โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ข้าคือเถ้าแก่เนี้ยสกุลถังจริงๆ นะ!

นิยาย Dek-D

อัพเดต 04 เม.ย. 2567 เวลา 09.15 น. • เผยแพร่ 04 เม.ย. 2567 เวลา 09.15 น. • หลิวหยาง(รามินทร์)
ข้าคือเถ้าแก่เนี้ยสกุลถังจริงๆ นะ!
ข้าเพียงอยากมาทำการค้าเท่านั้น แต่ทำไมถึงต้องมาเจอเรื่องราววุ่นวายแบบนี้เนี่ย หัวจะปวด!

ข้อมูลเบื้องต้น

เรื่องนี้เป็นภาคต่อของเรื่อง "หนูน้อยสกุลถัง" นะคะ

เหมือนเดิมนิยายของไรต์ไม่อิงประวัติศาสตร์ ข้าวของเครื่องใช้ สัตว์ รวมถึงพืชผักต่างๆ อาจไม่ได้มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่จีน แต่ไรต์เขียนลงไปเพื่อสนองนี้ดตัวเอง เพราะฉะนั้นงดดราม่านะคะ

บทนำ

ในอดีตสกุลถังเป็นเพียงชาวบ้านยากจนที่ทำอาชีพจับปลาไปขายหาเลี้ยงชีพ ในยามนี้เวลาผ่านล่วงเลยมาเก้าปีแล้ว จากชาวบ้านยากจนในอดีตยามนี้กลายเป็นพ่อค้าร่ำรวยอันดับต้นๆ ของเมืองเจียงหนาน กิจการร้านค้าอาจไม่ได้ใหญ่โตนักหากเทียบกับร้านอื่นๆ ในเมือง แต่รายได้หลักของสกุลถังในตอนนี้คือการส่งขายน้ำตาลมะพร้าวเจ้าแรกและเจ้าเดียวในแคว้นต้าชิง มีหลายคนที่พยายามจะเลียนแบบแต่ก็ล้มเหลวไปในที่สุด

นอกจากนี้ยังมีมะพร้าวน้ำหอมสดๆ ส่งขายตามร้านอาหารในหัวเมืองใหญ่ๆ ถึงแม้เมืองอื่นอยากจะซื้อไปขายต่อเพียงใดแต่ก็จนปัญญาด้วยบ้านถังมีกำลังส่งขายไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งนั่นก็เป็นความตั้งใจของเถ้าแก่เนี้ยตัวน้อยผู้เป็นหัวเรือหลักที่แท้จริงของคนสกุลถัง นางกล่าวว่าของที่หายากและเป็นที่ต้องการย่อมมีราคาดี แต่ก็ไม่ควรขาดแคลนจนเกินไป

สกุลถังมีลูกจ้างในกิจการไม่ต่ำกว่าร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นคนในหมู่บ้านเซินหลินที่ทำงานมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ จนตอนนี้โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว ยังมีสหายที่สนิทสนมกันดีของหลิงเหิงที่เขาเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านเดิมเพื่อชักชวนให้มาทำงานโดยเฉพาะ นางเหนียงเจ้าเก่าที่ค้าขายลำบากมาตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งนั้นก็ได้แต่ไม่พอใจเพราะนอกจากจะเสียแหล่งรายได้หลักไปแล้ว ลูกจ้างของนางยังทยอยลาออกไปทำงานให้บ้านถังกันหมด ถึงจะไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ด้วยสามีของนางไม่ยอมลงให้เหมือนในอดีตอีกแล้ว

ด้านคนบ้านถังนั้นไม่ได้รับรู้ถึงความไม่พอใจของนางเหนียง ต่างก็ตั้งใจทำงานและมอบงานให้ชาวบ้านทำเพื่อให้มีรายได้ ผู้เฒ่าลั่วหัวหน้าหมู่บ้านยิ้มหน้าบานที่เห็นความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านดีขึ้นมาก แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ก็มีงานทำและได้รับค่าจ้างเช่นเดียวกัน

ลูกจ้างทั้งหลายต่างรักใคร่และซื่อสัตย์กับนายจ้างบ้านถังที่นอกจากจะไม่ใช้ให้ทำงานหนักจนเกินไปแล้วยังให้ค่าจ้างสูงลิ่ว อีกทั้งยังแบ่งปันของกินรวมถึงทำอาหารกลางวันเลี้ยงบ่อยๆ ไหนเลยพวกเขาจะทำตัวโง่งมเห็นแก่เงินไม่กี่ตำลึงเพื่อสร้างปัญหาให้กับนายจ้างที่ใจดีเช่นนี้ ผู้คนที่คอยจะตีหลังบ้านคนอื่นจึงได้แต่ต้องเก็บความไม่พอใจกลับไป

ขณะที่ลูกจ้างทั้งหลายกำลังนั่งนึกถึงความหลังทั้งของตนและบ้านถังอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนของจางรั่วดังใกล้เข้ามา พลันร่างสีฟ้าก็วิ่งผ่านหน้าไปพร้อมกับเสียงหัวเราะสดใสของเจ้าตัว

“เสี่ยวหลิน! เจ้าเด็กแสบ หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” จางรั่วเดินเร็วๆ มาพร้อมกับถือไม้เรียวติดมือมาด้วย นางเดินเข้าไปดูหม้อแกงในครัวครู่เดียวเจ้าเด็กแสบคนนี้ก็ฉกขนมเซาปิ่งแล้วหนีหายมายังหลังบ้าน พอเห็นหลานสาวหายลับไปกับแนวต้นมะม่วงแล้วนางก็ได้แต่ฟึดฟัดถือไม้เรียวเดินกลับเข้าบ้านไป

“ฮิฮิฮิ ง่ำๆ” เสี่ยวหลิน จากเด็กอ้วนในวันนั้นสู่เด็กสาววัยสิบสี่ปีรูปร่างอวบอิ่ม ผิวขาวนวลแก้มขึ้นสีอมชมพูอย่างคนสุขภาพดี นางกำลังวิ่งหนีท่านยายที่มักจะจับนางมาอบรมมารยาทและเรียนงานเรือนของสตรีอยู่เป็นประจำ

ตอนที่นางอายุสิบขวบตัวดำเห็นแต่ฟันขาวกับลูกตา ถูกท่านยายกับท่านแม่จับขัดตัวด้วยสมุนไพรแทบจะวันเว้นวันจนกลับมาตัวขาวผ่องเหมือนตอนที่ยังเป็นเพียงเด็กหญิงเสี่ยวหลินตัวอ้วนกลม สองแม่ลูกจางรั่วกับฮุ่ยหนิงพยายามที่จะขุนเด็กน้อยให้ตัวกลมเหมือนเดิมแต่ก็ไม่สามารถทำได้ด้วยเจ้าเด็กแสบยังคงแอบวิ่งหนีไปทำงานตลอด แต่ก็ยังดีที่นางไม่ได้ตัวผอมแห้งเหมือนแต่ก่อนแล้ว

ร่างอวบอิ่มเดินขึ้นไปนั่งพิงเสากระท่อมน้อยกลอยใจริมฝั่งลำธารหลังบ้าน มือถือขนมเซาปิ่งชิ้นใหญ่กัดกินอย่างเอร็ดอร่อย พลันมีร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากน้ำทำเอาเด็กสาวร้องตะโกนอย่างตกใจส่วนผู้ที่ถลึงตัวขึ้นมาจากน้ำนั้นยืนเท้าสะเอวหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ

“เสี่ยวหาน! ข้าตกใจหมดเลยเจ้าลูกหมานี่!” เสี่ยวหลินลูบอกป้อยๆ เมื่อเห็นว่าเป็นสหายของตนเอง หลิงหานหัวเราะจนไหล่สั่น เด็กหนุ่มเดินขึ้นจากน้ำมาแย่งขนมอีกชิ้นในมือของสหายไปกินหน้าตาเฉย เสี่ยวหลินได้แต่กำหมัดทำท่าจะทุบหัวคนแต่สุดท้ายก็เอามือลงได้แต่บ่นไปตามเรื่องตามราว

“แล้วนี่เจ้าลงไปทำอะไร ทำความรู้จักกับปลาในลำธารสินะ” นางปรายตามองสหายที่ตัวสูงใหญ่กว่านางไปเกือบสองคืบ ได้แต่เหลือกตามองอย่างหมั่นไส้ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเจ้าลูกหมานี่ตัวอ้วนเท่านางแท้ๆ

“ก่อนหน้านี้ข้าช่วยคนงานอาบน้ำให้ลูกวัวน่ะ แต่น้ำมันเย็นดีก็เลยแช่น้ำนานหน่อย” หลิงหานเอ่ยตอบ เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงมองสหายที่นั่งเหยียดขากระดิกเท้ายิกๆ อย่างสบายอารมณ์

