โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องรีบร้อน 10 บทเรียนจากหนังสือ Late Bloomer #สรุปหนังสือ Late Bloomer

Mission To The Moon

อัพเดต 28 พ.ค. 2567 เวลา 03.44 น. • เผยแพร่ 28 พ.ค. 2567 เวลา 11.00 น. • Mission To The Moon Media

ในปัจจุบันนี้ สังคม สื่อโซเชียลมีเดีย และหนังสือ Best Sellers มากมายต่างก็พยายามเชิดชูการประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นเหตุให้ใครหลายคนนั้นรู้สึกถึงความกดดันจากสังคมรอบข้าง รวมถึงพยายามเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอายุเท่ากันที่ประสบความสำเร็จมากกว่าอยู่เสมอ

แต่หนังสือ ‘Late Bloomers: สำเร็จได้ ไม่เห็นต้องรีบ' โดย Rich Karlgaard ได้ชวนเรากลับมาหารูปแบบการใช้ชีวิตของตัวเอง เพราะเราไม่รู้หรอกว่าปลายทางของชีวิตจะเป็นยังไง แต่เราสามารถพัฒนาตัวเองไปตามเป้าหมายของชีวิตได้ เพียงแต่ต้องอดทนรอได้ และอยู่กับตัวเองอย่างไม่ทุกข์ทรมาน ไปสำรวจความสำเร็จในจังหวะของตัวเองพร้อมๆ กันผ่าน 10 บทเรียนนี้
.
.
1. อย่ากดดันตัวเองที่จะต้องประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย

ในโลกปัจจุบันที่ให้มักเชิดชูแนวคิด "อายุน้อยร้อยล้าน" หรือคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้หลายคนรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวหากยังไม่สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นได้ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว แต่จริงๆแล้วผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เองอย่าง Rich Karlgaard เองก็เป็นตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จในภายหลัง เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดด้วยเกรดเฉลี่ยธรรมดา และใช้เวลาช่วงอายุ 20 ต้นๆ ไปกับการทำงานหลากหลายอย่าง กว่าจะมาเป็นผู้ก่อตั้งนิตยสารไฮเทคและผู้จัดพิมพ์นิตยสาร Forbes ในที่สุด
.
2. สมองของวัยรุ่นจะพัฒนาเต็มที่เมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป

จากการศึกษาวิจัยของสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ ที่ติดตามศึกษาพัฒนาการทางสมองของเด็กและวัยรุ่นกว่า 5,000 คนในระยะยาว พบว่าสมองของพวกเขาจะพัฒนาอย่างเต็มที่เมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะสมองส่วน Prefrontal Cortex ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผน จัดระเบียบ และแก้ปัญหา ดังนั้นการคาดหวังให้วัยรุ่นต้องเก่งกาจตั้งแต่อายุยังน้อยจึงไม่สอดคล้องกับพัฒนาการตามธรรมชาติของสมองนั่นเอง
.
3. ช่วงอายุ 18-30 ปีเป็นช่วงสำคัญในการค้นหาตัวเอง

Jeffrey Arnett นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยคลาร์ก เสนอแนวคิดว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจทำให้เกิดช่วงวัยใหม่ที่เขาเรียกว่า "ผู้ใหญ่ตอนต้น" (Emerging Adulthood) ซึ่งอยู่ระหว่างวัยรุ่นกับผู้ใหญ่ คือในช่วงอายุ 18-30 ปี เขาเชื่อว่าการขยายช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ออกไปมีประโยชน์หลายด้าน ทั้งในเรื่องการรักษาความยืดหยุ่นของสมอง การส่งเสริมการคิดอิสระและการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ไปจนถึงการเพิ่มแรงจูงใจและแรงขับเคลื่อน เช่น การที่ศาสนามอร์มอนส่งเสริมให้วัยรุ่นไปทำพันธกิจเป็นเวลา 2 ปีระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งจะทำให้พวกเขาสำเร็จการศึกษาเมื่ออายุ 24 ปี ซึ่งเมื่อเทียบกับคนอายุ 22 ปีแล้ว พวกเขาจะมีวุฒิภาวะและความพร้อมในการทำงานและใช้ชีวิตมากกว่า
.
4. ความสามารถบางอย่างจะดีขึ้นตามวัย

