โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

สูตรสำเร็จการสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศในแบบฉบับสวิตเซอร์แลนด์ - ด.ดล

LINE TODAY SHOWCASE

เผยแพร่ 04 ก.ค. 2565 เวลา 10.24 น. • ด.ดล

เหล่านักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ สื่อและศิลปิน ได้มารวมตัวกันที่ดาวอสในวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ใน World Economic Forum ที่เพิ่งได้จัดขึ้นอีกครั้งในรอบกว่าสองปี เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19

มันเป็นเวลากว่าครึ่งทศวรรษแล้วที่ กลุ่มผู้นำ ผู้มีอิทธิพลระดับโลก ได้ใช้การประชุมประจำปี ณ เมืองเล็ก ๆ ในหุบเขาแห่งนี้ในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่สุดของโลก

ดาวอส หมู่บ้านที่อยู่บนภูเขาเล็ก ๆ แห่งนี้ เติบโตขึ้นในฐานะเจ้าภาพการประชุมระดับโลก รวมคนมีชื่อเสียงทั่วโลกไว้มากมาย เป็นอีกหนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวสวิตเซอร์แลนด์

มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับว่าประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ มีดีอะไร ที่สามารถดึงดูดจนกลายเป็นฐานที่มั่นของธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ต้องแห่กันมาตั้งสำนักงานสำคัญ ๆ ณ ประเทศแห่งนี้

สวิตเซอร์แลนด์ที่แทบไม่มีทางออกสู่ทะเล เป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำในยุโรป 13 จาก 100 บริษัทตามมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง อีก 12 จาก 500 บริษัทอันดับต้น ๆ จากทั่วโลก แล้วอะไรคือ เคล็ดลับของชาวสวิส?

มันต้องมีบางสิ่งที่น่าทึ่งบางอย่างสำหรับประเทศแห่งนี้ ที่ดึงดูดบริษัทยักษ์ใหญ่มากมาย ให้เข้ามาลงทุนในประเทศ สวิตเซอร์แลนด์มีบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 หนาแน่นที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับพื้นที่ขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยขุนเขา

World Economic Forum ที่รวมผู้นำทรงอิทธิพลของโลก ไว้ที่เมืองดาวอส (CR:Politico)

บริษัทข้ามชาติมีส่วนสำคัญโดยสร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศถึง 1 ใน 3 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก

บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติถูกพลังดึงดูดไปตั้งถิ่นฐานในสวิตเซอร์แลนด์ Google ได้จัดตั้งศูนย์วิศวกรรมที่ใหญ่ที่สุดนอกอเมริกาในเมืองซูริก บริษัทยักษ์ใหญ่ของสวิสเองก็มีผลงานที่เหนือกว่าคู่แข่งในยุโรปเป็นอย่างมาก

ดัชนีตลาดหุ้นสวิสเติบโตขึ้น 29% ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เทียบกับเพียงแค่ 3% ของ Euro Stoxx 50 ซึ่งเป็นดัชนีที่ครอบงำโดยกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศสและเยอรมัน

สวิตเซอร์แลนด์ไม่ได้มีจุดเด่นเพียงแค่ในธุรกิจด้านการธนาคาร ยังมี Roche และ Novartis ในธุรกิจยา , Nestle ในธุรกิจด้านอาหาร , Glencore และ Gunvor ในสินค้าโภคภัณฑ์ , Richemont และ Patek Philippe ในอุตสาหกรรมนาฬิกา , Lindt & Sprungli และ Barry Callebaut ที่เป็นผู้ผลิตช็อกโกแลตที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ต้องบอกว่ามีคำอธิบายหลายอย่างเกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวขององค์กรในสวิตเซอร์แลนด์ และหนึ่งในคุณลักษณะเด่นที่สำคัญคือ “สามัญสำนึก”

Paul Bulcke ประธานของ Nestle ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการเมืองที่ไม่เหมือนใครซึ่งผสมผสานระหว่างสหพันธ์กับประชาธิปไตยโดยตรง

ด้วยรัฐบาลกลางที่ไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากนัก มหาวิทยาลัยการวิจัยชั้นนำ และการแข่งขันในด้านการศึกษาและการเก็บภาษีระหว่างรัฐต่างๆ ที่หลอมรวมขึ้นเป็นสมาพันธ์สวิส