“แล้วนี่เจ้าหนีท่านยายจางมาอีกแล้วหรือ” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม เมื่อเห็นสหายทำหน้ายุ่งเขาก็หัวเราะออกมาอีกรอบ

“ท่านยายนี่ก็จริงๆ เลย ให้ข้านั่งเรียนเย็บผ้ากับบ่นยืดยาวจับข้านั่งหลังตรง สอนข้าว่าเวลากินต้องกินให้เรียบร้อย กินแบบเรียบร้อยมันอร่อยที่ไหนกันเล่า อีกอย่างข้าก็ไม่ได้กินมูมมามเสียหน่อย เจ้าดูนิ้วข้า โดนเข็มทิ่มจนเป็นรูหมดแล้ว” เสี่ยวหลินยื่นมือให้สหายดูทั้งยังบ่นด้วยใบหน้ายับยู่ทำแก้มป่องเหมือนซาลาเปา หลิงหานก็ชะโงกหน้ามามองดูพอเป็นพิธีแล้วกลับไปนั่งกินขนมต่อ

“เจ้าก็เรียนๆ ไปเถอะน่า ดูอย่างมี่เอ๋อร์น้องสาวข้า นางเรียบร้อยอ่อนหวานหยิบจับอาหารเข้าปากชิ้นเล็กน่าเอ็นดูยิ่งนัก”

เสี่ยวหลินได้ยินสหายผู้คลั่งรักน้องสาวเอ่ยขึ้นมาก็เหลือกตามองบนแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เจ้าสหายผู้นี้หายใจเข้าออกก็เป็นน้องสาวตัวน้อยเสียหมด น่าหมั่นไส้จริงๆ

“พี่ใหญ่! พี่ชายหาน มานั่งอยู่ตรงนี้เอง” เทียนอวี่ตะโกนเรียกพี่สาวกับสหายของนางที่สนิทสนมกับที่บ้านถังเป็นอย่างดี เด็กชายตัวกลมวัยแปดขวบเดินจับจูงมือน้องสาวตัวน้อยวัยสามขวบมาด้วย ในมือยังมีตะกร้าประจำตัวใบเล็กที่มักจะใส่ขนมเอาไว้ เขาชอบถือไปด้วยยามออกไปวิ่งเล่น

“เสี่ยวอวี่ เสี่ยวลี่” หลิงหานเอ่ยทักทายเด็กน้อยทั้งสอง

เสี่ยวหลินรีบยัดขนมเข้าปากแล้วเดินเร็วๆ เข้าไปอุ้มน้องสาวตัวกลมแล้วพามานั่งที่กระท่อมน้อยกลอยใจด้วยกัน เทียนอวี่เดินตามพี่สาวไปติดๆ เขาปีนขึ้นกระท่อมเรียบร้อยแล้วจึงเอาจานขนมในตะกร้าใบน้อยออกมาวางไว้ ยังมีกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำดื่มติดมาด้วย

“พี่ใหญ่” เสี่ยวลี่ตัวน้อยกับผมทรงซาลาเปาเงยหน้ามองพี่สาว เสี่ยวหลินเองก็ก้มลงมองน้องน้อยที่มีใบหน้าเหมือนนางราวกับฝาแฝด ยิ่งเห็นแก้มกลมๆ นั่นก็ยิ่งมันเขี้ยวจนต้องก้มลงไปหอมแก้มน้อยๆ ฟอดใหญ่

“คิกคิก พี่ใหญ่” เด็กหญิงตัวน้อยมุดหน้าเข้ากับอกนุ่มของพี่สาว นางซบหน้าอยู่แบบนั้นไม่ยอมนั่งดีๆ เสี่ยวหลินจึงต้องโอบเอาไว้

“แล้วนี่เจ้าไม่ไปเปลี่ยนชุดหรือเสี่ยวหาน” เสี่ยวหลินเงยหน้าขึ้นมาเห็นสหายกำลังนั่งกินขนมกับน้องชายของนางทั้งที่ตัวยังเปียกโชกอยู่จึงเอ่ยถามขึ้นมา

“เดี๋ยวอีกสักพักข้าจะไปดูคนงานที่บ้านเหมือนกัน ขอกินขนมกับเสี่ยวอวี่ก่อน” ที่บ้านของเขาบิดาได้ซื้อที่ดินเพิ่มหลายหมู่เพื่อปลูกมันเทศส่งขายให้บ้านถัง ยังมีที่ดินใกล้บ้านที่แบ่งเอาไว้ปลูกผักขายที่ตลาดเช่นกัน ซึ่งคนงานที่จ้างมาก็เป็นญาติของมารดาที่อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งห่างจากหมู่บ้านไห่ปินราวห้าลี้ โดยบิดาสร้างบ้านหลังน้อยเอาไว้ให้พวกเขาอยู่อาศัยในบริเวณสวนผัก

“พี่ชายไห่เป็นยังไงบ้าง ข้าไม่เห็นหน้าเขามาสักพักใหญ่แล้ว” เสี่ยวหลินเอ่ยถามถึงพี่ชายแสนดีอีกคนที่ท่านเจ้าเมืองมาเห็นแววความเฉลียวฉลาดของเขาตั้งแต่ตอนอายุสิบเจ็ดปีจึงพาเขาไปทำงานด้วย ฝูหลงเองก็ถูกพาตัวไปพร้อมกัน

“พี่ใหญ่ได้รับหน้าที่ให้ไปเป็นผู้ช่วยคนดูแลท่าเรือ กว่าจะกลับบ้านก็มืดค่ำ แต่ท่านเจ้าเมืองมอบม้าให้พี่ใหญ่หนึ่งตัว มันสง่างามมากข้าอยากได้บ้าง” พอพูดถึงม้าเด็กหนุ่มก็มีท่าทีตื่นเต้น ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับ

“เจ้าก็ขอให้ลุงเหิงซื้อให้สิ แค่ม้าตัวเดียวท่านลุงซื้อให้ได้อยู่แล้ว” เสี่ยวหลินตอบกลับไป มือก็เอื้อมไปหยิบขนมมาส่งให้น้องสาว เจ้าตัวน้อยรับขนมมานั่งกินแก้มขยับยุบยับตามการเคี้ยว ส่วนหลิงหานเมื่อได้ยินก็นั่งห่อเหี่ยวพิงเสากระท่อมปากของเขาคาบขนมเอาไว้

“ข้าขอแล้ว แต่ท่านพ่อบอกว่าจะเอามาขี่ไปทำธุระสำคัญที่ไหน งานการก็ทำอยู่แค่ที่บ้านข้ากับบ้านเจ้า เฮ้อ!”

“ก็บอกท่านลุงไปสิ ว่าตอนที่ข้ากับท่านพ่อจะออกไปดูที่ทางต่างเมืองข้าจะพาเจ้าไปด้วย”

“จริงหรือ!” หลิงหานขยับพรวดพราดเข้ามาจ้องหน้าสหายอย่างคาดหวัง เสี่ยวลี่น้อยเห็นอย่างนั้นก็สะดุ้งตกใจรีบมุดหน้าเข้าหาพี่สาวทันที

“อะไรของเจ้าเนี่ย! เสี่ยวลี่ตกใจหมดแล้ว” เสี่ยวหลินรวบกอดน้องสาวแล้วหันไปถลึงตาใส่สหาย แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ เขายังนั่งยิ้มพร้อมกับกะพริบตาปริบๆ อย่างรอคอย เสี่ยวหลินถอนหายใจก่อนจะพยักหน้ารับ

“ใช่ ข้าจะพาเจ้าไปด้วย”

“เยส! ข้าจะไปบอกท่านพ่อ” เด็กหนุ่มร่างสูงวิ่งพรวดพราดออกไปทิ้งให้สามพี่น้องนั่งมองตามตาปริบๆ

“พี่ชายหานพูดว่าเยสหรือขอรับ” เทียนอวี่หันมาถามพี่สาว เสี่ยวหลินหัวเราะแห้งๆ

“สงสัยได้ยินตอนพี่พูดกับท่านอาโนเอลละมั้ง” เทียนอวี่น้อยได้ยินก็พยักหน้าหงึกหงัก เขาก้มลงหยิบขนมเข้าปากต่อ

เสี่ยวหลินลูบหัวน้องชายกับน้องสาวเบาๆ ไม่นานมานี้เด็กน้อยทั้งสองมารบเร้าขอให้นางช่วยสอนภาษาที่สามารถพูดคุยกับท่านอาผมทองได้ นางจึงสอนไปสี่ห้าคำ เป็นคำทักทาย คำขอโทษและคำตอบรับนิดๆ หน่อยๆ พอได้ยินสหายของนางพูดออกมาเด็กน้อยจึงหันมาถาม

“เสี่ยวอวี่ อีกไม่นานพี่สาวกับท่านพ่อต้องออกไปทำงานไกลมากๆ พี่สาวฝากเจ้าดูแลท่านยาย ท่าแม่กับเสี่ยวลี่ได้หรือไม่” เสี่ยวหลินมองน้องชายตัวกลมที่มักจะวิ่งตามนางไปตรวจงานบ่อยครั้งจนถูกท่านยายดุทั้งพี่ทั้งน้องอยู่บ่อยๆ

