัน) เกิดใหม่ครั้งนี้ ขอเป็นภรรยาเศรษฐีนีแม่ลูกสามในยุค 80

นิยาย Dek-D

อัพเดต 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Kawebook
(อ่านฟรีทุกวัน) เกิดใหม่ครั้งนี้ ขอเป็นภรรยาเศรษฐีนีแม่ลูกสามในยุค 80
ทันทีที่ย้อนเวลากลับมา เธอตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตา แก้ไขความสัมพันธ์แม่ลูก เอาคืนคนที่คิดร้าย เปลี่ยนความยากจนเป็นร่ำรวย แต่ถึงยังไงกับสามี…เธอยังต้องหย่าเหมือนเดิม!!

ข้อมูลเบื้องต้น

เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ : Guangzhou Alibaba Literature lnformation TechnologY Co., Ltd
ประพันธ์โดย : 清溪
ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทยถูกต้องโดย : Glory Forever Public Co.,LTD
บรรณาธิการ :วลีรัตน์ แทนคง
แปลภาษาไทยโดย : คณาพร พัดไธสง

“ซย่านี” เป็นหญิงวัยกลางคนที่ป่วยระยะสุดท้าย คนรอบข้างตั้งแง่รังเกียจ

บรรดาลูกๆ หมางเมิน ถูกกล่าวหาว่าคบชู้ สามีหย่าร้าง

แต่ในชั่วพริบตา เธอได้ย้อนเวลากลับมาในช่วงเวลาที่ยังสาว ครอบครัวยังสมบูรณ์ ลูกๆ ยังเล็ก

และเธอยังไม่โดนใส่ร้ายว่าคบชู้!!

ชีวิตใหม่นี้เธอจะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของคำครหา!

แม่สามีที่เหยียบย่ำทำร้าย เธอจะเอาคืนให้สาแก่ใจ

ลูกๆ ที่เคยหมางเมิน เธอจะดูแลสั่งสอนให้ดีที่สุด

ความยากจน เธอจะเปลี่ยนเป็นความร่ำรวยด้วยสองมือคู่นี้

เพื่อมุ่งสู่อนาคตอันสดใส เธอตั้งใจโบกมือลาสามีคนนี้

แต่ลูกตัวดีก็ดันติดพ่อกันเหลือเกิน

แล้วการหย่าร้างครั้งนี้…มันจะยังเป็นไปได้อยู่ไหมนะ?

Kawebook พร้อมเสริฟนิยายสนุก ๆ อีกมากมาย
จะสายมันส์ สายหวาน ก็มีอีกเพียบ!
อัพเดตเร็วดี ตอนฟรีมากกว่า

คืนฝันผวา

“เพี๊ยะ!”

“นังแพศยา! ทำอย่างกับไม่เคยปรนนิบัติฉันมาก่อน จะแสร้งทำตัวเป็นสาวบริสุทธิ์ไปทำไมฮะ!”

ซย่านีที่เพิ่งได้สติเพราะถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง ทำให้เธอรู้สึกมึนหัวขึ้นมาทันที นี่มันเรื่องอะไรกัน? อยู่ในโรงพยาบาลแท้ๆ ทำไมยังมีคนกล้าใช้ความรุนแรงกับผู้ป่วยระยะสุดท้ายอีก?

ทันใดนั้นเธอก็พบว่า มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังคร่อมอยู่บนร่างของเธอ ผู้ชายคนนั้นยังใช้ปากสกปรกของเขาพรมจูบไปทั่วใบหน้า และลำคอในขณะเดียวกันก็พยายามสอดมือเข้าไปข้างในเสื้อของเธอ!

ความรู้สึกสะอิดสะเอียนนี้พลันทำให้ซย่านีนึกย้อนกลับไปในฤดูหนาวเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว มันเป็นวันที่ชื่อเสียงของเธอถูกข่มเหงจนไม่เหลือชิ้นดี!

นับตั้งแต่วันนั้น วันที่เธอได้กลายเป็นภรรยาของนักศึกษาคนที่ใครๆ ต่างพากันอิจฉา อยู่ดีๆ ก็ต้องมีสภาพไม่ต่างจากรองเท้าขาดวิ่นที่ผู้คนประณามและหัวเราะเยาะ ครอบครัวสามีรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่ทำให้ครอบครัวของพวกเขาถูกหยามเกียรติ จึงบังคับให้เธอหย่าขาด ส่วนครอบครัวมารดาก็คิดว่าตัวเธอเป็นความอัปยศ จึงบีบบังคับให้เธอไปตาย แม้แต่ลูกของเธอเอง ยังถ่มน้ำลายใส่โดยไม่เห็นว่าเธอเป็นแม่ด้วยซ้ำ!

หากเป็นเพราะชะตากรรมที่โชคร้ายของเธอจริงๆ เธอก็คงยอมรับมันแต่โดยดี แต่นั่นเป็นเพราะเธอถูกคนชั่ววางแผนเล่นงานต่างหาก ถึงตายซย่านีก็ไม่อาจกล้ำกลืนโทสะนี้ลงไปได้!

“นังแพศยา ตอนแรกถ้าไม่ใช่เพราะฉัน เธอจะได้กลับมาเหยียบเมืองหลวงเร็วขนาดนี้ไหม?! ตอนนี้ไม่เห็นค่าฉันแล้วสินะ? คิดจะถีบหัวส่งฉันไปหาคนอื่น? ฉันบอกเธอไว้เลยนะ ไม่มีทาง!” ผู้ชายบนร่างขยับตัวไป พร้อมกับด่าทอหญิงสาวใต้ร่าง

“จางหวาเฟิง! มารดานายสิ ดูให้มันชัดๆ หน่อย ฉันไม่ใช่หลี่เสวี่ยหรู!” ซย่านีดึงมือสกปรกที่ปิดปากตนออก แล้วตะโกนสุดเสียง “ฉันไม่ใช่หลี่เสวี่ยหรู!”

