โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

คณะที่ชอบ VS คณะที่จบมาแล้วมีงานทำ

Reporter Journey

อัพเดต 13 พ.ค. เวลา 15.56 น. • เผยแพร่ 13 พ.ค. เวลา 08.56 น. • Reporter Journey

ถ้าคุณผู้อ่านคือเด็กที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ม.5-6

ถ้าคุณผู้อ่านคือพ่อแม่-ผู้ปกครองของลูกหลาน คนที่ท่านห่วงใหญ่

บทความนี้จะมาชวนคุยหนึ่งในข้อถกเถียงที่วนเวียนมาเป็นวัฎจักร

เราควรจะ “เลือกเรียนคณะที่ชอบ” หรือ “คณะที่จบมาแล้วมีงานทำกันแน่”

คำถามนี้ถูกหยิบยกมาถกเถียงกันอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และยิ่งเป็นใน “ยุคนี้” ยุคที่ใคร ๆ ก็เป็นอินฟลูเอนเซอร์ ยุคที่ใคร ๆ ก็สามารถโชว์ความสำเร็จกันได้อย่างง่ายดายในสื่อสังคมออนไลน์ และในยุคที่เศรษฐกิจไทยไม่เหมือนเดิม หลายองค์ประกอบของความเป็นยุคนี้ยิ่งทำให้คำถามนี้ทวีความรุนแรงขึ้น

บทความนี้จะค่อย ๆ พาไปหาคำตอบผ่านข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ บทสนทนากับผู้ประกอบการ และประสบการณ์ในอุตสาหกรรมของผู้เขียนพร้อม ๆ กัน

.

กลุ่มคนแบบไหนที่ไม่มีงานทำในสถานการณ์ปัจจุบัน

จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เรื่อง ‘สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568’ จะพบว่ากลุ่มคนที่ว่างงานส่วนใหญ่ สำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษาถึง 1.44 แสนคน จากตัวเลขผู้ว่างงาน 3.78 แสนคน ในเดือนมีนาคม 2568

น่าเสียดายที่รายงานดังกล่าวไม่ได้ชี้ชัดว่าคนเรียนคณะไหนตกงานเยอะสุด ไม่งั้นข้อถกเถียงนี้คงสามารถยุติได้เพียงรายงานหนึ่งฉบับจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ทว่า รายงานดังกล่าวก็พอจะทำให้เห็นร่องรอยบางอย่างที่นำไปสู่การตั้งข้อสังเกตของอัตราการว่างงานในไทยได้

ข้อสังเกตประการแรกคือ ไม่ว่าคุณจะเรียนสูงแค่ไหน จบมหาวิทยาลัย จบมัธยม หรือสำเร็จการศึกษาแค่ภาคบังคับตามที่กฎหมายกำหนด แต่คนทุกกลุ่มล้วนตกงานเพิ่มขึ้น ประกอบกับไม่ว่าคุณจะอยู่ภาคไหนของประเทศไทยก็ตกงานเพิ่มขึ้นเช่นกัน ยกเว้นกรุงเทพที่จำนวนคนมีงานทำเพิ่มขึ้น เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงภาพที่ใหญ่กว่าแค่ข้อถกเถียงที่ว่า ‘เรียนคณะนั้นคณะนี้แล้วจะตกงาน’ แต่เป็นเพราะตำแหน่งงานในปัจจุบันน้อยลงจากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศต่างหาก

การน้อยลงของตำแหน่งงานนั้นเห็นได้จาก เมื่อปี พ.ศ.2562 ประเทศไทยมีแรงงานที่ทำงานในภาคเอกชนถึง 40.4% แต่ภายหลังเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 จนมาถึงข้อมูลปี พ.ศ.2567 แรงงานไทยในภาคเอกชนเหลือเพียง 38.9% ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติยังเผยให้เห็นว่าไม่ว่าคุณจะเป็นแรงงานที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว ช่วยธุรกิจครอบครัว หรือแม้แต่เป็นลูกจ้างรัฐบาล สัดส่วนร้อยละจำนวนแรงงานลดลงหมด ไม่กลับไปเทียบเท่าก่อนเกิดเหตุแพร่ระบาดโควิด-19

