DCI-P3, Rec.709, NTSC, sRGB, Adobe RGB, Rec.2020 คืออะไร ?
สีเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงตัวตนของผลงาน และการสื่อสารทางอารมณ์ แต่ทว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น โปรเจคเตอร์ (เครื่องฉายภาพ) หรือ จอภาพ กลับไม่สามารถแสดงสีสันที่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ทั้งหมด ดังนั้นเพื่อให้มีสิ่งที่ช่วยสร้างมาตรฐานของเฉดสีในอุตสาหกรรมดิจิทัล ระบบสีแบบ RGB จึงได้ถูกหยิบยกมาใช้ เกิดเป็นมาตรฐาน (Color Gamut) ที่ใช้กำหนดความหลากหลายเฉดสีของเทคโนโลยีที่แสดงผลได้ถูกต้อง โดยยึดตามแม่แบบสีของ RGB
หากเป็นวงการจอคอมพิวเตอร์ การออกแบบ กราฟิก และ อุตสาหกรรมงานพิมพ์ หลายคนอาจรู้จักกันดีกับ มาตรฐานชื่อ sRGB และ Adobe RGB แต่บางครั้งเรามักเห็นมาตรฐาน DCI-P3, Rec.709, NTSC และอื่น ๆ มาเกี่ยวข้องด้วย
จะเห็นว่า มาตรฐานสี ในโลกดิจิทัลนี้มีมากมายเหลือเกิน และมันถูกใช้ปะปนกันไปไม่เพียงแค่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่รวมถึง สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เครื่องฉายโปรเจคเตอร์ ทีวี เมื่อถามว่าแต่ละมาตรฐานแตกต่างกันอย่างไร ? บทความนี้เราจะมาอธิบายความเป็นมา และความแตกต่างของแต่ละชนิดกัน ลองเลือกดูเมนูสารบัญจากด้านล่างนี้ได้เลย
เนื้อหาภายในบทความ
ทำไมต้องมีมาตรฐานความกว้างสี (Color Gamut) บนอุปกรณ์ ?
มาตรฐานสีต่าง ๆ มีอะไรบ้าง ? และแตกต่างกันอย่างไร ?
มาตรฐาน sRGB
- มาตรฐาน Adobe RGB
- มาตรฐาน NTSC
- มาตรฐาน DCI-P3
- มาตรฐาน Rec.709
- มาตรฐาน Rec.2020
สรุปเกี่ยวกับมาตรฐานความกว้างของสี
มาตรฐานความกว้างสี (Color Gamut) คืออะไร ? และ มันสำคัญอย่างไร ?
ความกว้างสี (Color Gamut) เป็นสิ่งที่เรามักจะเห็นอยู่บ่อย ๆ บนสเปกจอคอมต่าง ๆ และ แต่ละรุ่นก็ใช้มาตรฐานที่ต่างกัน แต่ก่อนที่เราจะมาอธิบายข้อแตกต่าง มาทำความเข้าใจก่อนว่าทำไม "มาตรฐาน" ถึงเป็นสิ่งสำคัญ
ความแตกต่างของมาตรฐานสี sRGB / Adobe RGB ที่มองเห็นด้วยสายตาได้
หากพูดปัญหาสีจากจอภาพและโปรเจคเตอร์ ที่จริงอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคนทั่วไปถ้ามันจะผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ถ้าเป็นวงการออกแบบ มันคือเรื่องจริงจัง เพราะถ้ามาตรฐานต่างกันนิดเดียว ก็สามารถส่งผลต่อภาพผลงานได้ ดังภาพข้างต้น
หรือสมมติว่า คุณต้องการออกแบบรูปวาดบนคอมพิวเตอร์กราฟิก และได้สีตามที่ต้องการเรียบร้อย แต่พอนำงานไปพรีเซนต์ผ่านโปรเจคเตอร์ ปรากฏว่าสีที่ออกมาดันไม่ใช่ที่เราทำไว้แต่แรก นั่นเป็นเพราะอุปกรณ์อาจไม่ได้รองรับเฉดสีที่เท่ากัน