สำหรับประวัติศาสตร์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น พวกเขาเริ่มต้นประเทศด้วยความยากลำบาก ผืนแผ่นดินที่ไม่เหมาะกับการเพาะปลูก ซึ่งส่วนใหญ่จะปกคลุมไปด้วยหิมะเกือบตลอดทั้งปี ทำให้เป็นภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย

ดังนั้นเมื่อสวิตเซอร์แลนด์เริ่มพัฒนาเศรษฐกิจในเขตเมืองต่าง ๆ ในศตวรรษที่ 19 เมืองต่าง ๆ ก็เริ่มมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง St Gallen ที่มุ่งเน้นไปที่สิ่งทอ เบิร์นที่กลายเป็นศูนย์กลางของการค้าชีส บาเซิลกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยาและเคมีที่กำลังเติบโต

ส่วนการผลิตนาฬิกาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตจูราตั้งแต่เจนีวาถึงบาเซิล อุตสาหกรรมการธนาคารและประกันภัยก็ได้เริ่มเจริญรุ่งเรืองขึ้นในเจนีวาและซูริก

แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากความพยายามที่จะเป็นกลางของสวิตเซอร์แลนด์ ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงคราม ซึ่งสงครามครั้งใหญ่อย่างสงครามโลกครั้งที่สองนั้นได้ทำลายล้างพื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปไปอย่างราบคาบ

ซึ่งในขณะเดียวกันก็ได้รับประโยชน์จากการหลั่งไหลของกลุ่มประชากรที่มีทักษะสูง ซึ่งหลบหนีภัยสงครามมายังสวิตเซอร์แลนด์

ต้องเรียกได้ว่าชาวต่างชาติเป็นศูนย์กลางของความสำเร็จทางธุรกิจของสวิตเซอร์แลนด์ Henri Nestle ผู้ก่อตั้ง Nestle มาจากแฟรงก์เฟิร์ต Antoni Norbert Patek ช่างซ่อมนาฬิกาผู้บุกเบิกและสร้างแบรนด์ชื่อก้องโลกอย่าง Patek Philippe เป็นนายทหารม้าจากโปแลนด์

Leo Sternbach ชาวยิวโปแลนด์ที่หนีจากพวกนาซี ได้คิดค้น Valium ซึ่งกลายมาเป็นยาระงับประสาทที่โด่งดัง Nicolas Hayek ผู้ร่วมก่อตั้ง Swatch ซึ่งเป็นช่างซ่อมนาฬิกาชื่อดัง มีเชื้อสายเลบานอน

ประมาณครึ่งหนึ่งของซีอีโอของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์เป็นชาวต่างชาติ Severin Schwan จาก Roche เป็นชาวเยอรมัน , Gary Nagle จาก Glencore เป็นชาวแอฟริกาใต้ และ Vasant Narasimhan จาก Novartis เป็นชาวอินเดียน-อเมริกัน

การต้อนรับบุคคลต่างชาติของสวิตเซอร์แลนด์นั้นตรงกันข้ามกับความสัมพันธ์ภายในโดยสิ้นเชิง ชาวสวิสเองไม่ได้มีความสัมพันธ์พิเศษกับเพื่อนร่วมชาติในรัฐอื่น ๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านครรัฐต่าง ๆ ของประเทศคงอยากจะเป็นอิสระมากกว่า เพียงแต่พวกเขารวมตัวกันเป็นองค์กรเพียงหนึ่งเดียวเพื่อปกป้องตนเองจากเพื่อนบ้านที่โหดเหี้ยม

วิธีนี้ถือว่าน่าสนใจอย่างมาก สภาแห่งสหพันธรัฐ ซึ่งเป็นรัฐบาลกลางนั้น ดำเนินการโดยแทบไม่มีบุคคลสำคัญที่รู้จัก คณะรัฐมนตรีมีสมาชิก 7คน ที่มีอำนาจเท่าเทียมกัน และไม่แย่งชิงผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ไม่มีดราม่าทางด้านการเมือง

เหล่าคณะรัฐมนตรีจะหมุนเวียนกับเป็นประธานคนละ 1 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครจะจดจำชื่อพวกเขาได้นาน แม้สภาจะมีอำนาจน้อยมาก แต่เขตปกครอง 26 เขตของประเทศก็สามารถจัดการตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เช่นเดียวกับเทศบาลมากกว่า 2,000 แห่ง ที่ดำเนินการด้านการดูแลสุขภาพ การศึกษา การบังคับใช้กฎหมาย และนโยบายการคลัง ที่ทำให้พวกเขาแข่งขันกันเพื่อสร้างเสน่ห์ให้กับธุรกิจที่ต้องการเข้ามาลงทุนได้

