คณะที่ชอบ VS คณะที่จบมาแล้วมีงานทำ
ถ้าคุณผู้อ่านคือเด็กที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ม.5-6
ถ้าคุณผู้อ่านคือพ่อแม่-ผู้ปกครองของลูกหลาน คนที่ท่านห่วงใหญ่
บทความนี้จะมาชวนคุยหนึ่งในข้อถกเถียงที่วนเวียนมาเป็นวัฎจักร
เราควรจะ “เลือกเรียนคณะที่ชอบ” หรือ “คณะที่จบมาแล้วมีงานทำกันแน่”
คำถามนี้ถูกหยิบยกมาถกเถียงกันอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และยิ่งเป็นใน “ยุคนี้” ยุคที่ใคร ๆ ก็เป็นอินฟลูเอนเซอร์ ยุคที่ใคร ๆ ก็สามารถโชว์ความสำเร็จกันได้อย่างง่ายดายในสื่อสังคมออนไลน์ และในยุคที่เศรษฐกิจไทยไม่เหมือนเดิม หลายองค์ประกอบของความเป็นยุคนี้ยิ่งทำให้คำถามนี้ทวีความรุนแรงขึ้น
บทความนี้จะค่อย ๆ พาไปหาคำตอบผ่านข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ บทสนทนากับผู้ประกอบการ และประสบการณ์ในอุตสาหกรรมของผู้เขียนพร้อม ๆ กัน
.
กลุ่มคนแบบไหนที่ไม่มีงานทำในสถานการณ์ปัจจุบัน
จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เรื่อง ‘สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568’ จะพบว่ากลุ่มคนที่ว่างงานส่วนใหญ่ สำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษาถึง 1.44 แสนคน จากตัวเลขผู้ว่างงาน 3.78 แสนคน ในเดือนมีนาคม 2568
น่าเสียดายที่รายงานดังกล่าวไม่ได้ชี้ชัดว่าคนเรียนคณะไหนตกงานเยอะสุด ไม่งั้นข้อถกเถียงนี้คงสามารถยุติได้เพียงรายงานหนึ่งฉบับจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ทว่า รายงานดังกล่าวก็พอจะทำให้เห็นร่องรอยบางอย่างที่นำไปสู่การตั้งข้อสังเกตของอัตราการว่างงานในไทยได้
ข้อสังเกตประการแรกคือ ไม่ว่าคุณจะเรียนสูงแค่ไหน จบมหาวิทยาลัย จบมัธยม หรือสำเร็จการศึกษาแค่ภาคบังคับตามที่กฎหมายกำหนด แต่คนทุกกลุ่มล้วนตกงานเพิ่มขึ้น ประกอบกับไม่ว่าคุณจะอยู่ภาคไหนของประเทศไทยก็ตกงานเพิ่มขึ้นเช่นกัน ยกเว้นกรุงเทพที่จำนวนคนมีงานทำเพิ่มขึ้น เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงภาพที่ใหญ่กว่าแค่ข้อถกเถียงที่ว่า ‘เรียนคณะนั้นคณะนี้แล้วจะตกงาน’ แต่เป็นเพราะตำแหน่งงานในปัจจุบันน้อยลงจากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศต่างหาก
การน้อยลงของตำแหน่งงานนั้นเห็นได้จาก เมื่อปี พ.ศ.2562 ประเทศไทยมีแรงงานที่ทำงานในภาคเอกชนถึง 40.4% แต่ภายหลังเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 จนมาถึงข้อมูลปี พ.ศ.2567 แรงงานไทยในภาคเอกชนเหลือเพียง 38.9% ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติยังเผยให้เห็นว่าไม่ว่าคุณจะเป็นแรงงานที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว ช่วยธุรกิจครอบครัว หรือแม้แต่เป็นลูกจ้างรัฐบาล สัดส่วนร้อยละจำนวนแรงงานลดลงหมด ไม่กลับไปเทียบเท่าก่อนเกิดเหตุแพร่ระบาดโควิด-19
ซึ่งเรื่องนี้เองหลายสถาบันวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะประเทศไทยรั้งท้ายปรเะทศที่ฟื้นตัวช้าที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนที่เจอโควิด-19 เล่นงาน ทำให้เกิดผลกระทบมาถึงเศรษฐกิจไทยและตำแหน่งงาน หากมองในภาพใหญ่ผ่านข้อมูล ไม่มองผ่านข้อคิดเห็นของใครคนใดคนหนึ่ง จะพบว่า ไม่ใช่เพราะเรียนคณะนั้น ๆ แล้วตกงาน, เรียนคณะสายศิลป์แล้วตกงาน แต่เป็นเพราะเศรษฐกิจไทยต่างหากที่ทรง ๆ หนักไปทางทรุด ทำเอาเรียนอะไรก็หางานยากไปหมด
.