ดังนั้นมาตรฐานความกว้างสี (Color Gamut) จึงเป็นตัวช่วยชี้วัดว่าอุปกรณ์ของเราใกล้เคียงกับมาตรฐานใดบ้าง เพื่อที่เวลาเลือกซื้อหน้าจอมอนิเตอร์ ทีวี หรือโปรเจคเตอร์มาใช้งาน เราจะได้เลือกซื้ออุปกรณ์ตามมาตรฐานที่ต้องการได้
สำหรับวิธีการอ่าน ยกตัวอย่างจากจอมอนิเตอร์ Dell U2419H
- สเปกครอบคลุมเฉดสี 16.7 ล้านสี (Color Depth)
- แสดงผลได้กว้าง (Color Gamut) เทียบเท่ามาตรฐาน DCI-P3 85 % และ sRGB 99 %
หมายความว่าสีทั้งหมดที่ จอมอนิเตอร์ Dell U2419H แสดงผลได้คือ 16.7 ล้านเฉดสี และในจำนวนเฉดสีเหล่านี้มีสีที่ตรงกับมาตรฐาน sRGB อยู่ 99 % ขณะที่ในมาตรฐาน DCI-P3 นั้นตรงกันเพียง 85% ดังนั้นถ้าเราใช้จออื่น ๆ ที่รองรับ sRGB 99% มาทำงานร่วมกัน ก็แทบจะไม่มีโอกาสที่สีจะผิดแปลกไป
กลับกันถ้าอุปกรณ์อีกตัวมีมาตรฐานเฉดสีที่ใกล้เคียง sRGB เพียง 90 % เท่ากับว่าหากใช้ร่วมกับจอนี้ สีที่ได้ออกมา อาจจะมีความแปลกไปบ้างตามสีที่หายไปนั่นเองครับ
มาตรฐานสีต่าง ๆ มีอะไรบ้าง ? และแตกต่างกันอย่างไร ?
ต่อไปเรามารู้จักกับ มาตรฐานสี แต่ละชนิดกันดีกว่า ว่ามันต่างกันอย่างไร และแต่ละชนิดมีที่มาจากไหน
มาตรฐาน sRGB
ผังปริภูมิสี 'CIE 1931' แสดงค่าเฉดสีในมาตรฐานของ sRGB
sRGB เป็นมาตรฐานเฉดสีการแสดงผลที่หลายคนคุ้นเคยดี โดยเฉพาะวงการกราฟิก, การออกแบบเว็บไซต์ และ อุตสาหกรรมการพิมพ์
sRGB ถูกนำมาใช้ครั้งแรกโดย Microsoft และ แบรนด์คอมพิวเตอร์ชื่อดังอย่าง HP (Hewlett-Packard Company) ในปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) และกลายเป็นมาตรฐานแรก ๆ ที่ถูกใช้กับเทคโนโลยีจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งสมัยนั้นยังใช้จอแบบ CRT อยู่เลย โดยทุกวันนี้ sRGB กลายเป็นมาตรฐานตั้งต้น ของการแสดงผลที่เราพบเห็นได้ในอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงพวกหน้า UI เว็บไซต์ และ งานกราฟิกบนโลกออนไลน์
จอ CRT
มาตรฐาน Adobe RGB
Adobe RGB ออกแบบมาใช้ตามวัตถุประสงค์ของ sRGB แต่ครอบคลุมสีที่มากกว่า พัฒนาโดยบริษัท Adobe Systems, Inc.ในปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) หรือเจ้าของ โปรแกรมตระกูล Adobe ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และถูกใส่มาครั้งแรกใน โปรแกรมแต่งรูป Adobe Photoshop เป็นต้น
ข้อมูลเพิ่มเติม : ซื้อโปรแกรม Adobe ลิขสิทธิ์ของแท้จาก Thaiware.com