จางหวาเฟิงตกตะลึงไปชั่วขณะ ซย่านีอาศัยโอกาสนี้ผลักชายคนนั้นออกจากร่าง ก่อนจะรีบปัดผมที่ชุ่มเหงื่อและน้ำตาที่ปรกหน้าออก พร้อมกับถูเครื่องสำอางบนหน้าออกแรงๆ “ใช้ตาถั่วๆ ของนายดูให้ชัดสิ ฉันใช่หลี่เสวี่ยหรูหรือไง!”

เมฆบนท้องฟ้าถูกสายลมพัดสลายไป แสงจันทร์ที่ส่องผ่านเมฆสะท้อนลงบนใบหน้าของซย่านี

“มารดามันเถอะ ผีหลอก!” จางหวาเฟิงสะดุ้งโหยง รีบลุกหนีออกห่างจากซย่านีทันที

ซย่านีกลอกตา เธอรู้ว่าตัวเองหน้าตาไม่ดี เธอเป็นเกษตรกรอยู่ในไร่ตลอดทั้งปี แถมยังกินอยู่อย่างอดๆ อยากๆ จนมีสภาพทั้งดำทั้งผอมกะหร่อง ใบหน้าซูบตอบ โหนกแก้มยื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนคนอดอยากมาแล้วแปดร้อยปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งริมฝีปากสีแดงนั่น ทำให้ดูน่าเกลียดเข้าไปใหญ่ พออยู่ท่ามกลางความมืดก็สามารถทำให้คนตกใจได้จริงๆ

“ถ้าฉันเป็นผีจริงๆ ล่ะก็ ป่านนี้คงควักลูกตานายออกมาแล้ว ถึงยังไงเก็บเอาไว้ก็คงไม่มีประโยชน์!” ซย่านียิ้มเยาะ

จางหวาเฟิงทำผิด แต่กลับปากแข็งไม่ยอมรับ แล้วโยนความผิดมาให้เธอแทน “เรื่องนี้จะโทษฉันเพียงคนเดียวก็ไม่ได้กระมัง! เธอเล่นใส่เสื้อผ้าของหลี่เสวี่ยหรูเอง แถมยังถักผมเปียเหมือนเสวี่ยหรูอีก กลางค่ำกลางคืนใครมันจะไปมองเห็นชัดกัน! เธอหน้าตาอย่างกับผี ฉันว่าคงไม่เคยมีใครแตะต้องเธอมาก่อนสิท่า! ไม่งั้นเธอจะใส่เสื้อผ้าของเสวี่ยหรูทำไมฮึ?”

ซย่านีเม้มปากแน่น “ใช่น่ะสิ ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงต้องใส่เสื้อผ้าของเธออยู่!”

ซย่านีจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้อย่างชัดเจน วันหนึ่งในช่วงวสันตวิษุวัต [1] ในปี 1980 หลี่เสวี่ยหรูหยิบตั๋วหนังออกมาสองใบ แล้วชวนเธอไปดูหนังด้วยกันในตอนกลางคืน ไม่เพียงเท่านั้นหลี่เสวี่ยหรูยังเอาเสื้อผ้ากับเครื่องสำอางของตัวเองมาด้วย แถมยืนกรานจะแต่งตัวให้เธออีก! “พี่ซย่านี พี่น่ะดูเชยมากเลย ฉันออกไปกับพี่สภาพนี้ไม่ได้หรอกนะ เห็นแบบนี้ฉันก็อายคนเป็นเหมือนกัน”

ประโยคนี้ทิ่มแทงใจซย่านีเข้าจังๆ บรรพบุรุษของเธอกว่าแปดชั่วคนล้วนแต่เป็นเกษตรกรกันทั้งหมด พวกเขาจึงไม่รู้หนังสือ ถึงเธอจะตามสามีนักศึกษาหนุ่มเข้าเมืองมา แต่ก็ไม่สามารถล้างกลิ่นดินกลิ่นทรายบนตัวออกได้ แม่สามีและน้องสามีมักกลอกตามองหน้าเธอ ส่วนเพื่อนบ้านรอบๆ ก็พากันหัวเราะที่เธอเป็นคนบ้านนอก

ซย่านีรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของหลี่เสวี่ยหรู จึงเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าของหล่อนทันที พร้อมกับให้อีกฝ่ายแต่งหน้าทำผมให้เหมือนหลี่เสวี่ยหรูด้วย

ซย่านีไม่คิดเลยว่าหลี่เสวี่ยหรูจะมีเจตนาร้ายแอบแฝง!

ตอนแรกหลี่เสวี่ยหรูจงใจยั่วยวนจางหวาเฟิงลูกชายของหัวหน้าแก๊งเพื่อกลับเข้าเมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าอันธพาลอย่างจางหวาเฟิงจะตามหาหลี่เสวี่ยหรูถึงที่ พอเธอรู้แผนการแก้แค้นของจางหวาเฟิงเข้า ก็เลยวางแผนซ้อนแผน หลังจากที่ภาพยนตร์รอบดึกจบลง หลี่เสวี่ยหรูบอกให้ซย่านีกลับไปก่อน จากนั้นซย่านีก็บังเอิญเจอกับจางหวาเฟิงที่ดักซุ่มอยู่ข้างทาง หลังจากเกิดเรื่องขึ้น หลี่เสวี่ยหรูก็แสร้งทำตัวเป็นคนดีมีคุณธรรมโดยการโทรไปแจ้งตำรวจ ทำให้เรื่องราวเลวร้ายไปกันใหญ่ ไม่เพียงแต่จะทำให้จางหวาเฟิงโดนโทษตัดสินประหารชีวิต แต่ยังทำลายชื่อเสียงของซย่านีได้อีกทางด้วย!

คิดไม่ถึงว่าสวรรค์จะเมตตาส่งให้เธอมาเกิดใหม่อีกครั้ง แถมย้อนกลับมาในวันนี้!

ซย่านีรวบเสื้อผ้าของตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน สายตาจ้องมองจางหวาเฟิงประหนึ่งกำลังมองคนตาย “หลี่เสวี่ยหรูอยู่ข้างหลัง นายรอแป๊บเดียว เดี๋ยวเธอก็มาแล้ว”

ซย่านีหันหลังแล้วเดินจากไป จู่ๆ จางหวาเฟิงก็ถามขึ้น “เดี๋ยวก่อน เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันชื่อจางหวาเฟิง?”

