โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

Sustainable Aviation Fuel (SAF) – ช่องว่างระหว่างอุปสงค์และอุปทานระดับโลก และบทบาทของประเทศไทย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

อัพเดต 04 ธ.ค. 2567 เวลา 10.50 น. • เผยแพร่ 04 ธ.ค. 2567 เวลา 10.50 น.
  • หน่วยงานกำกับดูแลการบินทั่วโลกเริ่มกำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับเป้าหมายสัดส่วนที่สายการบินต้องใช้ SAF ภายในปี 2568 โดยในสหภาพยุโรป สัดส่วนจะอยู่ที่ 2% และระดับภูมิภาคกำหนดในสัดส่วนรองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ 1% และไทย 1% ภายในปี 2568
  • อุปทานทั่วโลกน้อยกว่าอุปสงค์มาก โดยสหภาพยุโรปจำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตมากกว่า 40 เท่าเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย SAF ระยะแรก
  • ในไทยหากโรงงานผลิต SAF แห่งใหม่ของผู้ประกอบการ สามารถจัดหาวัตถุดิบได้ จะทำให้สายการบินในไทยมี SAF พอใช้ได้จนถึงปี 2573บทนำ
    SAF คืออะไร?
    อุตสาหกรรมการบินมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก 2-3% ทำให้กิจการการบินเป็นภาคส่วนสำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอนของอุตสาหกรรมทั่วโลก หนึ่งในกลไกหลักคือการทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานปัจจุบันด้วยเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) ที่มีสายการบินมากกว่า 40 แห่งนำมาใช้แล้ว
    SAF เป็นเชื้อเพลิงหมุนเวียนที่สามารถใช้ขับเคลื่อนอากาศยานโดยมีการปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไปที่ผลิตจากฟอสซิล โดยคาดว่าจะลดการปล่อยมลพิษได้ถึง 80% เมื่อเทียบกับน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบดั้งเดิม
    จุดสำคัญของ SAF คือการเป็น "Drop-in Fuel" หมายความว่าสามารถใช้กับเครื่องบินที่มีอยู่ได้โดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์ เพราะเหตุนี้ทำให้ SAF สามารถผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไปได้ ในอัตราส่วนสูงสุดที่ 50% ในปัจจุบัน
    การวิเคราะห์ กฎระเบียบและช่องว่างด้านอุปทาน
    ปัจจุบันยังมีช่องว่างระหว่างข้อกำหนด SAF ที่กำลังจะมาถึงกับอุปทานการผลิต SAF ทั่วโลก จนทำให้สหภาพยุโรป ซึ่งเป็นผู้นำด้านกฎระเบียบ SAF อาจไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการใช้ SAF ได้
    ปัจจุบันมีแรงกดดันทั่วโลกให้สายการบินนำ SAF มาใช้ โดยสหภาพยุโรปเป็นผู้นำ ในการกำหนดเป้าหมายให้สายการบินต้องใช้ SAF เป็นสัดส่วน 2% ภายในปี 2568 และจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 70% ภายในปี 2593 สำหรับภูมิภาคอาเซียน สิงคโปร์เป็นประเทศแรกที่กำหนดข้อบังคับที่ 1% ภายในปี 2568 ในขณะที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กำลังพิจารณาข้อกำหนด 1% ภายในปี 2568 เช่นกัน
    อย่างไรก็ตาม อุปทานในปัจจุบันไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยสหภาพยุโรปจำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตมากกว่า 40 เท่าเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย SAF ปัจจุบันเที่ยวบินที่บินเข้าสหภาพยุโรปใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน 65 ล้านตันต่อปี ขณะที่โรงผลิตในสหภาพยุโรปสามารถผลิต SAF ได้ 0.24 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วน 0.04% ของเชื้อเพลิงทั้งหมด