ซึ่งเรื่องนี้เองหลายสถาบันวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะประเทศไทยรั้งท้ายปรเะทศที่ฟื้นตัวช้าที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนที่เจอโควิด-19 เล่นงาน ทำให้เกิดผลกระทบมาถึงเศรษฐกิจไทยและตำแหน่งงาน หากมองในภาพใหญ่ผ่านข้อมูล ไม่มองผ่านข้อคิดเห็นของใครคนใดคนหนึ่ง จะพบว่า ไม่ใช่เพราะเรียนคณะนั้น ๆ แล้วตกงาน, เรียนคณะสายศิลป์แล้วตกงาน แต่เป็นเพราะเศรษฐกิจไทยต่างหากที่ทรง ๆ หนักไปทางทรุด ทำเอาเรียนอะไรก็หางานยากไปหมด

.

พลังของความยืดหยุ่นต่อการหางานทำ

มีเหตุการณ์หนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา รายงานงานจาก The Economist คือ คนที่เรียนจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจว่างงานเพิ่มมากขึ้น เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานน้อยลง สาเหตุมาจากบริษัทใหญ่ ๆ ในสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับคนที่จบสายเทคโนโลยีมากขึ้นตามกระแส Ai

เรื่องนี้เป็นความผิดของนักศึกษาหรือคณะบริหารธุรกิจหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ บริษัทที่เป็นผู้กำหนดตำแหน่งงานเพียงแค่ไหลไปตามกระแสของโลก กำหนดนโยบายการรับคนตามแนวโน้มที่จะทำให้บริษัทมีกำไรมากที่สุดท่ามกลางยุคที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง ครั้นจะเรียนตามเทรนด์โลกก็ไม่ได้อีก เพราะเทรนด์เหล่านี้มักเปลี่ยนไปไว เช่นนั้นแล้วสิ่งสำคัญที่แรงงานควรมีไม่ว่าจะเรียนคณะอะไรคือความยืดหยุ่น (flexibility)

Colleges Transition บริษัทที่ให้คำปรึกษาด้านการเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ทำรายงาน Data-driven Books ด้านการศึกษาออกมาทุกปีเปิดเผยให้เห็นว่า ในปี 2024 นักศึกษาในอเมริกาที่สำเร็จการศึกษามีเพียง 27% เท่านั้นที่ทำงานตรงสายกับที่ตนเล่าเรียนมา เรื่องนี้ตอกย้ำว่าไม่ว่าคุณจะเรียนคณะอะไรความยืดหยุ่นคือทักษะที่จำเป็นมาก ๆ ในการทำงาน

ผู้เขียนมองว่า ความยืดหยุ่นเป็นทั้ง Hard Skill และ Soft Skill

ความยืดหยุ่นในมุม Hard Skill คือ ต่อให้คุณจะเรียนคณะสายวิทย์ ใช่ว่าเราจะมีทักษะด้านการเขียนหรือการเล่าเรื่องไม่ได้ ต่อให้จะเรียนคณะสายศิลป์ ใช้ว่าคุณจะไม่มีทักษะด้านการบริหารหรือการตลาดไม่ได้ ซึ่งการจะมีทักษะที่นอกเหนือจากคณะที่ตนเรียนจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นในมุมของ Soft Skill อีกต่อคือ Mind-Set ที่จะไม่หยุดเรียนรู้ทักษะอื่น ๆ พร้อมปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ พร้อมที่จะตัดใจทิ้งทักษะบางอย่างเพื่อทักษะใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน

ผู้เขียนเคยมีโอกาสสัมภาษณ์ ‘พี่โย-พีรพล อนุตรโสตถิ์’ หัวหน้าศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ พี่โยยกตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่าง ‘คนที่จบด้านการเงิน แต่มีทักษะด้านการเขียน การเล่าเรื่อง (Hard Skill ด้านนิเทศศาสตร์) ’ กับ ‘คนที่จบด้านนิเทศศาสตร์ แต่ไม่มีความรู้ด้านการเงิน’ พี่โยเล่าว่าเด็กคนแรกที่จบด้านการเงินจะมีโอกาสได้งานทำมากกว่าหากมาสมัครเป็น Content creator ด้านการเงิน, สื่อด้านการเงิน หรือแม้แต่ตัวผู้เขียนเองที่เคยพบเพื่อนร่วมงานตำแหน่ง Video Editor ที่จบการศึกษาคณะครุศาสตร์

เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเสียงสะท้อนว่าทักษะที่สอดคล้องกับเนื้องาน คือสิ่งที่นายจ้างและผู้ประกอบการมองหา ไม่ใช่ว่าเรียนจบคณะอะไรมา และการจะมีทักษะที่นายจ้างต้องการหรือตลาดแรงงานในอนาคตต้องการคือความยืดหยุ่นทั้ง Hard Skill และ Soft Skill ที่นักศึกษา (รวมถึงแรงงานและคนที่มีงานทำ) ควรมี

.

มหาวิทยาลัยไทยรับมืออย่างไร ? เมื่อคณะของตนถูกตั้งคำถามว่าเด็กที่เรียนจบจะมีงานทำหรือไม่

ในพาร์ทนี้ผู้เขียนขอแบ่งปันประสบการณ์สมัยทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ถึงแม้จะไม่นานมากแต่ก็มีส่วนและได้เรียนรู้ในการออกแบบหลักสูตรเพื่อผู้เรียน

หลักสูตรของมหาวิทยาลัยจะต้องปรับทุก ๆ 5 ปี หรือถ้าไม่ถึง 5 ปีก็สามารถปรับได้หากเห็นว่ามีวาระเห็นควรให้ปรับเพื่อเท่าทันโลก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแนวคิดการทำหลักสูตรก็จะถูกกำหนดโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ซึ่งแนวคิดก็เปลี่ยนแปลงไปตามเวลาเช่นกัน สมัยที่ผู้เขียนเป็นอาจารย์จำต้องออกแบบหลักสูตรผ่านแนวคิดที่เรียกว่า PLO หรือ การจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ (ในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปอีก)

หนึ่งในกระบวนการทำหลักสูตรผ่านแนวคิดดังกล่าวคือการที่ผู้ทำหลักสูตรต้องสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับหลักสูตรของตนทั้งภายในและภายนอก เช่น ต้องสัมภาษณ์ศิษย์เก่าที่จบไป สัมภาษณ์นักวิชาการ หรือแม้แต่สัมภาษณ์ผู้ประกอบการที่จ้างงานนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาไปจากคณะเรา

หมายความว่าสถาบันการศึกษาจะรับฟังข้อคิดเห็นจากนายจ้าง เจ้าของกิจกรรม และภาคธุรกิจโดยตรงว่าต้องการนักศึกษาที่มีทักษะอะไรบ้าง พอได้ความต้องการจริง ๆ จากตลาดแรงงานคณะผู้ปรับปรุงหลักสูตรก็เอาความต้องการ เอาเสียงจากผู้ประกอบการมาออกแบบเป็นรายวิชาและหลักสูตรปรับปรุง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บางวิชาที่เคยมีเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว มีเมื่อ 5 ปีที่แล้วมันถึงล้มหายตายจากไปจากวิชาที่เด็กต้องเรียน เป็นเพราะหลักสูตรกำลังทำรายวิชาให้สอดคล้องกับทักษะที่ผู้ประกอบการต้องการจริง ๆ นี่แหละ