จากการทดสอบความสามารถทางการรู้คิดผ่านแบบทดสอบออนไลน์กับกลุ่มตัวอย่างเกือบ 50,000 คน Laura Germine และ Joshua Hartshorne สองนักวิทยาศาสตร์พบข้อค้นพบที่น่าทึ่ง นั่นคือความสามารถด้านต่างๆ จะถึงจุดสูงสุดในช่วงวัยที่แตกต่างกัน อาทิ ความเร็วในการประมวลผลข้อมูลจะสูงสุดในวัยรุ่นตอนปลาย ความสามารถในการจดจำระยะสั้นจะดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงอายุ 25 ปีก่อนที่จะคงที่ไปอีกสิบปี ส่วนความสามารถในการประเมินรูปแบบที่ซับซ้อน รวมถึงอารมณ์ของผู้อื่น จะสูงสุดเมื่ออายุ 40-50 ปี และความฉลาดที่สั่งสมมาตลอดชีวิต (Crystallized Intelligence) จะสูงสุดในวัย 60 ปลายถึง 70 ต้น
.
5. เราควรสร้างเส้นทางอาชีพแบบใหม่ที่เปิดกว้างต่อการเติบโต

ในบริษัทส่วนใหญ่ คนที่ทำงานดีมักได้รับรางวัลเป็นตำแหน่งใหญ่ขึ้น อำนาจมากขึ้น และเงินเดือนสูงขึ้น จนถึงจุดที่เลื่อนขั้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะพวกเขาอาจถึงขีดสุดความสามารถหรือไม่อาจทำงานหนักขนาดนั้นได้อีกต่อไป บริษัทก็จะหยุดขึ้นเงินเดือนให้ เพราะมันจะกลายเป็นการปิดกั้นโอกาสเลื่อนขั้นของคนรุ่นใหม่ และองค์กรมักเลือกที่จะเลิกจ้างคนเหล่านี้ในที่สุด (ในวงการกฏหมายและบัญชีเรียกวิธีนี้ว่า "up-and-out") ผู้เขียนมองว่าแนวคิดนี้ควรเปลี่ยน จากการมองเส้นทางอาชีพแบบเส้นตรงควรมองเป็นเส้นโค้งมากกว่า โดยที่แม้จะเลิกเลื่อนขั้นแต่ยังให้ทำงานต่อไปได้ในฐานะที่ปรึกษาอาวุโสไปจนเกษียณ
.
6. จงกล้าแยกตัวออกจากวัฒนธรรมเดิมๆ

เรื่องของ Erik Wahl เป็นตัวอย่างของคนที่ถูกหล่อหลอมให้เชื่อว่าต้องเอาชนะ ต้องเข้ามหาวิทยาลัยท็อป และมีงานที่ให้รายได้สูง ซึ่งความเชื่อนี้พาเขาไปถึงความสำเร็จระดับนึง จนเมื่อเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 ทำให้ธุรกิจของเขาต้องปิดตัวลง เขาจึงต้องมองหาเส้นทางใหม่ ด้วยการเข้าหาศิลปินที่เขาเคยแอบชื่นชมในความคิดอิสระ และเริ่มหัดวาดภาพ ถึงแม้ตอนแรกฝีมือจะแย่มาก แต่ยิ่งฝึกฝนเขาก็ยิ่งเก่งขึ้น จนสามารถทำเงินจากการเป็นศิลปินแสดงสดได้มากกว่าเมื่อครั้งเป็นนักธุรกิจเสียอีก แสดงให้เห็นว่าหากยังยึดติดกับความเชื่อเดิมๆ ที่สังคมปลูกฝัง ก็อาจพลาดโอกาสค้นพบของขวัญที่แท้จริงของตัวเองไป
.
7. คนที่ประสบความสำเร็จช้าควรกล้าที่จะ “รื้อ” เพื่อสร้างตัวเองใหม่

เมื่อต้นกุหลาบเติบโตจนใหญ่เกินกระถางที่มันอยู่ มันจำเป็นต้องถูกย้ายไปอยู่กระถางใบใหม่ คนที่ยังไม่มีโอกาสผลิบานก็เช่นกัน ต้องกล้า "ย้ายกระถาง" ตัวเองบ้างเพื่อให้เจริญเติบโตเต็มศักยภาพ ไม่ว่าจะด้วยการคบหาสมาคมกับคนที่คิดคล้ายกัน หางานใหม่ หรือย้ายไปอยู่ที่อื่น อย่างเช่น Kimberly Harrington นักเขียนที่ผันตัวจากการเป็นคนเขียนโฆษณาในลอสแองเจลิส เพราะเมืองนั้นไม่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์ของเธอ เธอจึงย้ายไปตั้งถิ่นฐานในชนบทของรัฐเวอร์มอนต์ที่มีแต่นักวิชาการ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และผู้คนที่สนใจเรียนรู้ ไม่นานมุมมองของเธอก็เริ่มเปิดกว้าง การได้ทำธุรกิจฟรีแลนซ์ของตัวเอง ห่างจากความกดดันในวงการโฆษณา ทำให้เธอมีพื้นที่ทางความคิดมากขึ้นและสามารถเขียนหนังสือเล่มแรกได้สำเร็จเมื่ออายุ 50 ปี
.
8. จงยึดมั่นในเป้าหมายของหัวใจ