เหตุผลที่ Adobe RGB ถูกสร้างมา เนื่องจากอุตสาหกรรมการออกแบบการพิมพ์ต่าง ๆ ต้องใช้งานร่วมกับปริ้นเตอร์ เช่นการ พิมพ์การ์ด พิมพ์ป้ายไวนิล สมุด หนังสือ หรือ โปสเตอร์ต่าง ๆ แต่ระบบสีของปริ้นเตอร์ที่ใช้เป็นระบบ CMYK ดูจะไม่ค่อยจะใกล้เคียงกับมาตรฐาน sRGB ทำให้ผลงานบนคอมกับผลลัพธ์ที่ได้จากเครื่องปริ้นเตอร์อาจผิดเพี้ยนไป
Adobe RGB จึงเป็นมาตรฐานสีที่มีช่วงกว้างกว่า โดยเฉพาะโทนสีฟ้าและสีเขียวที่จะช่วยให้ผลงานมีสีสันถูกต้อง และ แม่นยำมากขึ้น
ผังปริภูมิสี 'CIE 1931' แสดงค่าวัดสีของ sRGB, Adobe RGB และ CMYK
ปัจจุบันระบบสี Adobe RGB จึงกลายเป็นมาตรฐานของอุปกรณ์จอแสดงผลระดับสูงที่เหมาะกับการใช้ในงานออกแบบ งานทำกราฟิก และ งานอื่น ๆ อีกมากมาย
มาตรฐาน NTSC
มาตรฐาน NTSC ย่อมากจาก National Television System Committee ตั้งตามชื่อคณะกรรมการระบบโทรทัศน์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1953 (พ.ศ. 2496) เป็นระบบสีที่สร้างขึ้นเพื่อใช้กับโทรทัศน์ ในยุคจอ CRT TV (Cathode Ray Tube Monitor) หรือ จอแก้วหลังตุงสมัยรุ่นปู่ย่าตายายของเรา
จอ CRT TV (Cathode Ray Tube Monitor)
ที่จริง NTSC ไม่ค่อยถูกใช้เป็นมาตรฐานวัดจอแสดงผลคอมหรืออุปกรณ์ใด ๆ แต่บางรุ่นก็นำมาใช้บ้าง อย่างไรก็ตามมันมีช่วงสีที่กว้างกว่า sRGB ถ้าเทียบกันแล้วหากมาตรฐาน sRGB 100% จะแปลงค่าออกมาเป็นมาตรฐาน NTSC ได้แค่ "72 % NTSC" เพราะมันครอบคลุมกว้างกว่า
ผังปริภูมิสี 'CIE 1931' แสดงค่าวัดสีของ sRGB และ NTSC ที่ครอบคลุม
มาตรฐาน DCI-P3
DCI-P3 ย่อมาจาก Digital Cinema Initiatives - Protocol 3 เป็นมาตรฐานที่ถูกยอมรับ ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐอเมริกาหลายทศวรรษ สร้างโดยสมาคมภาพยนตร์ที่มีค่ายภาพยนตร์ต่าง ๆ ร่วมเป็นสมาชิกอยู่ด้วยอย่าง
- Warner Bros
- Metro-Goldwyn-Mayer (MGM)
- Twentieth Century Fox Film
- Universal Studios
- SONY Pictures Entertainment
เดิมถูกใช้เป็นมาตรฐานของโรงภาพยนตร์ ครอบคลุมสีมากกว่า sRGB 25% และน้อยกว่า NTSC อยู่ประมาณ 4 % กระทั่งต่อมาหลังสื่อภาพยนตร์เริ่มมาอยู่บนอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องฉาย Home Theater ไปจนถึงสมาร์ทโฟน กับ แท็บเล็ต บริษัทต่าง ๆ ที่ผลิตอุปกรณ์เหล่านี้ก็เริ่มนำมาตรฐาน DCI-P3 มาใช้เพื่อโฆษณาว่าให้สีในการดูหนังที่ดีกว่าการใช้ระบบอื่น ๆ ทำให้ภาพดูมีมิติและตรงกับความตั้งใจที่ผู้สร้างหนังถ่ายทำออกมา เช่นเดียวกับ Apple, Sony, Samsung, Google ก็เริ่มปรับใช้ และเคลมว่า จออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของพวกเขา พิเศษกว่ารุ่นเก่า ๆ เพราะได้มาตรฐาน DCI-P3