พลังของความยืดหยุ่นต่อการหางานทำ
มีเหตุการณ์หนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา รายงานงานจาก The Economist คือ คนที่เรียนจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจว่างงานเพิ่มมากขึ้น เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานน้อยลง สาเหตุมาจากบริษัทใหญ่ ๆ ในสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับคนที่จบสายเทคโนโลยีมากขึ้นตามกระแส Ai
เรื่องนี้เป็นความผิดของนักศึกษาหรือคณะบริหารธุรกิจหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ บริษัทที่เป็นผู้กำหนดตำแหน่งงานเพียงแค่ไหลไปตามกระแสของโลก กำหนดนโยบายการรับคนตามแนวโน้มที่จะทำให้บริษัทมีกำไรมากที่สุดท่ามกลางยุคที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง ครั้นจะเรียนตามเทรนด์โลกก็ไม่ได้อีก เพราะเทรนด์เหล่านี้มักเปลี่ยนไปไว เช่นนั้นแล้วสิ่งสำคัญที่แรงงานควรมีไม่ว่าจะเรียนคณะอะไรคือความยืดหยุ่น (flexibility)
Colleges Transition บริษัทที่ให้คำปรึกษาด้านการเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ทำรายงาน Data-driven Books ด้านการศึกษาออกมาทุกปีเปิดเผยให้เห็นว่า ในปี 2024 นักศึกษาในอเมริกาที่สำเร็จการศึกษามีเพียง 27% เท่านั้นที่ทำงานตรงสายกับที่ตนเล่าเรียนมา เรื่องนี้ตอกย้ำว่าไม่ว่าคุณจะเรียนคณะอะไรความยืดหยุ่นคือทักษะที่จำเป็นมาก ๆ ในการทำงาน
ผู้เขียนมองว่า ความยืดหยุ่นเป็นทั้ง Hard Skill และ Soft Skill
ความยืดหยุ่นในมุม Hard Skill คือ ต่อให้คุณจะเรียนคณะสายวิทย์ ใช่ว่าเราจะมีทักษะด้านการเขียนหรือการเล่าเรื่องไม่ได้ ต่อให้จะเรียนคณะสายศิลป์ ใช้ว่าคุณจะไม่มีทักษะด้านการบริหารหรือการตลาดไม่ได้ ซึ่งการจะมีทักษะที่นอกเหนือจากคณะที่ตนเรียนจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นในมุมของ Soft Skill อีกต่อคือ Mind-Set ที่จะไม่หยุดเรียนรู้ทักษะอื่น ๆ พร้อมปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ พร้อมที่จะตัดใจทิ้งทักษะบางอย่างเพื่อทักษะใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน
ผู้เขียนเคยมีโอกาสสัมภาษณ์ ‘พี่โย-พีรพล อนุตรโสตถิ์’ หัวหน้าศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ พี่โยยกตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่าง ‘คนที่จบด้านการเงิน แต่มีทักษะด้านการเขียน การเล่าเรื่อง (Hard Skill ด้านนิเทศศาสตร์) ’ กับ ‘คนที่จบด้านนิเทศศาสตร์ แต่ไม่มีความรู้ด้านการเงิน’ พี่โยเล่าว่าเด็กคนแรกที่จบด้านการเงินจะมีโอกาสได้งานทำมากกว่าหากมาสมัครเป็น Content creator ด้านการเงิน, สื่อด้านการเงิน หรือแม้แต่ตัวผู้เขียนเองที่เคยพบเพื่อนร่วมงานตำแหน่ง Video Editor ที่จบการศึกษาคณะครุศาสตร์
เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเสียงสะท้อนว่าทักษะที่สอดคล้องกับเนื้องาน คือสิ่งที่นายจ้างและผู้ประกอบการมองหา ไม่ใช่ว่าเรียนจบคณะอะไรมา และการจะมีทักษะที่นายจ้างต้องการหรือตลาดแรงงานในอนาคตต้องการคือความยืดหยุ่นทั้ง Hard Skill และ Soft Skill ที่นักศึกษา (รวมถึงแรงงานและคนที่มีงานทำ) ควรมี
.
