ผมจำได้ว่าตอนผมอายุ 29 ปี ตอนนั้นใครๆ ก็พูดถึงความน่ากลัวของ “เลขสาม” ที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาเราอย่างรวดเร็ว
หลายคนเตือนถึงความน่ากลัวที่มาในรูปแบบของเสื่อมถอยของร่างกาย โดยเฉพาะสำหรับผู้ชายคือผมบาง หัวล้าน รวมถึงความอ้วนในระดับที่แค่หายใจเข้าก็อ้วนแล้ว
บางคนพูดถึงความน่ากลัวของหน้าที่การงาน ที่ความรับผิดชอบต่างๆ จะเริ่มถาโถมเข้ามา ไม่มีอีกแล้ว ความชิวในออฟฟิศ หัวหน้าก็ยังคงด่าและบี้งาน แต่ตอนนี้มีลูกน้องงอกขึ้นมาอีก จะทำตัวกากๆ เหมือนสมัยตอนเป็นเด็กน้อยในออฟฟิศก็ไม่ได้แล้ว
บางคนพูดถึงความน่ากลัวของภาระทางการเงิน ที่ต้องผ่อนบ้านผ่อนรถผ่อนมือถือ ชนิดที่ต้องพิจารณาขายไตกันทุกสิ้นเดือน บางคนพูดถึงความน่ากลัวของการมีครอบครัว มีลูก ที่จะมีภาระต่างๆ นานาตามมาเป็นไปหมด
กล่าวคือ ใครๆ ก็เตือนล่วงหน้าว่าอายุสามสิบนี่ไม่สนุกเลย มันคือประตูสู่ความแก่ และเป็นประตูวันเวย์ที่เข้าแล้วออกไม่ได้อีกแล้ว สิ่งที่อยู่หลังประตูนี้มีแต่เรื่องยากๆ หนักๆ เพราะเลขสามสิบคือตัวเลขแห่งความเป็นผู้ใหญ่
คงไม่สามารถมาทำอะไรสนุกๆ แบบตอนเป็นเด็กได้แล้ว และผู้ใหญ่คือวัยที่ต้องแบกรับความผิดชอบไว้เต็มบ่า ดังนั้นเจ้าจงตั้งหน้าตั้งตาทำงานไป เรียกว่าแทบไม่เคยมีใครพูดถึงข้อดีของวัยสามสิบเลยด้วยซ้ำ
เด็กน้อยวัยยี่สิบเก้าปลายๆ อย่างเราก็ได้แต่หน้าซีด ประหวั่นพรั่นพรึงกับอนาคต เหมือนเห็นเส้นตายอะไรบางอย่างค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาแบบจะหนีก็หนีไม่ได้ จนกระทั่งวันเกิดของขวบปีที่สามสิบมาถึง
แต่พอเอาเข้าจริง… อายุสามสิบแล้ว อืม จะว่าไปมันก็ไม่ได้ต่างจากวันเกิดปีที่ผ่านๆ นี่หว่า แต่… ไม่! ผู้รู้เขาเตือนเราแล้ว เราจะประมาทไม่ได้! (อันนี้คิดในใจแบบนางเอกช่องเจ็ดที่ชอบคิดเสียงดังแบบไม่ออกเสียง) การใช้ชีวิตของชีวิตเลขสามของผมจึงมีสติสัปชัญญะกว่าเดิมมากมาโดยตลอด
จนทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตเลขสามมาเกือบครึ่งทางแล้ว เพื่อพบว่าชีวิตเลขสามนั้นไม่ได้น่ากลัว ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เคยมีคนมาขู่หรือเตือนไว้เลย โอเค เรื่องผมบางนั่นก็อาจจะจริงบ้าง (ซึ่งเป็นความจริงที่เจ็บปวดและต้องยอมรับ ฮือ) ส่วนเรื่องที่แค่หายใจเข้าก็อ้วนแล้วก็พยายามจะโทษดินโทษฟ้ากันไปว่าเขาก็เป็นกันทุกคนแหละ