ตอนนี้ DCI-P3 เริ่มกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอุปกรณ์ทั่วไป โดยเฉพาะโทรทัศน์ และ โปรเจคเตอร์ ซึ่งมักจะมีการกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง ขณะเดียวกัน Apple ก็มี DCI-P3 เป็นมาตรฐานตั้งต้นของแบรนด์ตัวเองไปแล้ว ซึ่งเราก็จะพบได้บ่อยในสินค้าช่วงหลัง ๆ มานี้ทั้งใน iPhone, iPad และ Mac
ผังปริภูมิสี 'CIE 1931' แสดงค่าวัดสีของ sRGB, Adobe RGB, NTSC และ DCI-P3
มาตรฐาน Rec.709
หาก DCI-P3 เป็นมาตรฐานที่เกิดจาก อุตสาหกรรมภาพยนตร์ Rec.709 ก็จัดเป็นมาตรฐาน ที่เกิดจากอุตสาหกรรมการแพร่ภาพและกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งสร้างโดยสหภาพโทรคมนาคมนานาชาติ (ITU) ภาคการสื่อสารวิทยุ (ITU-R, Radiocommunication Sector) เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533)
โดยมาตรฐาน Rec.709 เป็นมาตรฐานที่กำหนดคุณภาพของตลาด TV ที่มีความคมชัดสูง (HDTV) ซึ่งตอนนี้ก็ไปโดดเด่นในวงการอื่น ๆ เช่นเดียวกัน อย่าง จอคอมพิวเตอร์ และ เครื่องฉายโปรเจคเตอร์ ก็มีการอ้างอิงมาตรฐานนี้มาใช้งาน
ผังปริภูมิสี 'CIE 1931' แสดงค่าวัดสีของ Rec.709 เมื่อเทียบกับค่าสีอื่น ๆ
สำหรับช่วงสีของ มาตรฐาน Rec.709 มีการใช้ค่า RGB และมีขอบเขตความกว้างสีเทียบเท่ากับ sRGB เหมือนถอดแบบกันมาแทบไม่เห็นความแตกต่างด้วยสายตา แต่ที่ผ่านมามันแค่ถูกใช้งานคนละวงการเท่านั้นเอง
มาตรฐาน Rec.2020
ทุกอย่างล้วนมีการพัฒนาและ มาตรฐาน Rec.2020 ก็ถือเป็นก้าวใหม่ของวงการแพร่ภาพ ถ้า มาตรฐาน Rec.709 โลดแล่นในวงการ HDTV มานาน ตอนนี้เมื่อมี UHDTV โทรทัศน์ความคมชัดละเอียดสูงแล้ว มาตรฐาน Rec.2020 ก็คือมาตรฐานใหม่ที่ใช้กำหนดคุณภาพสี ซึ่งสร้างโดย ITU-R เจ้าเดิม
ความกว้างของ มาตรฐาน Rec.2020 ถือว่าแสดงผลเฉดสีได้หลากหลายกว่ามาตรฐานใด ๆ ที่เรากล่าวมาในบทความนี้ อีกทั้งนอกจาก UHDTV บางผู้ผลิตก็ใช้มาตรฐานนี้บนสินค้าจอคอมพิวเตอร์ หรือ เครื่องฉายภาพที่แสดงผลได้ระดับ UHD (Ultra-high-definition) เช่นกัน
สรุปเกี่ยวกับมาตรฐานความกว้างของสี
ทุก มาตรฐานความกว้างสี มีต้นกำเนิดที่ต่างกันแต่มีพื้นฐานมาจากระบบเดียว บางคนอาจสงสัยว่าทำไมผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ต้องนำมาตรฐานมาอ้างอิงหลายตัวไม่ใช้อันเดียวให้จบ ๆ ไป ส่วนหนึ่งนอกจากจะอธิบายเรื่องคุณภาพของเฉดสีที่อุปกรณ์ของพวกเขาสามารถแสดงผลได้แล้ว มันยังแฝงถึงจุดเด่นของตัวอุปกรณ์ที่พวกเขาต้องการใช้เพื่อโฆษณา วัตถุประสงค์ของการใช้งานด้วยเช่นกัน
ความเห็น 0