ซย่านีแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะเสวี่ยหรูบอกฉันน่ะสิ เธอบอกว่ามีอันธพาลจากบ้านนอกคอยตามรังควานเธออยู่ แถมเจ้าอันธพาลคนนั้นทั้งแก่ทั้งอุบาทว์ เสวี่ยหรูน่ะรังเกียจเขาแทบตาย คนคนนั้นที่ว่าคงเป็นนายสินะ?!”

ทันใดนั้น จางหวาเฟิงก็มีสีหน้าอึมครึมลงอย่างเห็นได้ชัด

ซย่านียังคงราดน้ำมันใส่กองไฟต่อไป “โอ้ ใช่แล้ว ฉันได้ยินมาว่า มีคนแนะนำหนุ่มให้เสวี่ยหรูด้วยนะ เห็นว่าเป็นพนักงานประจำของโรงงานเครื่องจักร แถมยังบอกว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาดีอีก” ซย่านีกวาดตามองจางหวาเฟิงตั้งแต่หัวจรดเท้า หล่อนแสดงท่าทางดูถูกเล็กน้อยพร้อมกับส่งเสียงจึ๊ปาก “พอเทียบกับนายแล้ว เขาเหมาะกับเสวี่ยหรูมากกว่าจริงๆ”

จางหวาเฟิงกำหมัดแน่น เส้นเลือดบนหน้าผากเริ่มเห็นชัดขึ้น

ซย่านีเห็นว่าเติมไฟได้ที่แล้วก็หันหลังเดินจากไป แต่เธอก็ไม่ได้ไปไหนไกลมากนัก ทว่ากลับหาที่ซ่อนตัวอยู่มุมๆ หนึ่ง เธอไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใด เพียงแค่อยากจะดูน้ำหน้าของหลี่เสวี่ยหรูในตอนที่ยัยนั่นต้องอับอายด้วยตาของตนเองก็เท่านั้น!

ความเกลียดชังลุกโชนอยู่ในดวงตาของเธอราวกับไฟนรก

เมื่อคาดเดาว่าเรื่องน่าจะเกิดขึ้นได้ประมาณหนึ่งแล้ว หลี่เสวี่ยหรูจึงเดินมายังสถานที่เกิดเหตุด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย ขั้นต่อไปเธอก็แค่ต้องโทรแจ้งตำรวจเท่านั้น อีกแค่แป๊บเดียวเธอก็จะกำจัดจางหวาเฟิงได้แล้ว ส่วนซย่านีนั้น เธอไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวอะไรด้วยหรอก แต่ใครใช้ให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นภรรยาของซ่งหานเจียงกันล่ะ เพราะงั้นอย่าโทษว่าเธอใจร้ายก็แล้วกัน

หลี่เสวี่ยหรูมัวแต่คิดถึงแผนการของตัวเองอยู่ในใจ จึงไม่ทันสังเกตเห็นมือที่ยื่นออกมาจากเงามืด…

จางหวาเฟิงที่กำลังดักซุ่มอยู่ที่โพรงหญ้าข้างถนนพลันกระโดดออกมา เขาเอามือปิดปากหลี่เสวี่ยหรูจากทางด้านหลัง หลี่เสวี่ยหรูไม่ทันได้ดิ้นรนก็ถูกจางหวาเฟิงลากตัวเข้าไปด้านในโพรงหญ้าแล้ว

จางหวาเฟิงใช้ผ้าอุดปากหลี่เสวี่ยหรูไว้ เพื่อไม่ให้เธอส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ จากนั้นก็ใช้ผ้าพันคอของหลี่เสวี่ยหรูมามัดข้อมือของเธอ แล้วฉีกเสื้อผ้าของเธอออก…

ซย่านีแอบดูภาพเหตุการณ์นี้อยู่ไกลๆ เสียงร้องดิ้นรนดังอู้อี้ของหลี่เสวี่ยหรูแว่วเข้าหูของเธอราวกับเสียงระบำอันงดงาม เสียงนั้นมันค่อยๆ เยียวยาบาดแผลในใจของเธอที่มีมานานนับสี่สิบปี

หลี่เสวี่ยหรูเอ๋ยหลี่เสวี่ยหรู ตอนนี้เธอคงกลัวมากสินะ อย่ากลัวไปเลย เพราะเรื่องที่เลวร้ายกว่านี้ยังมาไม่ถึงด้วยซ้ำ

ซย่านีจากไปโดยไม่รอให้พวกเขาเสร็จกิจ เธอต้องรีบทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาก่อน สิ่งที่หลี่เสวี่ยหรูเคยทำกับเธอก่อนหน้านี้ เธอจะค่อยๆ คืนให้นางทีละนิดๆ เอง!

เชิงอรรถ

[1] วันวสันตวิษุวัต 春分 คือ วันที่เวลากลางวันยาวเท่ากับกลางคืน ตรงกับวันที่ 20 หรือ 21 มีนาคมของทุกปี ประเทศทางซีกโลกเหนือนับเป็นวันเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ส่วนซีกโลกใต้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง

กลับบ้าน

ตระกูลซ่งเป็นคนจากเมืองหลวงเก่า บ้านของพวกเขาตั้งอยู่ลึกเข้าไปในซอยแคบๆ ซอยหนึ่ง ว่ากันว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่เรือนสี่ประสานแบบจีนโบราณ แต่เรือนหลักบวกกับเรือนตะวันออก และเรือนใต้รวมกันแล้วก็มีแค่สามหลังเท่านั้น ทว่าคนที่อยู่อาศัยกลับมีทั้งพ่อแม่สามี พี่ชายคนโต พี่สะใภ้และลูกของพวกเขาอีกสองคน ไหนจะน้องสามีอีก บวกกับครอบครัวเธออีกห้าชีวิต รวมทั้งหมดก็มีถึงสิบสองคน! ภายในตัวบ้านมีขนาดเล็กมาก แม้แต่ห้องปลดทุกข์ก็ยังไม่มี จึงทำได้เพียงเข้าไปใช้ห้องน้ำสาธารณะที่ด้านในสุดของซอยเท่านั้น

ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตู ซย่านีก็ได้ยินเสียงด่าทอด้วยความโกรธของหวังซิ่วอิงผู้เป็นแม่สามีของเธอ

“ยัยสะใภ้รองไปตายที่ไหนแล้ว? นี่มันก็ดึกดื่นค่อนคืนยังไม่กลับบ้านอีก! เสื้อผ้าในบ้านกองพะเนินเป็นภูเขา หล่อนไม่เห็นหรือไง!”

