“สาธิต” รมช.สธ. เป็นสักขีพยานความร่วมมือ สวรส.-EEC- กิจการร่วมค้าไทยโอมิกส์ ตั้งศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ถอดรหัสพันธุกรรมคนไทย 5 หมื่นราย ตั้งต้นเป็นข้อมูลสำคัญวางรากฐานการรักษาผู้ป่วย 5 กลุ่มโรคแห่งอนาคต เผยการแพทย์จีโนมิกส์ทำให้รักษาแม่นยำ ตรงจุด
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมพิธีลงนามสัญญาจ้างบริการถอดรหัสพันธุกรรม โดยร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC และกิจการร่วมค้าไทยโอมิกส์ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 ที่ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร กระทรวงสาธารณสุข โดยมีนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานพันธมิตรร่วมดำเนินงานภายใต้แผนจีโนมิกส์ประเทศไทย เป็นสักขีพยาน
ทั้งนี้ ศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ เกิดขึ้นเพื่อดำเนินการถอดรหัสพันธุกรรม ทั้งจีโนมของอาสาสมัครคนไทยที่ร่วมโครงการ 5 หมื่น ภายใต้แผนงานจีโนมิกส์ประเทศไทย ตั้งขึ้นภายในอาคาร 10 ปี เภสัชศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) อนุมัติให้จัดตั้งเป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ โดยปี 2563 ที่ผ่านมา ได้มีการเตรียมการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกำหนดรายละเอียดทางด้านเทคนิค และวิธีการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม
นอกจากนี้ ความสำคัญของการพัฒนาการวิจัยด้านการแพทย์จีโนมิกส์ จะมีประโยชน์โดยเฉพาะทางการแพทย์ ที่จะศึกษาข้อมูลทางพันธุกรรม ค้นหาความผิดปกติบนจีโนมของประชากรไทยเพื่อเป็นฐานข้อมูลจีโนมอ้างอิง ตลอดจนเพื่อการศึกษาไปข้างหน้าแบบระยะยาว และเพื่อการวิเคราะห์ สังเคราะห์หาปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องระหว่างยีนกับสุขภาพ หรือการเกิดโรคต่างๆ โดยการถอดรหัสพันธุกรรมของคนไทยในแผนงานจีโนมิกส์ประเทศไทย มุ่งเป้าใน 5 กลุ่มโรค ได้แก่ กลุ่มโรคมะเร็ง โรคที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยและหายาก โรคติดเชื้อ โรคไม่ติดต่อ และกลุ่มเภสัชพันธุศาสตร์ ป้องกันการแพ้ยาและการเลือกใช้ยาที่เหมาะสม
นายสาธิต รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า โครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงระบบสาธารณสุขไทยครั้งสำคัญ เกิดประโยชน์กับประเทศในเชิงของการศึกษาวิจัย และการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในทางการแพทย์ เพื่อช่วยในการวินิจฉัย รักษา และป้องกันโรค ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ในรูปแบบที่เราเรียกว่า “การแพทย์แม่นยำ หรือ precision medicine” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำไปใช้ในการรักษาที่อยู่ในระบบประกันสุขภาพไทย ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง เกิดประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง ทั้งยังส่งผลให้ประเทศไทยสามารถลดอัตราการเกิดโรคลงได้ถึงร้อยละ 10
ผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวว่า หัวใจสำคัญของโครงการฯ โดยหน้าที่ของ สวรส.คือจะต้องจัดการถอดรหัสพันธุกรรมของคนไทยจากอาสาสมัครที่เป็นตัวอย่าง 5 หมื่นรายภายในระยะเวลา 5 ปี สวรส. ได้ร่วมกับ สกพอ. ดำเนินการคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีความรู้ ความสามารถ ซึ่งดำเนินการคัดเลือกในรูปของคณะกรรมการกำหนดรายละเอียดขอบเขตงานจ้างบริการถอดรหัสพันธุกรรมทั้ง
ความยากของการดำเนินงานในโครงการนี้มีอยู่ 2 เรื่อง คือ 1.การจัดจ้างเป็นการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ใหม่มาก จึงเลือกพื้นที่จัดตั้งศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการเอกชนเข้ามาลงทุน และ 2.เป็นการประกวดราคาที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขว่าผู้ประกอบการต้องเป็น ผู้นำเข้าเทคโนโลยี และต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าว รวมทั้งต้องมีบุคลากรสัญชาติไทยร่วมอยู่ในโครงการด้วย
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC กล่าวว่า ความร่วมมือฯ ในวันนี้ ถือเป็นก้าวแรกในการส่งเสริมการบริการสมัยใหม่ที่มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงด้านการแพทย์จีโนมิกส์ ก่อให้เกิดประโยชน์ ใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. ด้านการแพทย์ สาธารณสุข จะทำให้การดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนได้ดีขึ้น 2. ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้เกิดการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ จากการใช้ข้อมูลทางพันธุกรรม มีความร่วมมือด้านการแพทย์จีโนมิกส์กับสถาบันชั้นนำระดับโลก และเกิดการถ่ายทอด เทคโนโลยี และ 3. ด้านเศรษฐกิจและสังคม เป็นการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรภายในประเทศ ทั้งการลงทุนด้านการบริการการแพทย์แม่นยำและการพัฒนายาและเวชภัณฑ์จากข้อมูลจีโนมของคนไทย
“นอกจากนี้ จะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์โดยเฉพาะการบริการสมัยใหม่ที่มี การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยเริ่มต้นจากการลงทุนศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ในพื้นที่ EEC ก่อให้เกิดการจ้างงานบุคลากรสายวิชาชีพและสายสนับสนุนในพื้นที่ ทำให้เกิดรายได้และยกระดับความเป็นอยู่ ของประชาชนในพื้นที่” นายคณิศ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับการลงนามสัญญาดังกล่าว ภายใต้แผนงานจีโนมิกส์ประเทศไทย เป็นความร่วมมือของหน่วยงานพันธมิตรรวม 22 หน่วยงานที่ร่วมขับเคลื่อน อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.), สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.), ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS), สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.), กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์,ทีมวิจัยคณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รวมไปถึงมหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ความเห็น 0