“ได้ขอรับ เสี่ยวอวี่เป็นบุรุษจะช่วยดูแลท่านแม่ ท่านยายและน้องเล็กช่วยพี่ใหญ่เอง” เด็กชายทำหน้าขึงขัง แต่แก้มกลมๆ ของเขาก็ขยับตามการเคี้ยวไปด้วยเพราะหยิบขนมเข้าปากไม่หยุด เสี่ยวหลินเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะออกมา

“เด็กดี”

“เสี่ยวลี่เด็กดี” เจ้าตัวน้อยบนตักเองก็เงยหน้ามองพี่สาวตาแป๋วรอรับคำชมเช่นเดียวกัน เสี่ยวหลินเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะเบาๆ แล้วก้มลงกอดหอมน้องน้อยอย่างมันเขี้ยว

“เสี่ยวลี่เด็กดี”

“ฮิฮิ”

##################################

มาแล้ววว กรี๊ด สารรูปว่านังไรต์ห่างหายไปนานออกอาการเขียนนิยายไม่ออก นั่งจ้องจอโง่ๆ มาหลายวันเลย วันนี้ได้มาแล้วว หวังว่าคุณรี้ดจะยังไม่หยิบมีด พร้า ขวานหรือใดๆ รอเฉาะหัวนังไรต์นะคะ

ตอนที่1 พี่ชายที่ไม่ได้เจอกันนาน

เสียงพูดคุยดังอยู่ในห้องโถงทำให้เด็กสาวที่ตื่นสายโด่งจนเกือบจะใกล้เที่ยงเดินออกมาดูอย่างสงสัย เสี่ยวหลินเดินออกมาจากห้องในสภาพที่ผมฟูฟ่องมือเกาก้นมาหยุดอยู่ตรงประตูห้องโถง

“เสี่ยวหลิน!” เสียงแตกหนุ่มตะโกนออกมาเมื่อเห็นน้องสาวตัวน้อยในอดีตยืนหัวฟูอยู่ห่างออกไป

เสี่ยวหลินที่ยังคงเมาขี้ตาอยู่ยกมือขึ้นมาขยี้ตาเพื่อจะมองดูว่าใครที่เอ่ยเรียกนาง ก่อนจะตกใจจนสะดุ้งเมื่อร่างนั้นพุ่งเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับยิ้มกว้างจนตาหยี เสี่ยวหลินกะพริบตาปริบๆ ยืนนึกคิดว่าเคยรู้จักกับคนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่

“พี่ชายเหวิน!” พอนึกขึ้นได้เสี่ยวหลินก็ตะโกนขึ้นมา สองพี่น้องต่างสายเลือดจับมือกันเขย่าพร้อมกับกระโดดดึ๋งๆ อย่างตื่นเต้น

“เด็กสองคนนี้นี่อย่างไร เสี่ยวหลิน ไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย ออกมาสภาพนี้ได้อย่างไร เดี๋ยวท่านยายของลูกก็ถือไม้เรียวมาฟาดเอาเสียหรอก” เทียนหรงส่ายหัวเมื่อเห็นสภาพของบุตรสาว ยังดีที่นางแต่งตัวมิดชิดไม่อย่างนั้นเขาคงได้ไล่แขกออกจากบ้านเพราะหวงบุตรสาวแน่ๆ

“อย่างนั้นพี่ชายเหวินรอก่อนนะเจ้าคะ ข้าขอไปอาบน้ำก่อน” เสี่ยวหลินยิ้มแห้งส่งให้บิดาแล้วรีบหันมาเอ่ยบอกพี่ชายที่ไม่ได้เจอกันเกือบสิบปี

“ได้ๆ ข้าจะรอนะ” หวนลู่เหวินมองตามน้องสาวที่วิ่งสลับกระโดดตึงตังหายเข้าห้องไป เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ แล้วเดินกลับไปนั่งด้านข้างของบิดา

“บุตรสาวของเจ้าก็ยังคงแสบซนไม่เปลี่ยน” หวนชางหัวเราะในลำคอ

“ทำเอามารดากับท่านยายของนางปวดหัวไม่เว้นแต่ละวันเลยล่ะขอรับ บางวันก็ปีนต้นไม้ไปนั่งกินผลไม้หน้าตาเฉย” เทียนหรงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ฮ่าๆๆ เหมือนน้องสาวของข้าไม่มีผิด” หวนชางหัวเราะเสียงดังในหัวนึกถึงภาพน้องสาวของตนที่ปีนต้นไม้แทบจะทุกวันทำเอาบิดากับมารดาปวดหัวบ่อยๆ

ด้านเสี่ยวหลินก็รีบหยิบของวิ่งเข้าห้องน้ำอาบน้ำอย่างรวดเร็วพร้อมกับแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยจากนั้นก็มานั่งยิ้มแฉ่งอยู่ด้านข้างบิดาของตน

“ท่านลุงหวน พี่ชายเหวิน มาเที่ยวหรือเจ้าคะ”

“ลุงพาพี่ชายเจ้ามาฝากเป็นศิษย์ของบิดาเจ้า” หวนชางตอบกลับเด็กสาวแก้มป่องที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“เอ๋” เสียวหลินกะพริบตาปริบๆ มองหวนลู่เหวินที่ยังคงนั่งยิ้มกว้างอวดฟันขาวเรียงเป็นระเบียบเหมือนเดิม ก่อนจะหันมาหาบิดาของนาง

“พี่ชายเหวินของเจ้าอยากทำการค้า ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ท่านลุงต้านของเจ้าไม่ค่อยอยู่ติดบ้านนักจึงไม่สามารถสอนพี่ชายเหวินของเจ้าได้”

“ข้าเองก็อยากเปิดร้านอาหารทะเลบ้างเลยมาขอให้ท่านอาหรงสอนล่ะ” หวนลู่เหวินพูดออกมาบ้าง

“จริงสิ เมื่อก่อนท่านเคยบอกว่าอยากเปิดร้านอาหารทะเลนี่เจ้าคะ ดีเลย เราพาพี่ชายเหวินเดินทางไปด้วยดีไหมเจ้าคะท่านพ่อ เขาจะได้ศึกษาตั้งแต่การดูที่ดินเปิดร้านไปเลย” เสี่ยวหลินหันไปเอ่ยถามบิดาอย่างตื่นเต้น

“เดินทางไปไหนกันหรือ” หวนชางเอ่ยถามขึ้นมาเพราะเขาคิดว่าบุตรชายจะต้องเข้าไปเรียนรู้ที่ร้านค้าของบ้านถังในเมืองเจียงหนานเท่านั้น

“เรากำลังวางแผนที่จะไปเปิดกิจการที่ต่างเมืองน่ะขอรับ ข้าคิดอย่างที่เสี่ยวหลินพูด ให้เสี่ยวเหวินเรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้นสร้างร้านค้าก็เป็นความคิดที่ดีไม่น้อย ยามที่เขาไปทำร้านเองจะได้รู้ทุกขั้นตอน”

“ว่าอย่างไร เจ้าอยากไปหรือไม่” หวนชางหันไปเอ่ยถามบุตรชาย หวนลู่เหวินพยักหน้ารับหงึกหงัก

“อยากไปขอรับท่านพ่อ”

“แล้วจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่เล่า” พอเห็นบุตรชายรับคำหวนชางก็หันกลับมาถามเทียนหรงเพิ่ม

“คิดว่าน่าจะไม่เกินหนึ่งเดือนขอรับ ตอนนี้ข้ากำลังเตรียมส่งงานให้หัวหน้าคนงานอยู่ หากเรียบร้อยก็จะออกเดินทางเลย”

“อืม อย่างนั้นข้าขอฝากบุตรชายด้วยก็แล้วกันนะ”

“ได้เลยขอรับ”

หวนชางเอ่ยปากอยากเห็นท่าเรือสกุลถังเทียนหรงจึงพาเขาไปดู หวนลู่เหวินกับเสี่ยวหลินจึงขอตามไปด้วย สองพ่อลูกมองดูท่าเรือที่มีเรือประมงลำใหญ่เทียบอยู่ถึงสามลำอย่างตื่นตา ไม่คิดว่าภายในระยะเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมาสกุลถังจะเติบโตขึ้นมากขนาดนี้

“ท่าเรือนี้เป็นของเจ้าอย่างนั้นหรือ” หวนชางหันไปถามเทียนหรง

“ขอรับ แต่ชายหาดไม่ได้เป็นของข้านะขอรับ เพียงเช่าที่เท่านั้น” หวนชางพยักหน้ารับ คิดว่าพวกขุนนางคงไม่ใจดีขายที่ดินชายหาดให้ใครแน่นอน