“แม่คะ พี่สะใภ้รองไปดูหนังกับพี่เสวี่ยหรูค่ะ” ซ่งเหม่ยอวิ๋นเอ่ยฟ้องอย่างยินดีในความซวยของซย่านี

“อะไรนะ? ดูหนังงั้นหรือ?” หวังซิ่วอิงแค่ได้ยินก็ระเบิดโทสะทันที “นี่หล่อนยังมีหน้าไปดูหนังอีกงั้นหรือ? เงินไม่หาสักแดง รู้จักแต่ใช้เงิน! นังตัวแสบนี่นะวันๆ ทำแต่เรื่องเสียเงินทั้งนั้น! ตอนแรกฉันไม่น่ายอมให้ตารองพาสะใภ้แบบนี้เข้าบ้านมาเลย!”

ซ่งเหม่ยอวิ๋นเบ้ปาก “พี่สะใภ้รองมาจากบ้านนอก คงอยากจะเห็นสักครั้งล่ะมั้งคะว่าโรงหนังหน้าตาเป็นอย่างไร! แม่คงไม่รู้ล่ะสิท่า พี่เสวี่ยหรูน่ะ ยังแต่งหน้าให้หล่อนด้วยนะ แถมให้ยืมเสื้อผ้าใส่อีก! จนออกมาเหมือนพี่เสวี่ยหรูเป๊ะเลยล่ะค่ะ! พี่เสวี่ยหรูหน้าตาสวยปานนางฟ้า พี่สะใภ้รองของฉัน โถ่ สวรรค์เอ๋ย ตอนนี้ฉันเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ตงซีเลียนขมวดคิ้ว’ [1] แล้วล่ะ ถึงจะใส่เสื้อผ้าดูดีขนาดไหน ก็ปิดกลิ่นดินกลิ่นโคลนในตัวหล่อนไม่มิดเลยจริงๆ”

“หล่อนแต่งหน้าแต่งตัวด้วยงั้นหรือ? นี่หล่อนคิดจะทำอะไรกันแน่ฮะ?” หวังซิ่วอิงขมวดคิ้วมุ่น ยัยสะใภ้บ้านนอกคนนี้กระสันขนาดนี้เชียวหรือ?

“แม่คะ บอกพี่รองให้รีบทิ้งหล่อนเสียเถอะ พี่รองของหนูหน้าตาดีขนาดนั้น แถมยังเป็นนักศึกษามหาลัยดังอีก อนาคตก็สดใส แต่ซย่านีทั้งขี้เหร่ทั้งไม่รู้หนังสือ หล่อนไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้พี่รองด้วยซ้ำ!” พูดถึงตรงนี้ซ่งเหม่ยอวิ๋นก็หงุดหงิดขึ้นมา “ถ้าให้หนูพูดล่ะก็นะ มีแต่พี่เสวี่ยหรูคนสวยเท่านั้นแหละที่คู่ควรกับพี่รอง!”

“แกคิดว่าฉันไม่ได้พูดหรือไง! ฉันพูดจนปากเปียกปากแฉะไปตั้งเท่าไหร่แล้ว! พี่รองของแกก็เอาแต่หูทวนลม พูดไปก็ไม่ได้เรื่อง!” พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หวังซิ่วอิงโกรธจนเจ็บหัวใจ

ซย่านีทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป เธอจึงผลักประตูใหญ่ให้เปิดออก ด่าเธอไปเธอไม่ว่า แต่เธอไม่อาจทนฟังคนอื่นมาด่าซ่งหานเจียงแบบนี้ได้ ในชาติก่อน หลังเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คนอื่นๆ พยายามหว่านล้อมให้ซ่งหานเจียงหย่ากับเธอ แต่ซ่งหานเจียงกลับไม่ยินยอม เขาบอกว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของเธอ เขาไม่โทษเธอ ต่อให้คนอื่นจะแอบหัวเราะลับหลังว่าเขาโดนภรรยาสวมหมวกเขียว [2] เขาก็ไม่เคยโกรธเลยสักครั้ง แถมยังปลอบเธออีกว่า แค่ใช้ชีวิตตนเองให้ดีก็พอแล้ว อย่าเก็บคำพูดคนอื่นมาใส่ใจเลย

“แม่คะ” ซย่านีมองไปทางแม่สามีของตน

“หล่อนก็ยังรู้จักทางกลับบ้านเหมือนกันนี่!” หวังซิ่วอิงหันหน้าไปทางต้นเสียง สายตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าของซย่านี ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับโวยวายชี้หน้า “ดูสิดู ว่าหล่อนกำลังแต่งตัวอะไรของหล่อนฮึ! แต่งตัวยั่วยวนอะไรอย่างนี้! ซย่านีฉันจะบอกอะไรให้หล่อนฟัง ถ้าหล่อนกล้าทำผิดต่อลูกชายฉันตอนอยู่นอกบ้านล่ะก็ ฉันจะตีหล่อนให้ขาหักเลยคอยดู!”

ขณะนั้นซย่านีกลับมองไปทางซ่งเหม่ยอวิ๋นที่กำลังเฝ้าดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ หวังซิ่วอิง “ฉันว่า เหม่ยอวิ๋นเองก็แต่งตัวแบบฉันเหมือนกันนะคะ”

หวังซิ่วอิงสำลักไปหนึ่งที เธอเหลือบตามองลูกสาวของตนเอง พบว่าซ่งเหม่ยอวิ๋นแต่งหน้าจัดซะยิ่งกว่าซย่านีอีก เธอสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยขึ้น “ลูกฉันยังเป็นสาวน้อยที่ไม่มีคู่ครอง หล่อนกับเหม่ยอวิ๋นน่ะ เหมือนกันเสียที่ไหน! ตัวหล่อนมันลูกสามแล้วนะยะ!” กล่าวจบก็ชี้มือไปทางห้องครัว “ถ้วยชามที่บ้านยังไม่ได้ล้าง เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้ซัก รีบไปทำเดี๋ยวนี้เลย!”