    การวิเคราะห์อุปทาน SAF
    อุปทานของ SAF ต่ำกว่าอุปสงค์มาก โดยอุปทานของ SAF ทั่วโลกอยู่ที่ 1.5 ล้านตันต่อปี เพิ่มขึ้นสามเท่าจากปี 2566 แม้จะเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ก็คิดเป็นเพียง 0.53% ของความต้องการเชื้อเพลิงการบินทั่วโลกในปี 2567 (การบินทั่วโลกปัจจุบันใช้เชื้อเพลิงอยู่ที่ 316 ล้านตัน)
    กำลังการผลิตปัจจุบันต่ำกว่าประมาณการความต้องการ SAF อยู่ 24 ล้านตันต่อปี ที่จำเป็นต่อการบรรลุข้อกำหนด แม้จะมีการประกาศโครงการใหม่จำนวนมากทุกปีก็ตาม แต่ อุปทานมีลักษณะกระจุกตัว โดย 76.8% ของการผลิตทั้งหมดที่คาดการณ์ไว้มาจาก 10 บริษัท
    ปัจจุบัน SAF เกือบทั้งหมดผลิตโดยใช้น้ำมันเหลือใช้และแปลงเป็น SAF ในกระบวนการที่เรียกว่า Hydroprocessed Esters and Fatty Acids (HEFA) เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกับการกลั่นน้ำมันแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกันที่โรงกลั่น SAF ของผู้ประกอบการ แห่งเดียวของไทยใช้ผลิต SAF
    คาดว่าการผลิต SAF โดยใช้กระบวนการ HEFA จะสร้างอุปทานเพียงพอที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายปี 2573 แต่จะมีความท้าทายจากวัตถุดิบที่มีจำกัด อันจะส่งผลต่อการเพิ่มกำลังการผลิตในระยะข้างหน้า แม้ว่าเชื้อเพลิงจากแอลกอฮอล์และเชื้อเพลิงทางเลือกทดแทนน้ำมันดิบจากแก๊ซ (Gas-to-liquid) เป็นวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำกว่า HEFA แต่ทั้งคู่ยังเผชิญกับอุปสรรคด้านเทคโนโลยี จึงจำเป็นต้องปรับและพัฒนาเทคโนโลยีมารองรับ
    ต้นทุนของ SAF และผลกระทบต่ออัตราการทำกำไรของสายการบิน
    ปัจจุบัน SAF มีทุนราคาสูงกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไป 1.5 - 3 เท่า ซึ่งนับเป็นอุปสรรคสำคัญของสายการบิน เนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงคิดเป็นประมาณ 31% ของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ขณะที่ อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกมีอัตราการทำกำไรไม่มากนัก อยู่ที่ประมาณ 2.6 – 3.1%
    การเพิ่มขึ้นของต้นทุนเชื้อเพลิงจะบั่นทอนความสามารถในการทำกำไร ทำให้อัตราการผสม SAF ทำได้ไม่เกิน 6.4 – 7.5% (ถ้าไม่ปรับ Cost Structure) ดังนั้น จึงทำให้สายการบินมีความยากลำบากในการนำ SAF มาใช้ในวงกว้าง หากไม่ได้รับการสนับสนุนหรือเงินอุดหนุนจากภาครัฐ
    บทบาทของประเทศไทยกับการดำเนินการ SAF สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กำลังศึกษาความเป็นไปได้ของการบังคับใช้ข้อกำหนด SAF 1% ภายในปี 2568 สอดคล้องกับสิงคโปร์ ซึ่งสายการบินส่วนใหญ่จะเป็นสายการบินระหว่างประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากข้อกำหนดของสิงคโปร์และสหภาพยุโรปอยู่แล้ว สำหรับข้อกำหนดนี้ของไทยจึงจะบังคับ ใช้เฉพาะเที่ยวบินภายในประเทศเท่านั้น
    ในประเทศไทย มีผู้ประกอบการเพียงรายเดียวและเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ที่มุ่งเน้นด้าน SAF คือ บริษัทบางจาก โดยกำลังก่อสร้างโรงงานที่พระโขนงโดยมีเป้าหมายผลิต SAF 2.3 ล้านบาร์เรลต่อปีภายในปี 2568 ซึ่งหากทำได้ตามเป้าหมาย ปริมาณ SAF จะมีปริมาณที่เพียงพอ สำหรับการใช้งานทั้งสำหรับการใช้ภายในประเทศและการส่งออก (คิดเป็น 6.5% ของการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานของไทย)
ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...