มหาวิทยาลัยไทยรับมืออย่างไร ? เมื่อคณะของตนถูกตั้งคำถามว่าเด็กที่เรียนจบจะมีงานทำหรือไม่
ในพาร์ทนี้ผู้เขียนขอแบ่งปันประสบการณ์สมัยทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ถึงแม้จะไม่นานมากแต่ก็มีส่วนและได้เรียนรู้ในการออกแบบหลักสูตรเพื่อผู้เรียน
หลักสูตรของมหาวิทยาลัยจะต้องปรับทุก ๆ 5 ปี หรือถ้าไม่ถึง 5 ปีก็สามารถปรับได้หากเห็นว่ามีวาระเห็นควรให้ปรับเพื่อเท่าทันโลก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแนวคิดการทำหลักสูตรก็จะถูกกำหนดโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ซึ่งแนวคิดก็เปลี่ยนแปลงไปตามเวลาเช่นกัน สมัยที่ผู้เขียนเป็นอาจารย์จำต้องออกแบบหลักสูตรผ่านแนวคิดที่เรียกว่า PLO หรือ การจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ (ในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปอีก)
หนึ่งในกระบวนการทำหลักสูตรผ่านแนวคิดดังกล่าวคือการที่ผู้ทำหลักสูตรต้องสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับหลักสูตรของตนทั้งภายในและภายนอก เช่น ต้องสัมภาษณ์ศิษย์เก่าที่จบไป สัมภาษณ์นักวิชาการ หรือแม้แต่สัมภาษณ์ผู้ประกอบการที่จ้างงานนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาไปจากคณะเรา
หมายความว่าสถาบันการศึกษาจะรับฟังข้อคิดเห็นจากนายจ้าง เจ้าของกิจกรรม และภาคธุรกิจโดยตรงว่าต้องการนักศึกษาที่มีทักษะอะไรบ้าง พอได้ความต้องการจริง ๆ จากตลาดแรงงานคณะผู้ปรับปรุงหลักสูตรก็เอาความต้องการ เอาเสียงจากผู้ประกอบการมาออกแบบเป็นรายวิชาและหลักสูตรปรับปรุง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บางวิชาที่เคยมีเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว มีเมื่อ 5 ปีที่แล้วมันถึงล้มหายตายจากไปจากวิชาที่เด็กต้องเรียน เป็นเพราะหลักสูตรกำลังทำรายวิชาให้สอดคล้องกับทักษะที่ผู้ประกอบการต้องการจริง ๆ นี่แหละ
ในเรื่องของแนวคิด ผู้เขียนมองว่าเป็นแนวคิดและกระบวนการที่สมเหตุสมผล แปลว่าไม่ว่าคุณจะเรียนคณะอะไร สายวิทย์ สายศิลป์ เรียนสาขาอะไร สิ่งที่เราเรียนอยู่คือสิ่งที่ตลาดแรงงานต้องการจริง ๆ นะ
ในแง่ของทฤษฎีถือว่าดี แต่ในการปฏิบัติเป็นอีกเรื่อง ผู้เขียนไม่อาจแสดงความมั่นใจและยืนยันได้ว่าทุกสถาบันในประเทศไทยจะเคร่งครัดในกระบวนการปรับปรุงหลักสูตรให้ผู้เรียนจบมามีงานทำ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการกำกับดูแลของหลายหน่วยงาน รวมถึงแนวคิดของอาจารย์ประจำหลักสูตร/คณะนั้น ๆ แต่สิ่งที่ผู้เขียนยืนยันได้คือหลักสูตรในระดับมหาวิทยาลัยมี ‘ระบบ กระบวนการ และแนวคิด’ ที่ตั้งใจให้ไม่ว่าคุณจะเรียนคณะอะไรก็จบมามีงานทำได้
.