นับตั้งแต่ที่ซย่านีมาเหยียบที่บ้านหลังนี้ เธอก็เป็นคนรับผิดชอบงานบ้านทั้งหมด ผลสุดท้ายกลับไม่เคยได้รับคำชมสักคำ

ย้อนเวลากลับมาเกิดใหม่ครั้งนี้ เธอไม่มีทางโง่แบบเดิมแน่ๆ

ซย่านีถกแขนเสื้อของตนขึ้น เผยให้เห็นข้อมือบวมแดง “ฉันข้อมือแพลง แค่ขยับนิดเดียวก็เจ็บมากแล้วค่ะ”

ข้อมือของเธอแพลงระหว่างที่ต่อสู้ขัดขืนจางหวาเฟิง ยามนี้ข้อมือของเธอทั้งบวมทั้งแดง หวังซิ่วอิงถลึงตามอง “เกิดอะไรขึ้นกันฮะ?” หวังซิ่วอิงเพิ่งสังเกตเห็นว่าซย่านีไม่เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือเท่านั้น แต่หล่อนยังผมเผ้ากระเซอะกระเซิง แถมเสื้อผ้ากับกระดุมก็หลุดลุ่ยอีกด้วย เห็นชัดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับหล่อนแน่

ซย่านีแสดงท่าทีลังเลที่จะพูด

ซ่งเหม่ยอวิ๋นกลอกตาเล็กน้อย ก่อนดวงตาจะเป็นประกายขึ้นทันควัน เธอมองซย่านีด้วยเจตนาไม่ค่อยจะดีนัก “พี่สะใภ้รอง พี่คงไม่ได้บังเอิญไปเจอกับพวกอันธพาลมาหรอกนะ? ดึกดื่นขนาดนี้ บนถนนหนทางที่คนน้อยแบบนี้…”

หวังซิ่วอิงบันดาลโทสะทันที พอลองมองสภาพของซย่านีในตอนนี้ซ้ำอีกครั้ง คงไม่ใช่ว่าหล่อนถูกคนล่วงเกินมาหรอกกระมัง เธอปรี่เข้าไปยกฝ่ามือหมายจะตบหน้าซย่านีหนึ่งฉาด “ไร้ยางอาย! หล่อนทำให้บ้านตระกูลซ่งต้องขายหน้ากันหมดแล้ว!”

ซย่านีเบี่ยงตัวหลบไปด้านหลัง แล้วรีบเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “ฉันบังเอิญพบกับพวกอันธพาลจริงๆ แต่เขาไม่ได้ทำอะไรฉันเลยค่ะ เจ้าอันธพาลนั่นกำลังตามหาตัวหลี่เสวี่ยหรูอยู่ เขาเห็นว่าฉันไม่ใช่เสวี่ยหรูก็เลยปล่อยตัวฉันมา”

“อะไรนะ? พี่เสวี่ยหรูงั้นหรือ?” ซ่งเหม่ยอวิ๋นและหลี่เสวี่ยหรูนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พอได้ยินคำพูดของซย่านีเธอก็เกิดร้อนใจขึ้นมา เธอถลาตัวเข้ามาดึงคอเสื้อของซย่านีทันที “แล้วพี่ก็วิ่งหนีกลับมาแบบนี้เนี่ยนะ? ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้พวกอันธพาลนั่นกำลังตามหาตัวพี่เสวี่ยหรูอยู่!”

ซย่านีปัดมือของซ่งเหม่ยอวิ๋นออกแล้วตะโกนตอกกลับด้วยสีหน้ารังเกียจ “แล้วทำไมฉันจะต้องไม่หนีมาด้วยล่ะ เจ้าอันธพาลนั่นยอมปล่อยตัวฉันมาเอง ฉันก็ต้องรีบหนีสิ! ถ้าไม่หนีจะให้ฉันอยู่สู้กับมันหรือไง? ฉันคงสู้ชนะมันได้หรอก!”

“แล้วพี่เสวี่ยหรูล่ะ!”

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง!” ซย่านีดวงตาเปล่งประกาย ยิ่งซ่งเหม่ยอวิ๋นร้อนใจเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ยัยน้องสามีคนนี้เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาอยากให้หลี่เสวี่ยหรูมาเป็นพี่สะใภ้ของตัวเองมาตลอด ไม่รู้ว่าตอนที่เห็นหลี่เสวี่ยหรูถูกกระทำย่ำยีด้วยสายตาตัวเองแล้ว ยัยเด็กนี่จะยังคิดแบบเดิมอยู่หรือเปล่านะ

“พอดูหนังจบเสวี่ยหรูก็แยกกับฉันแล้ว เธอบอกว่ามีธุระกับเพื่อนร่วมรุ่น ฉันก็เลยกลับบ้านมาก่อน…บางทีตอนที่เสวี่ยหรูกำลังกลับบ้าน ไอ้อันธพาลคนนั้นอาจจะกลับไปแล้วก็ได้”

ซ่งเหม่ยอวิ๋นไม่วางใจ “ไม่ได้ ฉันต้องตามคนไปช่วย! แม่คะ!!”

หวังซิ่วอิงรีบเอ่ยขึ้น “รีบไปเรียกพี่ใหญ่ของลูกให้ไปช่วยหา จากนั้นค่อยไปที่บ้านเสวี่ยหรูเรียกให้คนที่บ้านเธอไปด้วย ลูกอย่าไปคนเดียว มันอันตรายเกินไป!”

