กรมอุตุนิยมวิทยา ชี้แจงแล้วหลังลือข่าว 37 จังหวัด เตรียมรับมือพายุกระหน่ำไทย แรงที่สุดในปี 2565 ความแรง 160 km.h
ตามที่ได้มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง 37 จังหวัด เตรียมรับมือพายุกระหน่ำไทย แรงที่สุดในปี 2565 ความแรง 160 km.hr ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
จากกรณีที่มีผู้ให้ข้อมูลโดยระบุว่า 37 จังหวัด เตรียมรับมือพายุกระหน่ำไทย แรงที่สุดในปี 2565 ความแรง 160 km.hr ทางกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าจากการตรวจสอบยังไม่พบการเกิดพายุตามที่กล่าวอ้าง ซึ่งหากมีพายุเข้าประเทศไทย กรมอุตุนิยมวิทยาจะประกาศให้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน
โดยสำหรับในช่วงวันที่ 2 – 5 ธ.ค. 65 คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น บริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูง 2 – 3 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร
- ปศุสัตว์ บุกยึดเครื่องในและเนื้อสัตว์แช่ถังฟอร์มาลิน ส่งขายร้านหมูกระทะ
- ประกันสังคมร่วมกับรพ.จุฬาภรณ์ ดูแลผู้ประกันตนป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
- เจ้าของอู่เผย lamborghini เคสนี้ ค่าซ่อม 2 ล้านบาท เจ้าของทำใจ ประกันเพิ่งหมด
และในช่วงวันที่ 2 – 3 ธ.ค. 65 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่ปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างมีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศมาเลซียและภาคใต้ตอนล่าง คาดว่า ในช่วงวันที่ 4 – 5 ธ.ค. 65 จะเคลื่อนผ่านภาคใต้ตอนล่างลงสู่ทะเลอันดามัน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคใต้ตอนล่างจะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อมิให้เกิดความสับสน และตื่นตระหนกขึ้นในสังคม หากมีสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพื่อเติมสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.tmd.go.th โทรสายด่วน 1182
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่พบการเกิดพายุตามที่กล่าวอ้าง ซึ่งหากมีพายุเข้าประเทศไทย กรมอุตุนิยมวิทยาจะประกาศให้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน สำหรับในช่วงวันที่ 2 – 5 ธ.ค. 65 คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูง 2 – 3 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร
หน่วยงานที่ตรวจสอบ : กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่ Tnews
ความเห็น 0