“พี่ชายเหวิน ไปดูแผงตากปลากันเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลินเห็นว่าผู้ใหญ่พูดคุยกันอยู่จึงเอ่ยชวนหวนลู่เหวินไปอีกด้านหนึ่ง

เด็กหนุ่มเดินตามน้องสาวไปยังแผงตากปลาที่ทอดยาวไปไกล มีทั้งตากหมึก ตากปลา ตากหอย ตากกุ้งตัวเล็ก คนงานราวห้าสิบคนกำลังทำงานกันอย่างขยันขันแข็งพวกเขาผิวเข้มเพราะทำงานตากแดดชายทะเลทั้งวัน เทียนหรงเองก็มีผิวเข้มขึ้น ยิ่งตอนที่บุตรสาวโตเป็นสาวมีใบหน้าน่ารักเขาก็เริ่มไว้หนสวดอย่างจริงจังส่งให้ใบหน้ายิ่งคมเข้มมากขึ้น ไหนจะตัวที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนั่นอีก เข้าเมืองคราใดก็มีสาวแก่แม่ม่ายโยนผ้าเช็ดหน้าให้ไม่ไว้เว้นแต่ละวัน

“มีกุ้งตากแห้งด้วยหรือ ข้าไม่เคยกินเลย” หวนลู่เหวินยืนมองกุ้งตัวเล็กตากแห้งอยู่เต็มแผง

“เพิ่งทำได้ปีกว่าๆ เจ้าค่ะ ท่านลุงออกเรือไปไกลได้กุ้งตัวเล็กมาเยอะมากข้าเลยให้พวกเขาตากแห้ง”

“มันเอาไปทำอะไรกินได้บ้าง”

“มาถึงก็คิดถึงเรื่องกินเลยหรือเจ้าคะ” เสี่ยวหลินพูดจบก็หัวเราะคิกคัก หวนลู่เหวินได้ยินอย่างนั้นก็ลูบท้ายทอยอย่างเก้อเขิน

“ก็อาหารบ้านเจ้าอร่อยนี่นา”

สองพี่น้องต่างสายเลือดเดินดูแผงตาปลาไปเรื่อยเปื่อย เสี่ยวหลินยังเอาอาหารตากแห้งที่พร้อมนำเข้าไปขายแล้วใส่ถุงผ้าให้ท่านลุงหวนเอากลับบ้านไปด้วย

หลังจากกลับมาทานมื้อเที่ยงกันแล้วหวนชางก็ขอตัวกลับเมืองจิ้งหนาน สองพ่อลูกเดินทางมาด้วยการขี่ม้าจึงใช้เวลาเร็วกว่าการนั่งเกวียนทำให้มาถึงเมืองเจียงหนานในช่วงเกือบเที่ยง พอร่ำลาบิดาเสร็จเรียบร้อยหวนลู่เหวินก็ขอตามติดน้องสาวไปดูงานที่สวนฟังจากที่นางเล่าแล้วเขาก็อยากจะเห็นว่าบ้านถังเติบโตไปมากแค่ไหนแล้ว

“ข้าจับเป็ดมาฟักไข่แล้วเลี้ยงเอาไว้ตอนนี้ก็มีราวสามร้อยตัวแล้วเจ้าค่ะ จากตอนแรกที่ขุดสระบัวไม่ใหญ่มากก็ต้องขุดขยายออกไปเพิ่มอีกเพราะมีเป็ดมากขึ้น ถัดจากสระบัวเป็นสวนสับปะรดกับสวนมะม่วงเจ้าค่ะ มีสวนส้มกับสวนทับทิมอยู่ด้วยแต่ข้าปลูกเพียงอย่างละยี่สิบต้นเท่านั้น แต่ที่ปลูกเยอะที่สุดก็คือต้นมะพร้าวน้ำหอมเจ้าค่ะ มีถึงสองร้อยต้นเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวหลินพูดเสียงเจื้อยแจ้วขณะพาพี่ชายที่ไม่ได้เจอกันเกือบสิบปีเดินลัดเลาะไปยังสวนของนางที่อยู่ห่างออกไป

“เจ้าขายมะพร้าวน้ำหอมด้วยหรือ” หวนลู่เหวินเบิกตากว้างเมื่อน้องสาวบอกว่ามีต้นมะพร้าวถึงสองร้อยต้น

“ใช่เจ้าค่ะ ปลูกที่สวนกับปลูกเพิ่มที่ป่ามะพร้าว ที่สวนข้าจะขายทั้งลูกส่วนที่ป่ามะพร้าวข้าเอาไว้ทำน้ำตาลมะพร้าวเจ้าค่ะ”

“น้ำตาลมะพร้าวที่กำลังขายอยู่ในแคว้นตอนนี้เป็นของเจ้าเองหรอกหรือ ข้าได้ยินท่านน้าเขยบ่นว่ามีคู่แข่งที่น่ากลัว ที่ไหนได้เป็นคนกันเอง” หวนลู่เหวินพูดให้น้องสาวฟัง เสี่ยวหลินได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะคิกคัก

เจ้าสหายตัวโตนั่นพูดเหมือนนางเป็นตัวร้าย น้ำตาลอ้อยของเขาขายก่อนนางตั้งกี่สิบปีถึงกับส่งขายไปต่างแคว้นแล้ว แต่น้ำตาลของนางเพิ่งจะออกนอกแคว้นได้เมื่อปีที่ผ่านมานี่เอง

“จริงสิเจ้าคะ ท่านได้ข่าวพี่ชายหลางกับพี่ชายหลงบ้างหรือไม่ พวกเขาไม่ได้ส่งจดหมายมาให้ข้าสี่ปีแล้ว” เสี่ยวหลินเอ่ยถามอย่างนึกขึ้นได้ หวนลู่เหวินได้ยินอย่างนั้นก็ยืนคิ้วขมวด

“พวกเขาก็ส่งจดหมายกลับไปที่บ้านปกตินะเสี่ยวหลิน ส่งไปทุกเดือนด้วยซ้ำ มันมีปัญหาที่ร้านจัดส่งของหรือเปล่า”

เสี่ยวหลินได้ยินอย่างนั้นก็คิ้วขมวดเช่นกัน หากร้านจัดส่งมีปัญหาก็น่าจะแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งไม่ใช่หรือ พอจัดการปัญหาแล้วเสร็จก็น่าจะเอาของทั้งหมดที่ส่งก่อนหน้านี้มาให้สิ แต่นี่เงียบหายไปสี่ปีมันแปลกๆ อยู่นะ

“แล้วพวกเขาสบายดีหรือเปล่าเจ้าคะ”

“สบายดี หลังจบจากสำนักศึกษาตอนอายุสิบแปดพวกเขาก็ช่วยท่านน้าเขยดูแลกิจการที่เมืองหลวงและเมืองใกล้เคียงแถวนั้น ช่วงที่ว่างก็แวะมาที่บ้านด้วยนะ”

ยิ่งได้ฟังเสี่ยวหลินก็ยิ่งคิดว่ามันแปลก ไม่ได้แปลกที่ร้านรับส่งของแต่แปลกที่พวกเขามากกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะลืมน้องสาวคนนี้ไปแล้วหรืออาจจะไม่อยากติดต่อกับนางแล้วก็เป็นได้ ถึงขนาดกลับมาที่บ้านบ่อยๆ เมืองเจียงหนานก็ใกล้แค่นี้พวกเขายังไม่เสียเวลาแวะมาก็ช่างมันเถิด นางจะไม่สนใจแล้ว

หวนลู่เหวินมองน้องสาวที่เดินฟึดฟัดจากไปอย่างงุนงง ตั้งใจเอาไว้ว่าหลังจากที่ดูสวนกับเสี่ยวหลินแล้วจะกลับไปเขียนจดหมายส่งไปถามพี่ชายเสียหน่อย เพราะเขาคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาที่ร้านรับส่งของแล้วล่ะ

“โอ้โห สวนมะพร้าวของเจ้าทอดยาวไปไกลสุดสายตาเลย” หวนลู่เหวินเบิกตากว้างมองดูต้นมะพร้าวที่กำลังออกลูกดกเรียงรายอยู่บนแปลงที่ดิน ด้านข้างเป็นร่องน้ำทอดยาวไปเช่นเดียวกัน

“มาเจ้าค่ะ ข้าจะเฉาะมะพร้าวให้ท่านชิม น้ำมะพร้าวที่ข้าปลูกหอมหวานกว่าน้ำมะพร้าวในป่าอีกนะเจ้าคะ”

เสี่ยวหลินเดินนำเข้าไปในสวนมะพร้าว นางร้องเรียกคนงานให้เก็บมะพร้าวมาให้สองลูกพร้อมกับขอมีดมาด้วย แต่คนงานไม่ยอมให้คุณหนูของพวกเขาจับมีดกลับเก็บมะพร้าวแล้วเฉาะให้เรียบร้อยก่อนค่อยส่งมาให้ ส่วนคุณหนูของพวกเขานั้นได้แต่รับมะพร้าวมาพร้อมกับหน้ายับยู่ หวนลู่เหวินเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะเสียงดัง

“พวกเขาทำเหมือนข้าเป็นคุณหนูผู้บอบบางไปได้” เสี่ยวหลินบ่นอุบอิบ ขาก็เดินนำพี่ชายไปยังกระท่อมน้อยกลางสวนแล้วนั่งแหมะลงที่ชานกระท่อม

“ถึงจะไม่ใช่แต่เจ้าก็เป็นสตรี พวกเขาทำถูกแล้วล่ะ” หวนลู่เหวินนั่งลงด้านข้าง เขายกมะพร้าวขึ้นดื่มน้ำหอมๆ และเย็นสดชื่นทำให้เขาเบิกตามอง น้ำมะพร้าวของน้องสาวหวานหอมกว่าที่ป่ามะพร้าวจริงๆ ด้วย

“สดชื่นมากเลย ข้าอยากให้ท่านแม่กับน้องๆ ได้มากินบ้าง”

“ท่านก็จ้างรถม้าส่งของไปส่งที่บ้านสิเจ้าคะ ที่เมืองเจียงหนานมีรถม้าส่งของด้วยนะ เก็บไปได้เต็มที่เลยเจ้าค่ะ”

“จริงหรือ ขอบใจเจ้ามากนะ อย่างนั้นวันไหนที่เจ้าจะเข้าเมืองข้าขอไปด้วยนะ จะได้ไปจ้างรถม้าด้วย”

“ได้เจ้าค่ะ”

ขณะที่สองพี่น้องต่างสายเลือดกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่นั้นหลิงหานก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม แต่พอเห็นเด็กหนุ่มแปลกหน้านั่งอยู่กับสหายเขาก็ขมวดคิ้ว เสี่ยวหลินเห็นสหายก็กระซิบบอกหวนลู่เหวินว่าคนที่วิ่งเข้ามาคือใคร สองพี่น้องจึงได้นั่งรอหลิงหานจนเด็กหนุ่มเดินเข้ามาหยุดยืนข้างสหายของตน

“ใครหรือเสี่ยวหลิน” หลิงหานมองดูเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่ส่งยิ้มมาให้

“เจ้ามองดูดีๆ สิเสี่ยวหาน” เสี่ยวหลินไม่ตอบ นางยกมะพร้าวขึ้นดื่มอย่างเอร็ดอร่อย

หลงหานขมวดคิ้วมุ่นมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้าที่น่าจะอายุมากกว่าเขาสักสองสามปีอย่างครุ่นคิด พลันมีภาพพี่ชายคนหนึ่งในวัยเด็กเข้ามาในหัวเขาจึงเอ่ยถามออกมาอย่างไม่แน่ใจนัก

“พี่ชายเหวินหรือขอรับ”

“ฮ่าๆ ใช่แล้ว” หวนลู่เหวินหัวเราะออกมา

“พี่ชายเหวิน! ท่านนั่นเอง ไม่เจอกันนานเลยนะขอรับ” หลิงหานกระโดดเข้ามานั่งด้านข้างหวนลู่เหวิน เจ้าตัวยิ้มกว้างจนตาหยีต่างจากเมื่อครู่ที่ขมวดคิ้วจนหน้ายับ

“ใช่แล้ว เจ้าสบายดีหรือไม่อาหาน” หวนลู่เหวินลูบหัวเด็กหนุ่มที่ทำหน้าเหมือนกับหมาเจอเจ้าของ ยังดีที่เจ้าตัวไม่มีหางกระดิกอยู่ด้านหลัง

“สบายดีขอรับ แล้วท่านมาเที่ยวหรือขอรับ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างหลับตารับสัมผัสของพี่ชายที่ไม่ได้เจอกันนาน

“ข้ามาเรียนรู้การทำการค้ากับท่านอาหรง”

“จริงหรือขอรับ! ดีเลย ข้ากับเสี่ยวหลินจะได้มีเพื่อน เพราะพี่ใหญ่ก็ไม่ได้อยู่ทำงานช่วยพวกเรา”

“พี่ชายไห่ไปไหนหรือ” หวนลู่เหวินเลิกคิ้วพร้อมกับเอ่ยถามอย่างสงสัย

“พี่ใหญ่ไปทำงานให้ท่านเจ้าเมืองขอรับ”

“โอ้ พี่ชายไห่ถึงกับเป็นคนของเจ้าเมืองเลยหรือ เก่งจริงๆ”

เสี่ยวหลินหรี่ตามองบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างคนทั้งสอง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักนางหันมาหยิบมีดผ่ามะพร้าวแล้วแกะเนื้อกินเคี้ยวหงุบหงับ

“ใช่ขอรับ เขาไปทำงานให้ท่านเจ้าเมืองได้สองปีแล้ว”

“ดีๆ”

“ว่าแต่วิ่งยิ้มหน้าบานมามีเรื่องดีอะไรหรือเสี่ยวหาน” เสี่ยวหลินเอ่ยถามสหาย หลิงหานเหมือนจะนึกขึ้นได้จึงชะโงกหน้าไปเอ่ยกับสหายแก้มกลม

“จริงสิ! ข้าไปขอท่านพ่อเรื่องที่เราคุยกันเมื่อวานแล้ว ท่านพ่อตกลงด้วยล่ะ พรุ่งนี้ท่านพ่อจะพาข้าไปดูม้าในเมือง”

“ดีเลย เสร็จแล้วก็แวะไปหาข้ากับพี่ชายเหวินที่ร้านหมูกระทะนะ เราไปกินหมูกระทะกัน”

“ได้เลย!”

เสี่ยวหลินทิ้งให้สองหนุ่มนั่งพูดคุยกันส่วนนางเดินออกไปดูในสวน คนงานกำลังถางหญ้ากันอย่างขะมักเขม้นนางเดินไปสั่งงานบ้างเป็นบางครั้งจนเดินไปถึงสวนมะม่วงที่มีต้นสับปะรดปลูกเป็นแนวยาวระหว่างช่องว่างระหว่างต้นมะม่วง เห็นมะม่วงสุกอยู่ในต้นจึงจัดการปีนขึ้นไปแล้วเด็ดมะม่วงมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย

“คุณหนูขึ้นต้นมะม่วงอีกแล้วหรือขอรับ” คนงานคนหนึ่งเดินมาเจอคุณหนูของเขาที่นั่งอยู่บนกิ่งมะม่วงกัดกินมะม่วงสุกอย่างสบายอารมณ์

“ก็บนนี้มันลมเย็นนี่เจ้าคะ ท่านลุงไม่ต้องสนใจเสี่ยวหลินหรอกเจ้าค่ะ ท่านทำงานตามสบายเลย” เสี่ยวหลินโบกมือไปมา ปากก็อ้างับมะม่วงคำใหญ่ คนงานเห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจแล้วเดินกลับไปทำงานต่อ

“ท่านลุง ถ้าว่างแล้วเก็บมะม่วงไปส่งที่โรงงานด้วยนะเจ้าคะ มันสุกหลายต้นแล้วจะได้เอาไปทำมะม่วงกวน” เสี่ยวหลินตะโกนบอกคนงานคนเดิมที่ทำงานอยู่ไม่ไกล

“ได้ขอรับ หลังจากพักเที่ยงลุงจะเก็บให้นะขอรับ” คนงานตะโกนตอบกลับมา

“ได้เจ้าค่ะท่านลุง”

หลังจากกินมะม่วงจนอิ่มแล้วเสี่ยวหลินก็ลงจากต้นมะม่วงแล้วเดินทอดน่องไปที่สระบัว มองดูเป็ดฝูงใหญ่กำลังลอยอยู่ในน้ำหาหอยหาปลากินเป็นอาหาร อีกมุมหนึ่งมีคนงานกำลังงมรากบัวกันอยู่สี่ห้าคนเสี่ยวหลินจึงเดินเข้าไปยืนดู

“อ้าว ท่านลุงเวิงลงไปงมรากบัวเองเลยหรือเจ้าคะ” เสี่ยวหลินตะโกนถามเวิงสุ่ยที่กำลังก้มงมรากบัวอย่างเมามัน

“อ้าวเสี่ยวหลิน ลุงอยู่ว่างๆ ก็เลยลงมาช่วยงมน่ะ แล้วนี่หนีท่านยายของเจ้ามาอีกแล้วหรือ”

“ฮิฮิ ไม่ใช่เจ้าค่ะ พอดีมีพี่ชายที่รู้จักมาเยี่ยมน่ะเจ้าค่ะ จริงๆ ท่านลุงก็รู้จักนะเจ้าคะ เพียงแต่เขาไม่ได้มาที่บ้านเราเกือบสิบปีแล้ว”

“ที่อยู่เมืองข้างๆ ใช่หรือไม่”

“ใช่เจ้าค่ะ”