เพียงไม่นาน ซ่งซุนซานก็คลานออกมาจากใต้ผ้าห่ม แล้วรีบออกไปข้างนอกพร้อมกับน้องสาว ส่วนหวังซิ่วอิงก็ไปเคาะประตูบ้านของหลี่เสวี่ยหรู คนอื่นๆ ในตรอกพอได้ยินเสียงดังก็พากันยื่นหน้าออกมาดู จากนั้นก็รวมกลุ่มกันได้สิบกว่าคน

พอคิดถึงสภาพของหลี่เสวี่ยหรูก่อนหน้านั้นที่กำลังจะถูกเปิดเผยต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ ซย่านีก็แสยะยิ้มมุมปากอย่างอดใจไม่ไหว

หลี่เสวี่ยหรูเอ๋ยหลี่เสวี่ยหรู อนาคตยังอีกยาวไกล เธอต้องอดทนไว้ล่ะ ฉันยังรอดูจุดจบของเธออยู่นะ

ชั่วเวลานั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงร้องไห้ของเด็กคนหนึ่งดังออกมาจากห้องทางปีกตะวันตก ซย่านีไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก พลันหันหลังแล้วแหวกม่านประตูเดินเข้าไปด้านในห้อง

ห้องนี้ตกแต่งเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง ตรงประตูมีที่เก็บของ ซึ่งด้านบนมีกระติกน้ำร้อนวางอยู่ มีแท่นนอนวางติดกับผนังทางด้านทิศใต้ ครอบครัวของพวกเขาทั้งห้าคนต่างก็นอนบนเตียงนี้ ข้างเตียงมีหนังสือพิมพ์ม้วนหนึ่ง ด้านบนหนังสือพิมพ์เขียนพาดหัวข่าวใหญ่ๆ เช่น ‘จงสนับสนุนเครื่องจักรกลด้านการเกษตร’ ‘สืบสานวัฒนธรรมขบวนการ 4 พฤษภาคม’ เป็นต้น ถัดมาข้างเตียงมีโต๊ะที่เริ่มแตกลอก แม้แต่เก้าอี้สักตัวก็ยังไม่มี เวลาปกติเด็กๆ มักนั่งบนแท่นนอนแล้วนั่งทำการบ้านกันบนนั้น

เด็กที่ร้องไห้อยู่ก็คือซ่งซิงเหอ ลูกชายคนเล็กผู้มีอายุยังไม่ถึงหกเดือนดีของซย่านี อีกด้านหนึ่งเป็นซ่งตงซวี่ลูกชายคนโตวัยหกขวบที่กำลังเปิดผ้าห่มออก แล้วยกเท้าเล็กๆ ของซ่งซิงเหอขึ้น เพื่อดูผ้าอ้อมใต้ก้นของเด็กน้อย ครั้นเห็นซย่านีเดินเข้ามา เขาก็เอ่ยขึ้น “แม่ ซิงซิงชิ้งฉ่องแล้ว”

เชิงอรรถ

[1] ตงซือเลียนแบบขมวดคิ้ว 东施效颦 คือ คนเขลาเบาปัญญาที่หลับหูหลับตาเลียนแบบผู้อื่น

[2] สวมหมวกเขียว 戴绿帽子 คือ สำนวนแปลว่า ทำความอัปยศให้แก่สามีด้วยการมีชู้ โดยสามีไม่รู้ระแคะระคาย

นมผง

ซย่านีรีบหยิบผ้าอ้อมข้างเตียงมาเปลี่ยนให้ลูกชายคนเล็กของเธอ

ขณะเดียวกัน ซ่งวั่งซูลูกสาวคนโตที่กำลังนั่งทำการบ้านอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยสอนซ่งตงซวี่ขึ้นมา “พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้พูดจีนกลาง! ภาษาถิ่นที่นายพูดเมื่อกี้มันดูบ้านนอกไหมล่ะนั่น!”

ซ่งตงซวี่ไม่พอใจ “ฉันพูดภาษาถิ่นอยู่บ้านแล้วมันเป็นอะไร? ฉันไม่ได้ไปพูดที่โรงเรียนสักหน่อย ตอนอยู่ที่โรงเรียนฉันก็พูดจีนกลางตลอด”

ซ่งวั่งซูส่งเสียงจึ๊ แล้วทำสีหน้าไม่ชอบใจ “ที่นายพูดนั่นเรียกจีนกลางงั้นหรือ? ออกเสียงก็ไม่ได้มาตรฐาน วันนี้ตอนเลิกเรียน ฉันได้ยินพวกเพื่อนร่วมชั้นของนายพากันล้อสำเนียงของนายอยู่เลย พวกเขาหัวเราะนายทั้งนั้น นายก็ช่างไม่อายคนเลยเนอะ”

ซ่งวั่งซูพูดภาษาจีนกลางได้ดีโดยไม่ติดสำเนียงบ้านเกิด แสดงให้เห็นว่าเธอพยายามฝึกฝนมันอย่างหนัก

ซ่งตงซวี่กำหมัดแน่น สีหน้าเอาเรื่อง “ใครมันกล้าหัวเราะเยาะฉัน?”

ซย่านีตบหลังศีรษะของซ่งตงซวี่ไปหนึ่งฝ่ามือ “ทำไมฮึ ลูกจะไปตีเขาคืนหรือไง?” จากนั้นเธอก็หันไปว่าซ่งวั่งซู “ส่วนลูกก็อย่าสร้างปัญหา ใครหัวเราะหยางหยางกัน? การพูดของหยางหยางเป็นเรื่องตลกงั้นหรือ? ไม่แน่นะ เพื่อนร่วมชั้นของเขาอาจจะเห็นว่าภาษาพูดของหยางหยางฟังดูแปลกใหม่ก็ได้นี่? อีกอย่างนะ การพูดภาษาถิ่นมันผิดตรงไหน? ลูกรู้สึกว่าการพูดภาษาถิ่นเป็นเรื่องน่าอายงั้นหรือ? แม่ที่เป็นแม่ของลูกก็เป็นคนบ้านนอก ทำไม ลูกรู้สึกว่ามีแม่แบบนี้ขายหน้าคนอื่นงั้นหรือ?”