แต่ผมพบว่าผู้คนที่เคยขู่ถึงความโหดร้ายของวัยสามสิบเขาไม่ได้บอกผมทุกอย่าง เพราะวัยสามสิบไม่ได้นำพามาแค่ความร่วงโรยและหย่อนยานของร่างกาย หรือแค่ความรับผิดชอบอันหนักอึ้ง แต่มันยังนำพาสิ่งดีๆ หลายอย่างเข้ามาพร้อมกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นความเติบโตในวุฒิภาวะ หรือที่แปลเป็นภาษามนุษย์ว่า เราจะเริ่มทำเรื่องโง่ๆ น้อยลงเพราะเราเจ็บมาเยอะ หรือนำความสุขหลายรูปแบบที่เราไม่สามารถหาได้ด้วยในตอนเด็ก หรือที่แปลเป็นภาษามนุษย์ว่า เราเริ่มมีเงินฟาดซื้อสิ่งต่างๆ ที่อยากได้
และสิ่งที่ดีที่สุดของวัยสามสิบ คือมันเป็นวัยที่เรากำลังมีสามสิ่งสำคัญในชีวิตพร้อมๆกัน นั่นคือ มีแรง มีเวลา และมีเงิน ซึ่งเราอาจจะไม่ได้มีแรงล้นหลาม (ครับ ผมไม่ได้มาจากจักรวาลมาร์เวล) เราอาจจะไม่ได้มีเวลาเหลือเฟือ (ครับ ผมมีงานต้องทำมาหากิน) และเราก็ไม่ได้รวยล้นฟ้า (ครับ ยังคงฝันว่าวันหนึ่งเราจะถูกล็อตเตอรีสักยี่สิบล้าน) แต่การที่มีทั้งสามอย่างพร้อมกันนั้นทำให้ชีวิตเลขสามของผมนั้นแซ่บแบบที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน แซ่บจนต้องขอยกให้เป็นช่วง golden age ของผม ซึ่งถ้าจะแปลแบบตรงตัว ต้องเรียกว่านี่คือ “ยุคทอง” ของชีวิตเลยทีเดียว
อนึ่ง, ห้ามแปลคำว่า golden age ว่า วัยทอง เพราะความแซ่บทั้งหมดในที่นี้ไม่มีเรื่องฮอร์โมนหรือเลือดลมเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใดนะครับ
ในวันที่สังคมตีตราว่าวัยสามสิบคือความแก่ ความเหนื่อย ความน่าเบื่อของชีวิต หลายคนพยายามโกหกปฏิเสธความจริงด้วยการหยุดอายุตัวเองไว้ที่ยี่สิบเก้า
“สามสิบยังแซ่บ” ที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้ คือบทความว่าด้วยมุมมองของผมในฐานะผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องทำมาหากิน เอาชีวิตรอดทั้งในการงานและหน้าที่อื่นๆ เรียนรู้ชีวิตผ่านการตัดสินใจผิดบ้างถูกบ้าง
จนเรียนรู้ว่าอีกด้านหนึ่ง ประสบการณ์และมุมมองของวัยสามสิบที่คนไม่ค่อยพูดถึงกัน มันไม่แย่เสมอไป มันแซ่บเสียวด้วยซ้ำ
ความเห็น 3
Pui 💪459
ในวันนี้เมื่อเราได้เห็นพนักงานรุ่นน้องที่เป็นสายเปย์กับทุกสิ่งแล้วก็ทำให้นึกถึงตัวเราเอง ว่าเราก็เคยผ่านจุดนั้นมาเช่นกัน แต่มาวันนี้เราอิ่มตัวกับการใช้เงินไปกับสิ่งต่าง ๆ จะใช้จ่ายอะไรทีคิดแล้วคิดอีก หรือจริง ๆ ก็งกมากขึ้นตามอายุกันแน่เนี่ยะ
16 ม.ค. 2562 เวลา 15.13 น.
NaiNAM
ล้ำมา10ปีละคับ 39 แล้วววว
16 ม.ค. 2562 เวลา 14.43 น.
@...
ผมคิดว่านั่นแหล่ะคือความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นและรอเราอยู่ในวันข้างหน้าอย่างหนี้ไม่พ้นอย่างแน่นอนครับ.
16 ม.ค. 2562 เวลา 11.26 น.
ดูทั้งหมด