บทสรุป
สุดท้ายแล้ว เราควรจะ “เลือกเรียนคณะที่ชอบ” หรือ “คณะที่จบมาแล้วมีงานทำกันแน่” คำถามนี้หากตอบโดยอาศัยข้อคิดเห็นของผู้เขียน (มองข้ามข้อมูลที่ผู้เขียนนำเสนอไปก่อนหน้า) ผู้เขียนมองว่าขึ้นอยู่กับโจทย์ชีวิตของเด็กแต่ละคน
หากโจทย์ชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่ต้องเรียนจบมาแล้วกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว กาารเลือกคณะที่จบมาแล้วมีงานทำแน่ ๆ ก็สมเหตุสมผล (แต่จะเป็นคณะอะไร อาชีพอะไรนั้นต้องไปศึกษาเอง)
หากโจทย์ชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่ต้องการเดินตามความฝัน ทำตามแรงบรรดาลใจของตัวเองในวัยเด็ก การเลือกเรียนคณะที่ชอบก็ดูจะเป็นเรื่องเหมาะสมเช่นกัน การเข้าใจโจทย์ชีวิต พื้นฐานทางครอบครัว และทุนมนุษย์ที่ตนมีคือประตูบานแรกก่อนที่เด็กจะเลือกคณะที่ชอบ หรือ คณะที่จบมาแล้วมีงานทำ
ถ้าคุณผู้อ่านคือเด็กที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ม.5-6 ลองสำรวจต้นทุนและโจทย์ชีวิตของตนดู และอย่าลืมว่าเรียนคณะอะไรก็ตกงานได้เสมอ สิ่งสำคัญคืออย่าลืมมี Mind Set ที่ถูกต้องในการใช้ชีวิต และค่อย ๆ สะสมประสบการณ์และผลงานไว้ โอกาสและความท้าทายของเราจะมาถึงเสมอไม่ว่าจะเรียนอะไรก็ตาม
ถ้าคุณผู้อ่านคือพ่อแม่-ผู้ปกครองของลูกหลาน คนที่ท่านกำลังห่วงใย ผู้เขียนขออนุญาตแนะนำว่าอย่าลืมบอกบริบทและสิ่งที่ท่านเจอให้ลูกหลานของท่านด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทุนทรัพย์ และข้อมูลข่าวสารทั้งในและต่างประเทศ เทรนด์และกระแสของงานในอนาคต หรือแม้แต่เศรษฐกิจประเทศไทย เพื่อให้ลูกหลานของท่านรวมถึงตัวท่าน เห็นภาพเดียวกันของตลาดแรงงานและสถานการณ์เศรษฐกิจที่ประเทศไทยเผชิญ และขอย้ำเตือนว่าเรียนคณะอะไรก็ตกงานได้ และไม่ใช่ความผิดของตัวเด็กหรือคณะที่เด็กเลือก