ซ่งวั่งซูกะพริบตาปริบๆ เธอรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ว่าการที่ซย่านีพูดภาษาถิ่นแบบนี้ ช่างเป็นเรื่องน่าอับอายยิ่งนัก แต่เธอไม่อาจพูดเช่นนั้นได้ เพราะว่าซย่านีเป็นแม่ของเธอ อันที่จริงในใจของเธอก็นึกดูแคลนซย่านีอยู่กลายๆ ไม่ต่างจากคนอื่น เธอเกลียดที่ซย่านีไม่มีการศึกษา หน้าตาไม่ดี แต่งตัวก็เชย เพราะแบบนี้เธอเลยไม่เคยพูดถึงแม่ที่โรงเรียนเลยสักครั้ง แม้แต่การประชุมผู้ปกครองก็ยังให้พ่อไปแทน

ซ่งวั่งซูเม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไรอีก เด็กน้อยกลับไปนั่งทำการบ้านที่โต๊ะต่อ

ความคิดเล็กๆ ในใจของผู้เป็นลูกสาวได้ฉายชัดอยู่บนใบหน้าแล้ว ซย่านีถึงจะโกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ในอดีตซย่านีต้องทำงานหนักตลอดทั้งปีเพื่อหาเลี้ยงชีพ เธอจึงละเลยการสั่งสอนลูกๆ ดังนั้นในบรรดาลูกทั้งสามคนของซย่านีนั้น ลูกคนโตรังเกียจความจนรักความรวย ลูกคนรองอารมณ์ฉุนเฉียว ส่วนลูกคนเล็กก็มีใจคิดคด ภายภาคหน้าหากครอบครัวมีความสุข และพวกเขาได้รับการดูแลจากพ่อแม่ตลอดล่ะก็ เธอคิดว่าคงจะสามารถเปลี่ยนนิสัยของลูกๆ ให้ดีขึ้นได้ แต่ในชาติที่แล้วนั้นพวกเขาได้รับอิทธิพลจากแม่สามีและเหล่าเพื่อนบ้าน ทำให้ลูกทั้งสามของซย่านีนิสัยแย่ลงเรื่อยๆ ภายหลังลูกสาวคนโตแต่งงานกับเศรษฐีคนหนึ่ง และสุดท้ายตกเป็นเมียน้อย ลูกชายคนรองฆ่าคนตายขณะมีเรื่องต่อยตีกันจนตัวเขาเองต้องติดคุก และลูกชายคนสุดท้องเดินตามรอยพ่อกลายเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง ทว่าผลสุดท้ายกลับกลายเป็นเนื้อร้ายของแวดวงวิชาการ เพราะทำการทุจริตทางวิชาการ

ซย่านีแอบสาบานในใจ ชีวิตนี้เธอจะต้องเลี้ยงดูลูกสามคนนี้ให้ดีจงได้ และจะทำให้พวกเขากลายเป็นคนดีที่ซื่อสัตย์เที่ยงตรง

แต่เรื่องนี้ไม่อาจรีบร้อน เธอทำได้เพียงค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น

หลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกคนเล็กจนสะอาดดีแล้ว เด็กน้อยก็ยังคนร้องไห้งอแงอยู่ ไม่ว่ายังไงซย่านีก็กล่อมเด็กน้อยไม่สำเร็จ เธอรู้ว่าตอนนี้ซิงซิงกำลังหิวเข้าแล้ว

แต่ซย่านีไม่มีน้ำนม

หลังจากที่เธอเพิ่งจะแต่งงานได้สองปี ก็ให้กำเนิดลูกติดกันถึงสองคน ร่างกายของซย่านีต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างหนัก เธอต้องใช้เวลาถึงห้าปี กว่าจะตั้งครรภ์ลูกคนที่สามได้ ทว่าอาจเป็นเพราะร่างกายของเธอยังไม่ฟื้นตัวดีเท่าที่ควร หรือเป็นเพราะยามอยู่บ้านสามีนั้น เธอต้องทุกข์ทรมานจากความหิวโหยมาเป็นเวลานาน ส่งผลให้เธอไม่มีน้ำนมหลังจากคลอดลูกคนที่สาม

ซย่านีไม่มีทะเบียนบ้านในท้องถิ่น หลังจากคลอดลูกแล้วจึงไม่ได้รับตั๋วนมผง ทำให้ซ่งหานเจียงผู้เป็นพ่อของเด็กๆ ต้องอาศัยเส้นสายมากมายเพื่อรวบรวมตั๋วนมผงจากมือของผู้อื่นในราคาที่สูงลิ่ว และยังต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อนมผงอีก

ซย่านีเดินเข้าไปหานมผงในตู้เก็บของแต่ไม่พบ จึงเอ่ยถามขึ้น “เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ นมผงของน้องล่ะ?”

ซ่งวั่งซูเงยหน้าขึ้นตอบ “ย่าเอาไปแล้ว”

ซย่านีชะงักกึก อารมณ์เดือดพล่านขึ้นทันควัน ใช่แล้ว เธอนึกขึ้นมาได้ เป็นแม่สามีของเธอที่เอามันไปเมื่อสองวันก่อน

ตอนที่แม่สามีเอานมผงไปยังพูดอีกว่า “ซิงซิงอายุหกเดือนแล้ว ป้อนข้าวต้มกับหมั่นโถวแทนมันก็เลี้ยงให้โตได้เหมือนกันนั่นแหละ นมผงนี่แพงจะตาย เขากินไปก็เสียของเปล่าๆ”

ฮึ นี่มันน่าขันเกินไปแล้ว ถ้าเด็กอ่อนวัยหกเดือนกินนมผงแล้วเรียกเสียของเปล่า เช่นนั้นแล้วให้ลูกวัยสามขวบของพี่สะใภ้ใหญ่ หรือแม้แต่น้องสามีที่อายุยี่สิบนั่นกินนมผงแบบนั้น มันเรียกว่าอะไรกัน?!