Jean M. Twenge ผู้เขียนหนังสือและบทความทางวิชาการเกี่ยวกับวัยรุ่นมากกว่า 140 ชิ้น ตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุที่ทำให้คนหนุ่มสาวซึมเศร้ามากขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงจุดสนใจจากเป้าหมายภายใน เช่น การพัฒนาตนเองและสร้างอัตลักษณ์ที่มั่นคง ไปยังเป้าหมายภายนอก เช่น เกรด รายได้ และรูปลักษณ์ เธอเชื่อว่าสังคมให้คุณค่ากับเป้าหมายภายนอกอย่างความร่ำรวยและความสำเร็จทางการศึกษามากกว่าเป้าหมายภายในอย่างการรู้จักตัวเองและการมีความสุข
.
9. อย่าใช้มาตรฐานของคนอื่นตัดสินตัวเอง

Rich Karlgaard กล่าวย้อนไปเมื่อครั้งที่ตัวเขาอายุ 25 ปี เขายังคงหางานทำไม่ได้ เขารู้สึกสับสน จนทำให้ต้องรับงานเป็นยามรักษาความปลอดภัย วันหนึ่งขณะลาดตระเวนในลานจอดรถบรรทุก เขาพบว่าเพื่อนร่วมงานที่ควรจะคอยเฝ้าสังเกตการณ์กลับเป็นสุนัขร็อตไวเลอร์ตัวหนึ่งที่คอยเห่าใส่คนแปลกหน้า เขาได้ตระหนักถึงความไร้ค่าของงานที่ใครๆ หรือแม้แต่สุนัขก็ทำได้ ซึ่งพอได้ยินข่าวว่า Steve Jobs ซึ่งอายุเท่ากับเขากำลังจะนำ Apple เข้าตลาดหุ้นและเปลี่ยนแปลงวงการคอมพิวเตอร์ เขารู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง แต่เรื่องนี้สอนให้เห็นว่าแต่ละคนมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน บางคนอาจต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นในการค้นพบตัวเอง และเราไม่ควรรู้สึกแย่ไปกับเรื่องนั้น
.
10. ไม่ใช่เรื่องผิดที่เราจะค้นพบเป้าหมายของชีวิตในภายหลัง

อย่าคิดว่าตัวเองเป็นเพียงศักยภาพที่สูญเปล่าหากวัย 20 ผ่านไปแล้วแต่ยังไม่รู้ว่าควรทำอะไรกับชีวิต เมื่อคุณเดินบนเส้นทางอันยาวไกลอย่างไม่ย่อท้อ คุณจะค่อยๆ ค้นพบว่าตัวเองชอบอะไร ถนัดอะไร คุณจะได้พบกับผู้คนมากมาย เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และมีมุมมองที่เปลี่ยนไป สิ่งเหล่านี้ล้วนอาจนำไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต ดังนั้นอย่ามัวแต่กลัวความล้มเหลว จงมีความกล้าที่จะลงมือทำสิ่งใหม่ๆ และปล่อยให้ตัวเองได้ค่อยๆ ผลิบานบานตามธรรมชาติ แม้จะช้ากว่าคนอื่น แต่ถ้าคุณสามารถเบ่งบานออกมาได้อย่างงดงาม ทุกอย่างก็คุ้มค่าเสมอ
.
.
ซึ่งหากกล่าวโดยสรุปนั้น หนังสือ Late Bloomer เตือนใจเราว่า ในโลกที่ให้คุณค่ากับความสำเร็จที่มาเร็วเกินไป ผู้คนจำนวนมากกลับต้องเผชิญกับความกดดันและความทุกข์ใจอย่างใหญ่หลวง ทั้งที่จริงๆ แล้วการเบ่งบานช้ากว่าคนอื่นไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติเลย เพราะพัฒนาการของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน และศักยภาพหลายอย่างก็มักจะปรากฏขึ้นในภายหลัง
.
ในการดำเนินชีวิต เราควรให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ ค้นหาตัวเอง และพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดนิ่ง อย่ายึดติดกับเส้นทางตรงที่สังคมวางไว้ จงกล้าที่จะออกนอกกรอบ ลองผิดลองถูก และสร้างเส้นทางที่เป็นของตัวเองขึ้นมา จงอดทนและมีความหวัง เชื่อมั่นว่าวันหนึ่งเราจะค้นพบพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจและผลิบานออกมาได้อย่างงดงาม เมื่อเวลาและโอกาสที่เหมาะสมมาถึง
.
.
อ้างอิง
- หนังสือ Late Bloomers: The Power of Patience in a World Obsessed with Early Achievement : Rich Karlgaard
.
.
#สรุปหนังสือ
#แรงบันดาลใจ
#พัฒนาตัวเอง
#LateBloomer
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...