เสี่ยวหลินพูดคุยกับเวิงสุ่ยอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะมีคนงานมาตามเพราะหลิงหานกับหวนลู่เหวินตกลงกันว่าจะไปกินหมูกระทะกันในวันนี้เลย เสี่ยวหลินจึงจำต้องเดินกลับไปหาเด็กหนุ่มทั้งสองที่กระท่อมหน้าทางเข้าสวนมะพร้าว

########################################################

ขออภัยในความวุ่นวายนะคะ

สุขสันต์วันเกิดคุณ"Tui"ด้วยนะคะ ไม่รู้ชื่อไทยเขียนยังไงไม่กล้าเดา แหะๆ ขอให้มีความสุข สุขภาพร่างกายแข็งแรง ร่ำรวยเงินทองนะคะ

ตอนที่2 เสี่ยวหลินชวนชิม

สองสหายนั่งอยู่บนรถม้าของบ้านถังโดยมีคนงานบังคับรถม้าไปส่งให้ถึงในเมืองเจียงหนาน ส่วนหวนลู่เหวินนั้นขี่ม้าเหยาะๆ ขนาบข้างรถม้า หลิงหานเห็นม้าตัวใหญ่ก็ตาวาวอยากลองขี่บ้างหวนลู่เหวินเอ่ยชวนแต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธไปด้วยกลัวว่าเจ้าม้าจะรับน้ำหนักเด็กหนุ่มสองคนพร้อมกันไม่ไหว ได้แต่นั่งเกาะกรอบหน้าต่างรถม้ามองดูม้าตัวสีน้ำตาลสวยตาเป็นประกาย

เสี่ยวหลินหรี่ตามองสองหนุ่มที่ดูจะพูดคุยกันถูกคอเสียเหลือเกิน เลือดสาววายที่มอดดับไปนานแล้วกำลังเดือดปุดๆ ขึ้นมาอีกครั้งแต่พอนึกขึ้นได้ว่าในยุคสมัยนี้ยังไม่เปิดกว้างเกี่ยวกับเรื่องทางเพศจึงปัดความคิดไร้สาระทิ้งไป นางยังไม่เคยได้ยินว่าหากมีคนที่มีความแตกต่างทางเพศเกิดขึ้นคนที่นี่จะมีปฏิกิริยายังไงบ้างแต่คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน อาจจะมีคนที่รักชอบเพศเดียวกันอยู่แทบทุกยุคสมัยแต่น่าจะเก็บไว้เป็นความลับมากกว่า

ไม่นานรถม้าก็มาจอดที่หน้าร้านหมูกระทะซึ่งมีการขยับขยายร้านเพิ่มขึ้นจากในอดีต ตอนนี้มีโต๊ะราวห้าสิบโต๊ะเรียกได้ว่าเป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองเลยก็ว่าได้ เนื่องจากร้านอื่นจะนิยมทำหลายชั้นในแต่ละชั้นจึงไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก ร้านอาหารทะเลกับร้านลาบเองก็ขยายขนาดออกกว้างเช่น ส่วนร้านอาหารแห้งนั้นยังคงมีขนาดเท่าเดิมเพราะไม่ต้องกักตุนอาหารจำนวนมาก เพียงขนสินค้ามาส่งที่ร้านไม่ถึงครึ่งชั่วยามเหล่าพ่อค้าต่างเมืองที่รออยู่ก็รีบมาซื้อของไปอย่างรวดเร็ว

"ท่านอา!" เสี่ยวหลินตะโกนเรียกท่านอาของนางที่กลับมาตัวผอมและหล่อเหลาเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือกลายเป็นชายหนุ่มคลั่งกล้ามปูเหมือนกับบิดาของนางไม่มีผิด สาวๆ ในเมืองต่างแวะเวียนมาเมียงมองตลอดทั้งวันจนพื้นร้านแทบจะทรุดกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่แล้ว

"อ้าว มาทำอะไรกันเล่า" เทียนเฉินจากเด็กหนุ่มตัวตะกละตามติดหลานสาวทุกครั้งที่มีของกินยามนี้กลายเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาไปแล้ว เขามองดูเด็กหนุ่มที่เดินตามหลังสองสหายมาอย่างครุ่นคิด

"คารวะท่านอาเฉินขอรับ" หวนลู่เหวินโค้งคำนับเทียนเฉินอย่างนอบน้อม เขามองเทียนเฉินตาเป็นประกาย เมื่อช่วงสายเขาก็มองท่านอาเทียนหรงตาวาวเช่นเดียวกัน เขาอยากมีหุ่นสมชายชาตรีเหมือนสองพี่น้องบ้านถังบ้างไม่อยากมีตัวผอมแห้งเก้งก้างแบบนี้สักเท่าไหร่

"อาเหวินหรือ" เทียนเฉินเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ พอเห็นเด็กหนุ่มยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้ารับเขาจึงตบไหล่หวนลู่เหวินเบาๆ

"ไม่เจอกันนานโตเป็นหนุ่มขนาดนี้แล้ว แสดงว่าที่พากันมาถึงที่นี่ก็เพื่อมากินหมูกระทะสินะ" เทียนเฉินมองเด็กหนุ่มสาวทั้งสามอย่างรู้ทัน

เสี่ยวหลินหัวเราะคิกคักก่อนจะเดินไปกอดแขนท่านอาของนางอย่างออดอ้อน เหล่าลูกค้าประจำนั้นต่างคุ้นชินกับการแสดงออกอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ของบ้านถังเป็นอย่างดี แต่กับลูกค้าที่มาจากที่อื่นนั้นไม่ใช่ พวกเขาต่างหันไปกระซิบกระซาบพร้อมกับพูดถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมของเด็กสาวอย่างสนุกสนาน เสี่ยวหลินเองก็ได้ยินแต่ไม่ได้คิดอะไรเพราะชาวเมืองเจียงหนานส่วนใหญ่รู้จักบ้านของนางเป็นอย่างดี ส่วนคนจากเมืองอื่นนั้นเพียงพบหน้ากันครั้งเดียวแล้วก็แยกย้ายกันไปดังนั้นคำพูดสนุกปากของพวกเขาคงไม่ส่งผลอะไรต่อชีวิตของนางมากนัก

"พี่ชายเหวินมาทั้งทีเสี่ยวหลินเลยพามากินหมูกระทะเจ้าค่ะ เขาไม่ได้กินมาเกือบสิบปีคงจะคิดถึงอาหารที่เมืองเจียงหนานมากแน่ๆ" เสี่ยวหลินซบแก้มป่องของนางลงบนไหล่แน่นๆ ของท่านอา

"ใช่ขอรับ ข้าคิดถึงอาหารที่ร้านบ้านถังทุกอย่างเลย ไม่อยากจะบ่นเลยว่ากลับจากบ้านถังไปแล้วข้ากินอาหารไม่อร่อยไปเป็นเดือนเลยขอรับ" หวนลู่เหวินพูดขึ้นมาพร้อมกับทำหน้ายับ ทุกคนได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะออกมา

"อย่างนั้นก็เข้าไปรอในห้องพักนะ เดี๋ยวอาไปสั่งคนให้ยกเข้าไปให้ รู้หรือไม่ว่าน้องสาวของเจ้าทำลูกชิ้นสอดไส้ชีสด้วย" เทียนเฉินพูดไปมือก็บีบแก้มหลานสาวไปด้วย ส่วนเสี่ยวหลินก็อ้าปากเตรียมงับนิ้วท่านอาของนางเช่นเคยเพราะพอโตขึ้นก็ไม่ค่อยชอบให้ใครมาบีบแก้มแล้วนอกจากน้องสาวตัวน้อย เทียนเฉินเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะอย่างชอบใจก่อนจะโยกหัวหลานสาวอย่างมันเขี้ยว

"ลูกชิ้นสอดไส้ชีสหรือขอรับ ข้าอยากลองกินแล้ว" หวนลู่เหวินเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น

"อย่างนั้นก็ไปรอก่อน เดี๋ยวอาจะไปสั่งคนในครัวให้"

"ขอรับ"

ทั้งสามคนเดินเข้าไปรอในห้องพักโดยมีเสี่ยวหลินคอยเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องที่บ้านของนางให้ฟังสลับกับให้หลิงหานเล่าบ้าง หวนลู่เหวินทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีบางครั้งก็เอ่ยถามอย่างสงสัยสองสหายเองก็ตอบกลับอย่างไม่ติดขัด รอจนอาหารทยอยยกเข้ามาวางให้จนเรียบร้อยทั้งสามจึงลงมือคีบของสดลงในกระทะ

"ท่านอาไม่กินด้วยกันหรือขอรับ" หวนลู่เหวินเงยหน้าถามเทียนเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้าง

"พวกเจ้ากินเถอะ อากินแล้ว เดี๋ยวอาจะออกไปดูลูกค้าด้านนอกสักหน่อย จะเอาน้ำมะพร้าวหรือไม่เล่า"