ซย่านีก้าวลงจากเตียงด้วยสีหน้าเย็นชา พลางกล่าวกับบุตรสาวและบุตรชายว่า “ดูน้องไว้ เดี๋ยวแม่มา”

จากนั้นเธอก็เดินออกจากประตูห้อง ตรงไปยังห้องที่พ่อแม่สามีอาศัยอยู่

วันนี้พ่อสามีไม่อยู่เพราะต้องไปเข้างานกะดึก ส่วนแม่สามีก็เพิ่งออกไปข้างนอกกับน้องสามี ดังนั้นในบ้านจึงไม่มีคน

ในห้องของพ่อแม่สามีนั้น มีข้าวของเครื่องใช้เยอะกว่าห้องของซย่านีมาก ทั้งจักรเย็บผ้า ตู้ลิ้นชัก ตู้ข้างเตียง เก้าอี้มีพนักพิง… ในห้องนับว่ามีเครื่องใช้ครบครันมาก ซย่านีเคยมาที่ห้องนี้แทบจะนับครั้งได้ แต่เธอรู้ว่าแม่สามีมักชอบซ่อนของมีค่าไว้ในลิ้นชักที่ใส่แม่กุญแจ

ซย่านีนั่งยองๆ ดึงไขควงอันหนึ่งออกมาจากใต้ลิ้นชัก จากนั้นสอดไขควงเข้าไปในแม่กุญแจ พอเจอตัวล็อคก็ออกแรงดัน จนแม่กุญแจส่งเสียงดัง ‘กึก’ ก่อนจะคลายออก

ครั้นเธอเปิดลิ้นชักออกก็เจอนมผงอยู่ด้านในนั้น! นมผงทั้งถุงที่เดิมทียังไม่ได้เปิดผนึกด้วยซ้ำ เวลานี้กลับเหลือเพียงครึ่งถุงเท่านั้นเอง

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีคนกินนมผงนี่ไปแล้ว

ซย่านีปวดใจเป็นอย่างยิ่ง สีหน้ายิ่งทวีความอึมครึมมากขึ้นกว่าเดิม

ไม่ได้การแล้ว เธอจะต้องหาเงินให้ได้เร็วๆ จากนั้นก็ซื้อบ้านสักหลัง แล้วรีบไปจากตระกูลซ่งที่เป็นดั่งถ้ำหมาป่าคอยจ้องแต่จะกินคนหลังนี้ซะ

ซย่านีได้วางแผนไว้แล้ว ปีนี้คือปี 1980 สายลมแห่งการปฏิรูปเพิ่งจะพัดโชยมายังดินแดนแห่งนี้ ขอเพียงกล้าคิดกล้าทำ ธุรกิจขนาดเล็กก็สามารถทำเงินได้ก้อนโต ถึงเวลานั้นพอเธอหาเงินได้สักก้อนเธอก็สามารถซื้อร้านค้าเพื่อขยายกิจการได้ จากนั้นก็ซื้อบ้านสักสิบหลังแล้วมานั่งรื้อเล่นๆ ให้ลูกๆ ของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่บนกองเงินกองทอง แบบให้นั่งนับเงินจนมือเป็นตะคริวกันไปเลย

หลังจากที่ซย่านีกลับถึงห้อง เธอก็รีบหยิบขวดนมขึ้นมาเตรียมชงนมผงให้ลูกน้อยของตน

ซ่งวั่งซูเห็นนมผงในมือของซย่านีก็อ้าปากค้างเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววเหลือเชื่อ

ซย่านีกำลังทดสอบอุณหภูมิของน้ำนมผงด้วยหลังมือ พลางมองไปทางลูกของตน เธอยิ้มอย่างปลอบโยน

จากนั้นซย่านีก็ยัดจุกนมเข้าปากของซิงซิง ในที่สุดทารกน้อยก็หยุดร้องไห้งอแง แล้วเริ่มดูดนมอึกใหญ่

“แม่ แล้วย่า…”

“ย่าลูกทำไมฮึ?”

ซ่งวั่งซูนึกถึงท่าทางยามมีโทสะของหวังซิ่วอิงขึ้นมา จนเธอก้มหน้าลงด้วยความกลัว “ย่าจะโกรธเอาได้”

“ย่าเขาจะโกรธอะไรได้ เดิมทีนี่ก็เป็นนมผงที่พ่อลูกซื้อให้น้องอยู่แล้ว” ซย่านีโบกมือด้วยท่าทางมีเหตุผล “ลูกรีบไปทำการบ้านเถอะ อย่าคิดเรื่องอื่นให้มากความเลย”

ลูกชายคนเล็กของซย่านีพอกินอิ่มก็ง่วงนอน เธอลูบแก้มเล็กๆ ของทารกน้อย พอเห็นว่าลูกสาวคนโตกับลูกชายคนรองเองก็ขาดสารอาหารเช่นกัน เธอก็ได้แต่คิดอย่างปวดใจ อย่างไรตนก็จะต้องคิดหาวิธีหาเงินให้ได้โดยเร็ว

แต่ว่าเธอควรเริ่มต้นจากตรงไหนดี?

เธอมีเงินอยู่ในมือไม่มากนัก แม้ว่าซ่งหานเจียงจะได้รับเงินอุดหนุนจากมหาวิทยาลัย แต่เขาก็มอบเงินพวกนี้ให้พ่อแม่ของเขา ซย่านีมีเงินในมืออยู่สามสิบสองเหมา [1] ซึ่งเป็นเงินที่เธอเก็บสะสมจากการใช้จ่ายอย่างประหยัดของเธอเองตั้งแต่ครั้งที่เธอยังอยู่ชนบท

“แม่”

“แม่ๆ”

ซย่านีได้สติกลับมา ซ่งตงซวี่ลูกชายคนรองกำลังทำท่าทางลังเลไม่กล้าพูด เธอจึงเอ่ยถามขึ้น “มีอะไรหรือ?”

ซ่งตงซวี่ส่ายหน้าอย่างรู้สึกผิด พลางเอ่ยเสียงเบา “ครูที่โรงเรียนของพวกเราให้แม่หรือพ่อก็ได้ ไปที่โรงเรียนพรุ่งนี้”

เชิงอรรถ

[1] เหมา 五毛 คือ หน่วยเงินของจีน 10เหมา เท่ากับ 1 หยวน

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0