การแข่งขันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องการเก็บภาษีเพียงเท่านั้น แต่รัฐต่าง ๆ ช่วยเหลือกองทุนมหาวิทยาลัยชั้นนำอยู่เสมอ Eidgenössische Technische Hochschule (ETH) ในเมืองซูริก ซึ่งเป็นหนึ่งในสองสถาบันเทคโนโลยีของรัฐบาลกลาง ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในทวีปยุโรปอย่างสม่ำเสมอ

Eidgenössische Technische Hochschule มหาวิทยาลัยชั้นนำของยุโรปในเมืองซูริก (CR:Wikipedia)

ทว่าความสำเร็จทั้งหมด สวิตเซอร์แลนด์กลับกลายเป็นศูนย์กลางของบริษัทข้ามชาติน้อยลงในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา

ในปี 1990 สองในสามของบริษัท 20 อันดับแรกของอเมริกา ซึ่งรวมถึง General Motors , Hewlett-Packard และ IBM มีสำนักงานใหญ่ในยุโรปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์

แต่ในปี 1992 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวสวิสตัดสินใจไม่เข้าร่วมเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ EU ด้วยเหตุนี้บริษัทบางแห่ง เช่น Amazon , Alibaba และ Samsung จึงย้ายถิ่นฐานไปตั้งสำนักงานใหญ่ในภูมิภาคที่ อัมสเตอร์ดัม ดับลิน และลอนดอนแทน

หรือแม้กระทั่งประเด็นร้อนล่าสุดอย่างสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างยูเครน-รัสเซีย ได้ทำให้ชาวสวิสไตร่ตรองถึงสถานะเป็นกลางของพวกเขา รัฐบาลกลางได้เข้าร่วมการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย ซึ่งสร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมากของท่าทีที่เปลี่ยนไปของสวิตเซอร์แลนด์

ยิ่งกว่านั้น ประเทศยังคงจัดการกับการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการจัดการความมั่งคั่ง ซึ่งถูกบังคับให้ต้องปรับเปลี่ยนวิธีที่เคยทำในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่อเมริกาประกาศสงครามกับธนาคารสวิสที่ช่วยพลเมืองของตนหลบเลี่ยงภาษีหลายพันล้านดอลลาร์ และความกดดันระดับนานาชาติที่เพิ่มขึ้นสำหรับความโปร่งใสทางการเงิน รวมถึงด้านเภสัชกรรมด้วยเช่นกัน

ทว่าชาวสวิสในอดีตได้แสดงให้โลกเห็นแล้วว่าพวกเขาสามารถเอาชนะความท้าทายและอุปสรรคต่าง ๆ ด้วยการทำงานหนักและความเฉลียวฉลาดของพวกเขาได้

ก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมนาฬิกาของสวิสเกือบจะถึงจุดจบ จนกระทั่งได้ Swatch ที่เข้ามาฟื้นคืนชีพอุตสาหกรรมด้วยการทำนาฬิกาให้ถูกและมีความสนุกมากยิ่งขึ้น รวมถึงนาฬิกาแพง ๆ อย่าง Patek Philippe ก็เป็นที่ต้องการมากขึ้น

——————————————–

บทสรุป

——————————————–

ต้องบอกว่าสวิตเซอร์แลนด์มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งปัจจัยทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และการเมืองล้วนมีส่วนทำให้เกิดความมั่งคั่งของสวิสอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้

ปัจจัยเหล่านี้ได้รับอิทธิพลจากการตัดสินใจทางธุรกิจที่ชาญฉลาดและแนวคิดทางการเมืองที่แน่วแน่ นั่นทำให้ประเทศพวกเขาเกิดช่วงเวลาแห่งความมั่นคงและความสงบสุข ส่งผลให้ชาวสวิสสามารถทุ่มเทพลังงานและทรัพยากรทั้งหมดเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้นั่นเองครับผม

References :

https://www.businesssetup.com/blog/11-reasons-to-set-up-your-business-in-switzerland

https://studyinginswitzerland.com/why-is-switzerland-so-rich/

https://www.economist.com/business/2022/05/23/the-recipe-for-the-outperformance-of-swiss-businesses

https://www.vox.com/2014/5/19/5731166/switzerlands-25-minimum-wage-wasnt-as-crazy-as-it-sounded

——————————————–

ติดตาม ด.ดล Blog ผ่าน Line OA : @tharadhol

เพียงคลิก : https://lin.ee/aMEkyNA

——————————————–

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0