"เอาขอรับ วันนี้ข้ายังไม่ได้กินน้ำมะพร้าวเลย" หลิงหานเอ่ยขึ้นมา มือหยิบกุ้งชุบแป้งทอดมาเข้าปากเคี้ยวหงุบหงับ

"อย่างนั้นก็ตามสบายเลยนะ" เทียนเฉินยืนมองเด็กๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไปด้านนอกปล่อยให้เด็กตะกละทั้งสามคีบของสดลงกระทะอย่างเมามัน

"ข้าไม่ได้กินหมูกระทะมานานแค่ไหนแล้วนะ" หลิงหานถือตะเกียบตามองเนื้อสัตว์และลูกชิ้นที่อยู่ในกระทะพร้อมกับเสียปาก หวนลู่เหวินหัวเราะกับภาพนั้นส่วนเสี่ยวหลินนั่งถอนหายใจเฮือก

"เจ้าความจำเสื่อมหรือเสี่ยวหาน เพิ่งกินไปสัปดาห์ที่แล้วเอง"

"อ้าว งั้นหรือ สงสัยข้าจะความจำเสื่อมเหมือนที่เจ้าว่าแล้วล่ะ" เด็กหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะรีบคีบลูกชิ้นหมูมาใส่จานทันทีที่มันลอยขึ้นมาจากน้ำแกงหมูกระทะร้อนๆ

อีกสองคนที่เห็นอย่างนั้นก็คีบอาหารขึ้นมากินบ้างบางครั้งก็แย่งหมูกันจนเกิดการทะเลาะกันเล็กๆ น้อยขึ้น แต่ทั้งสามก็ไม่ได้จริงจังอะไรนักต่างสนุกสนานที่ได้แย่งกันกินเพราะรู้สึกว่าอร่อยขึ้นกว่าการกินเงียบๆ

"แล้วท่านอาหรงจะไปดูที่ทางที่ไหนบ้างเล่า" หวนลู่เหวินเอ่ยถามขึ้นมา เขาคีบหมูในกระทะส่งให้น้องทั้งสองซึ่งเจ้าเด็กตะกละก็รีบคีบมาจิ้มน้ำจิ้มแล้วเอาเข้าปากเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย

"ง่ำๆ กะว่าจะไปดูที่เมืองหลวงก่อนเจ้าค่ะ พอการค้าที่นั่นเป็นที่รู้จักค่อยขยับขยายไปที่อื่น แบบนั้นพอไปทำการค้าก็น่าจะง่ายขึ้นเพราะเป็นที่รู้จักแล้ว" เสี่ยวหลินตอบกลับมาแต่ตากับมือสาละวนอยู่ที่กระทะปากเล็กเคี้ยวตุ้ยๆ จนแก้มตุ่ย

"เป็นความคิดที่ดีนะ ตอนนี้พี่หลางกับพี่หลงก็ดูแลร้านค้าที่เมืองหลวงเช่นกัน บางครั้งก็สลับไปดูที่เมืองข้างเคียงบ้างอาจจะไม่คอยมีเวลาว่างมากนัก" หวนลู่เหวินตอบกลับมาตาก็เหลือบมองน้อยสาวที่ทำปากมุบมิบบ้างก็เบะปากเหลือกตามองบนอย่างขบขัน

"ข้าไม่สนใจพวกเขาหรอกเจ้าค่ะ ฮึ" เด็กสาวทำแก้มป่องเชิดหน้าขึ้นอ้าปากงับหมึกกรอบอย่างมีอารมณ์ นางไม่อยากจะสนใจคนใจดำหรอก

"ที่พี่ชายเหวินบอกว่าจะมาศึกษาการทำการค้ากับท่านอาหรง ท่านอยากจะขายอะไรหรือขอรับ" หลิงหานรีบเอ่ยขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเมื่อเห็นสหายเคี้ยวหมึกกรอบอย่างรุนแรง เขากลัวว่านางจะฟันหักเสียก่อน

"ข้าอยากเปิดร้านอาหารทะเลเหมือนเสี่ยวหลิน เปิดที่เมืองจิ้งหนาน หวังว่าเสี่ยวหลินกับท่านอาจะยังไม่ไปเปิดร้านอาหารที่นั่นนะ" หวนลู่เหวินเอ่ยขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก ถ้าหากสองพ่อลูกอยากเปิดร้านอาหารทะเลที่เมืองจิ้งหนานจริงๆ เขาจะทำอะไรได้นอกเสียจากว่าไปของานทำ เด็กหนุ่มคิดในใจก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

"ถ้าพี่ชายเหวินตั้งใจจะเปิดร้านอาหารข้าก็จะเว้นเมืองจิ้งหนานเอาไว้ให้ท่านเจ้าค่ะ แต่ข้าจะขายสูตรอาหารกับรูปแบบการจัดร้าน การดูแลร้านทุกอย่างให้ท่าน ท่านสนใจไหมเจ้าคะ"

พอพี่ชายต่างสายเลือดพูดขึ้นมานางก็นึกถึงธุรกิจเฟรนไชส์ในยุคอีกหลายพันปีข้างหน้าขึ้นมาได้เลยลองเสนอเขาดู หากเขาสนใจนางจะได้ไปนั่งคิดวางแผนส่งต่อรูปแบบการทำร้านและรายการอาหารรวมถึงส่งคนไปสอนคนงานของเขาตั้งแต่การจัดร้าน ทำอาหาร ยกของและอื่นๆ พร้อมกับดูแลจนพวกเขาสามารถจัดการร้านเองได้

"จริงหรือ สนใจสิ แบบนี้ต้องขายดีแน่นอน รู้หรือไม่ว่าคนที่เมืองจิ้งหนานสนใจอาหารทะเลมากเพียงใด มีหลายคนที่เดินทางมาเพื่อลิ้มลองอาหารที่ร้านของเจ้าโดยเฉพาะ หมูกระทะก็เป็นที่พูดถึงมากเหมือนกันนะ" หวนลู่เหวินเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น หลิงหานได้แต่นั่งฟังพร้อมกับคีบหมูเข้าปากไปด้วยเพราะเขาไม่ถนัดเรื่องการค้าแต่ถนัดเรื่องการใช้แรงงานมากกว่า

"ดีเลยเจ้าค่ะ อย่างนั้นเราไปจัดการร้านที่เมืองหลวงก่อน ระหว่างนั้นท่านก็ศึกษาวิธีการต่างๆ ไปด้วยตอนไปเปิดร้านเองจะได้ลองจัดการเองดู"

"ดีๆ ข้าจะตามติดท่านอาหรงไม่ห่างเลย เอานี่ กินเยอะๆ นะ เจ้าผอมมากเกินไปแล้ว" หวนลู่เหวินคีบอาหารใส่จานของเสี่ยวหลินจนแทบจะหมดกระทะ หลิงหานมองตามอย่างโง่งมแล้วรีบคีบอาหารใส่จานตนเองบ้างระหว่างรออย่างอื่นสุกจะได้มีให้กินไม่ขาดตอน

"เสร็จจากนี้เราไปเดินดูในเมืองได้หรือไม่ ข้าอยากไปดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง"

"ที่เปลี่ยนไปก็เห็นจะมีร้านค้าของชาวต่างแดนผุดขึ้นมาเต็มไปหมดเลยขอรับ ท่านเจ้าเมืองเปิดโอกาสให้ชาวต่างแดนเข้ามาเช่าร้านในเมืองเพื่อค้าขายทำให้ในเมืองคึกคักมากทีเดียว"

"ท่านโนเอลกับท่านคาร์สันก็เข้ามาเปิดร้านอาหารเหมือนกันนะเจ้าคะ" เสี่ยวหลินเอ่ยขึ้นมาบ้าง มือคีบอาหารเข้าปากไม่หยุด เด็กสาวขยับตัวดุ๊กดิ๊กเมื่อเห็นอาหารเต็มจานกินได้เต็มที่โดยไม่ต้องย่างอาหารเอง

"ขายอาหารอะไรหรือ"

"มันเรียกว่าพิซซ่าเจ้าค่ะ เป็นแป้งทาด้วยน้ำปรุงรสมะเขือเทศแล้วก็โรยหลายอย่างลงไปปิดท้ายด้วยซีสเยอะๆ ก่อนจะนำไปอบให้สุกเจ้าค่ะ"

"อร่อยมากเลยนะขอรับ เสี่ยวหลินเคยพาข้าไปกิน พอพูดถึงข้าก็เยากกินขึ้นมาแล้วล่ะ เราแวะไปได้หรือไม่เสี่ยวหลิน" หลิงหานมองสหายอย่างคาดหวัง เสี่ยวหลินหัวเราะคิกคักแล้วพยักหน้ารับ

"ได้สิ แต่ไม่รู้ว่ายามนี้จะยังเหลืออยู่หรือไม่นะ เพราะพิซซ่าขายดีมากๆ เลยล่ะ"