ในเรื่องของแนวคิด ผู้เขียนมองว่าเป็นแนวคิดและกระบวนการที่สมเหตุสมผล แปลว่าไม่ว่าคุณจะเรียนคณะอะไร สายวิทย์ สายศิลป์ เรียนสาขาอะไร สิ่งที่เราเรียนอยู่คือสิ่งที่ตลาดแรงงานต้องการจริง ๆ นะ

ในแง่ของทฤษฎีถือว่าดี แต่ในการปฏิบัติเป็นอีกเรื่อง ผู้เขียนไม่อาจแสดงความมั่นใจและยืนยันได้ว่าทุกสถาบันในประเทศไทยจะเคร่งครัดในกระบวนการปรับปรุงหลักสูตรให้ผู้เรียนจบมามีงานทำ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการกำกับดูแลของหลายหน่วยงาน รวมถึงแนวคิดของอาจารย์ประจำหลักสูตร/คณะนั้น ๆ แต่สิ่งที่ผู้เขียนยืนยันได้คือหลักสูตรในระดับมหาวิทยาลัยมี ‘ระบบ กระบวนการ และแนวคิด’ ที่ตั้งใจให้ไม่ว่าคุณจะเรียนคณะอะไรก็จบมามีงานทำได้

.

บทสรุป

สุดท้ายแล้ว เราควรจะ “เลือกเรียนคณะที่ชอบ” หรือ “คณะที่จบมาแล้วมีงานทำกันแน่” คำถามนี้หากตอบโดยอาศัยข้อคิดเห็นของผู้เขียน (มองข้ามข้อมูลที่ผู้เขียนนำเสนอไปก่อนหน้า) ผู้เขียนมองว่าขึ้นอยู่กับโจทย์ชีวิตของเด็กแต่ละคน

หากโจทย์ชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่ต้องเรียนจบมาแล้วกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว กาารเลือกคณะที่จบมาแล้วมีงานทำแน่ ๆ ก็สมเหตุสมผล (แต่จะเป็นคณะอะไร อาชีพอะไรนั้นต้องไปศึกษาเอง)

หากโจทย์ชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่ต้องการเดินตามความฝัน ทำตามแรงบรรดาลใจของตัวเองในวัยเด็ก การเลือกเรียนคณะที่ชอบก็ดูจะเป็นเรื่องเหมาะสมเช่นกัน การเข้าใจโจทย์ชีวิต พื้นฐานทางครอบครัว และทุนมนุษย์ที่ตนมีคือประตูบานแรกก่อนที่เด็กจะเลือกคณะที่ชอบ หรือ คณะที่จบมาแล้วมีงานทำ

ถ้าคุณผู้อ่านคือเด็กที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ม.5-6 ลองสำรวจต้นทุนและโจทย์ชีวิตของตนดู และอย่าลืมว่าเรียนคณะอะไรก็ตกงานได้เสมอ สิ่งสำคัญคืออย่าลืมมี Mind Set ที่ถูกต้องในการใช้ชีวิต และค่อย ๆ สะสมประสบการณ์และผลงานไว้ โอกาสและความท้าทายของเราจะมาถึงเสมอไม่ว่าจะเรียนอะไรก็ตาม

ถ้าคุณผู้อ่านคือพ่อแม่-ผู้ปกครองของลูกหลาน คนที่ท่านกำลังห่วงใย ผู้เขียนขออนุญาตแนะนำว่าอย่าลืมบอกบริบทและสิ่งที่ท่านเจอให้ลูกหลานของท่านด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทุนทรัพย์ และข้อมูลข่าวสารทั้งในและต่างประเทศ เทรนด์และกระแสของงานในอนาคต หรือแม้แต่เศรษฐกิจประเทศไทย เพื่อให้ลูกหลานของท่านรวมถึงตัวท่าน เห็นภาพเดียวกันของตลาดแรงงานและสถานการณ์เศรษฐกิจที่ประเทศไทยเผชิญ และขอย้ำเตือนว่าเรียนคณะอะไรก็ตกงานได้ และไม่ใช่ความผิดของตัวเด็กหรือคณะที่เด็กเลือก

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...