"ข้าเองก็อยากลองกินบ้างนะ" หวนลู่เหวินเห็นน้องๆ พูดคุยถึงอาหารของสหายผมทองตัวใหญ่ของน้องสาวแก้มป่องแล้วก็อยากลองกินดูบ้าง

"อย่างนั้นกินหมูกระทะเสร็จแล้วเราก็แวะไปที่ร้านพิซซ่ากันนะเจ้าคะ ข้าจะซื้อไปฝากเสี่ยวอวี่กับเสี่ยวลี่ด้วย"

"ข้าจะซื้อไปฝากเสี่ยวมี่ด้วย" เสี่ยวหลินได้ยินก็ย่นจมูกอย่างหมั่นไส้ มองดูสหายที่ตาลอยแทบทุกครั้งที่นึกถึงน้องสาวของตนเอง

หลังจากเติมท้องด้วยหมูกระทะแสนอร่อยกันจนแน่นพุงแล้วทั้งสามก็เดินออกมาจากร้านหมูกระทะ เทียนเฉินไม่ลืมบอกให้หลานสาวซื้อพิซซ่าส่วนของเขามาให้ด้วยหนึ่งถาดเพราะเขาเองก็อยากกินเหมือนกัน เสี่ยวหลินไม่ลืมแบมือขอเงินจากท่านอาของนางที่ตอนนี้เขาเองก็ร่ำรวยไม่ต่างกัน เนื่องจากได้ค่าจ้างจากบิดาของนางไปเดือนละหลายตำลึงทองสำหรับการดูแลร้านค้าทั้งสามร้าน

พอได้ตำลึงทองมาสองก้อนเสี่ยวหลินก็เดินอารมณ์ดีเข้าเมืองไป ปากจิ้มลิ้มเอ่ยเจื้อยแจ้วพลางชี้ชวนให้หวนลู่เหวินดูว่ามีตรงไหนที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง หวนลู่เหวินมองดูร้านรวงในเมืองเจียงหนานที่เจริญมากขึ้นบางร้านมีมากถึงสี่ชั้นด้วยกันโดยเป็นเหลาอาหารชื่อดังของเมือง ยังมีโรงประมูลหรูหรา ร้านแปลกตาที่ซึ่งเป็นร้านของชาวต่างแดน ทั้งขายอาวุธ ขายอาภรณ์ ขายสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องประดับ แต่ที่มากที่สุดก็เห็นจะเป็นร้านขายอาหาร

"ข้าวที่ข้าให้ท่านลุงต้านฝากไปให้บิดาของท่านปลูกให้ก็มาจากชาวต่างแดนเช่นกันนะเจ้าคะ พวกเขามาจากทางใต้ ล่องเรือเลียบชายฝั่งมาเรื่อยๆ ข้าวที่ได้ข้าเอาวางขายที่ร้านอาหารแห้งเจ้าค่ะ ที่ขายดีก็คือข้าวหอมมะลิ ช่วงแรกคนไม่ค่อยซื้อเพราะเอาไปหุงแล้วมันเหนียวกว่าข้าวขาว แต่พอเก็บไว้นานสักเดือนมันก็นุ่มขึ้นอีกทั้งยังมีกลิ่นหอมด้วย จนตอนนี้พอข้าวที่ท่านลุงเอามาส่งที่ร้านคนก็แห่มาซื้อกันเยอะเลยเจ้าค่ะ" เสี่ยวหลินหันหลังกลับมาพูดกับลู่เหวินพร้อมกับเดินถอยหลังไปด้วย

"แล้วข้าเหนียวดำเล่า"

"ข้าเหนียวดำตอนแรกคนไม่สนใจยิ่งกว่าข้าวหอมมะลิอีกเจ้าค่ะ แต่ข้าเอาไปทำของหวานวางขายที่ร้านอาหารทำให้หลังจากนั้นไม่นานคนก็ลองมาซื้อกลับไปกินเจ้าค่ะ ข้าบอกวิธีนึ่งข้าวให้พวกเขาด้วย"

"ดีเลย หากอยากได้เพิ่มก็บอกนะ ท่าพ่อของพี่กำลังมองหาที่ดินเพิ่มอยู่พอดีจะได้ปลูกข้าวส่งให้เจ้าเพิ่มมากขึ้น" หวนลู่เหวินพยักหน้ารับอย่างพอใจ เขาหันไปมองหลิงหานบ่อยๆ เพราะเจ้าตัวไม่ค่อยพูดเลยกลัวว่าเขาจะเดินตามไม่ทัน ส่วนหลิงหานนั้นเอาแต่มองหาร้านขนม

"ถ้าปลูกเพิ่มได้ข้าก็อยากได้ข้าวหอมมะลิอีกเจ้าค่ะ รบกวนพี่ชายเหวินส่งจดหมายบอกท่านลุงด้วยนะเจ้าคะ"

"ได้สิ"

"ร้านพิซซ่าอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ" เสี่ยวหลินได้กลิ่นหอมๆ ก็รีบหันกลับไปมองยังร้านที่มีคนยืนรออยู่ราวสี่ห้าคน นางมองเห็นสหายตัวโตที่ยามนี้ผันตัวจากพ่อค้าขายของที่ท่าเรือมาขายพิซซ่าในเมืองแล้ว ส่วนร้านนั้นสหายของเขามาดูแลแทนพร้อมกับนำคนจากบ้านเกิดมาทำชีสกับเนยส่งขายให้นางโดยเฉพาะ ตอนนี้มีชีสกับเนยส่งขายให้ไม่อั้นแล้วยังมีมากถึงขนาดสองสหายตัวใหญ่ผมทองเอาชีสมาทำพิซซ่าขายดิบขายดีจนแทบจะทำไม่ทัน

"ขายดีขนาดนี้ยังมีเหลือให้ข้าไหมเจ้าคะ" เสี่ยวหลินเดินเข้าไปทักทายสองหนุ่มตัวโตที่คนหนึ่งกำลังนวดแป้งส่วนอีกคนกำลังดูพิซซ่าในเตาอบ

"อ้าว! เสี่ยวหลิน ยังมีสิ วันนี้พวกข้าเตรียมแป้งไว้มากทีเดียว มีเหลือให้เจ้าอีกเป็นสิบถาดเลยล่ะ" โนเอลเอ่ยทักสหายตัวน้อยที่ยามนี้เติบโตเป็นเด็กสาวตากลมแก้มป่องน่ารักมากทีเดียว

"ข้ากินไม่หมดหรอกนะเจ้าคะ" เสี่ยวหลินยู่ปาก นางไม่ได้ตะกละเหมือนตอนเป็นเด็กสักหน่อยที่แทบจะเขมือบทุกอย่างที่ขวางหน้า

โนเอลหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นใบหน้ายับยู่ของเด็กสาว ขณะนั้นคาร์สันก็ยกถาดพิซซ่าที่สุกแล้วออกมาโนเอลจึงรีบห่อแล้วส่งให้ลูกค้าที่รออยู่ เสี่ยวหลินยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อเห็นสายตาคลั่งรักที่คาร์สันมองไปยังอดีตสหายของตนซึ่งยามนี้เปลี่ยนสถานะจากสหายเป็นคนรักไปเมื่อหลายปีที่แล้ว

"อะแฮ่ม! อย่าประเจิดประเจ้อสิเจ้าคะ" เสี่ยวหลินกระแอมพร้อมกับมองสองหนุ่มดัวยสายตาล้อเลียน คาร์สันขยิบตาให้เด็กสาวแล้วเดินกลับไปดูเตาอบด้านในทิ้งให้โนเอลยืนรับหน้ากับเด็กแสบอยู่คนเดียว

"ประเจิดประเจ้ออะไรหรือเสี่ยวหลิน" หลิงหานเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เข้ายังไม่เห็นว่าท่านอาทั้งสองจะทำอะไรแปลกๆ ตอนไหน

"อย่าไปสนใจเสี่ยวหลินเลยเสี่ยวหาน นางเลอะเลือน" โนเอลส่งยิ้มให้หลิงหาน หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าใบหูของเขากำลังขึ้นสีเข้ม เสี่ยวหลินหัวเราะคิกคักโดยมีหวนลู่เหวินมองสลับไปมาระหว่างน้องสาวกับชายต่างแดนตัวสูงใหญ่

##########################################

มาแล้วจ้า ช่วงเดือนนี้ไรต์กลับบ้านนอกคงไม่ได้อัปทุกวันนะคะ เพราะมีงานให้ทำเยอะเหลือเกินแล้วก็อัปไม่เป็นเวลาด้วย ไม่ต้องนั่งรอนังไรต์น้าา

ส่วนนี่รายชื่อคนใกล้ตัวน้องคร่าวๆ มีบางคนที่ไม่ได้ใส่ลงไปเพราะอาจจะไม่ค่อยมีบทนะฮะ

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0

ความเห็น 0

ยังไม่มีความเห็น