โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ทิศทางธุรกิจปิโตรเลียมในอนาคต และภาพรวมของพลังงานโลก

BRIGHTTV.CO.TH

อัพเดต 06 ธ.ค. 2567 เวลา 13.15 น. • เผยแพร่ 06 ธ.ค. 2567 เวลา 06.15 น. • Bright Today

OIL DEMAND : เปิดทิศทางธุรกิจปิโตรเลียมในอนาคต ม้จะมีปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจหลายประการ แต่จะยังคงเติบโตตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ

ในปัจจุบันเศรษฐกิจโลกและอุตสาหกรรมต่างๆ กำลังเผชิญกับความผันผวนและความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง พลังงานยังคงเป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจโลกให้เดินหน้า แต่ทิศทางของพลังงานยังคงไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบในทุกมิติของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ยิ่งทวีความรุนแรง อีกทั้งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคที่พลังงานสะอาดได้เข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้น การวิเคราะห์และคาดการณ์ราคาน้ำมันที่จะทำให้ได้เห็นทิศทางและภาพรวมของพลังงานโลกได้ดียิ่งขึ้น

KNG 8969 0

ปริมาณการใช้น้ำมันในปี 2024

ประเทศที่มีปริมาณการใช้น้ำมันเป็นอันดับหนึ่งของโลกคือ ประเทศสหรัฐอเมริกาคิดเป็น 24% รองลงมา คือประเทศจีน 16% และประเทศในกลุ่ม EU 14% โดยเมื่อรวมกันแล้วคิดเป็นความต้องการในการใช้น้ำมันจะมากกว่า 50% ของการใช้น้ำมันทั่วโลก และประเทศอินเดียเป็นผู้ที่นำเข้าและใช้น้ำมันเป็นอันดับ 4 ของโลก มีสัดส่วนการใช้น้ำมันอยู่ 5% แต่ในอนาคตคาดว่าจะมี OIL DEMAND GROWTH มากกว่าประเทศจีน

IMG20241121145539 0

ในส่วนของการใช้งานน้ำมัน จะมีการใช้น้ำมันไปกับภาคการขนส่ง เช่น รถ เรือ หรือเครื่องบิน มากที่สุดถึง 58% รองลงมาจะเป็นภาคอุตสาหกรรม 28% ทำให้ในปีนี้ การเติบโตของ OIL DEMAND ทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาเรลต่อวันสู่ระดับ 103 ล้านบาเรลต่อวัน

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการในการใช้น้ำมัน

  • สภาวะเศรษฐกิจโลก World GDP Growth

จากการคาดการของ IMF รายงานการเติบโตเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะอยู่ที่ 3.2% ซึ่งถือว่าคงที่เมื่อเทียบกับปีนี้ เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่ถือเป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจ เช่น ปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงหลังการระบาดของ COVID-19 โดยในสิ้นปีนี้คาดการว่าระดับหนี้สาธารณะจะสูงถึง 100 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 93% ของ GDP โลก อีกทั้งการปรับลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อการฟื้นฟูเงินสำรองทางการคลัง เนื่องจากการที่แต่ละประเทศต้องมีการสนับสนุนประชากรที่เข้าสู่วัยสูงอายุมากขึ้นและการเปลี่ยนผ่านเพื่อไปสู่พลังงานสะอาดทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจมีข้อจำกัด อย่างไรก็ดีจะเห็นสัญญาณบวกจากประเทศต่างๆเริ่มมีนโยบายการผ่อนคลายทางการเงินออกมา เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกามีการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี และคาดการว่าภายในปี 2024 นี้จะลดลงในระดับ 4.25-4.5% และลดอีก 1% ในปี 2025 ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐและการบริโภคประมาณ70% ของGDP สามารถเติบโตขึ้นได้ และจะเป็นสาเหตุให้ ความต้องการการใช้น้ำมันของสหรัฐสามารถเพิ่มขึ้นได้ในปีหน้า

  • ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก

ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่ 2 ซึ่งมีนโยบาย AMERICAN FTRST เช่น นโยบายเรื่องการเนรเทศคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ที่ส่งผลทำให้ตลาดแรงงานลดลง อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นได้ รวมถึงนโยบายการแก้ไขการขาดดุลทางการค้าอย่างเข้มงวด โดยการเพิ่มกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศจำนวน 10-20% และเพิ่มของจีนถึง 60% ซึ่งคาดการว่าการกีดกันทางการค้าครั้งนี้จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกลดลงได้ถึง 0.3% และการเข้ามาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็จะยิ่งทำให้สินค้าอื่นๆของจีนได้รับผลกระทบเพิ่มเติม ซึ่งก็จะซ้ำเติมเศรษฐกิจจีนที่ดูเปราะบางอยู่แล้วให้อ่อนแอลงกว่าเดิมได้

  • วิกฤตเศรษฐกิจในประเทศจีน

จากปริมาณการขายรถยนต์ EV ของจีนที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อีกทั้งราคาการส่งออกก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญการลงทุนจากต่างประเทศที่เป็นตัวสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนลดลงต่ำสุดในรอบ 15 ปี จึงเป็นปัจจัยที่เห็นว่าเศรษฐกิจจีนตอนนี้ค่อนข้างอ่อนแอ อีกทั้งประเทศจีนยังเผชิญกับปัญหาภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ ภาวะหนี้ในครัวเรือน และความมั่นใจของผู้บริโภคลดลง ส่งผลให้ในปีนี้การบริโภคภาคครัวเรือนในประเทศของจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่ 38% ของ GDP ยังไม่ฟื้นตัว แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลจีนได้เริ่มมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา เช่น การลดเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในกับธุรกิจและประชาชน การออกเงินกู้ใหม่สำหรับภาคการเงินให้สามารถเข้าถึงเงินทุนได้มากขึ้น หรือออกกองทุนสำหรับการกู้ยืมซ้ำหรือการลดภาษีบ้านเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการออกพันธบัตรเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งมาตรการเหล่านี้เทียบเท่ากับ 10% ของ GDP ซึ่งนับเป็นสัญญาณเชิงบวกที่จะช่วยบรรเทาวิกฤตของจีนที่เผชิญอยู่ได้ และจะทำให้ในปีหน้าการบริโภคของจีนน่าจะเพิ่มขึ้นและส่งผลถึงการใช้น้ำมันของคนจีนที่เป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกสามารถเพิ่มขึ้นในปีหน้า

  • อนาคตในการใช้น้ำมันของประเทศอินเดีย

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความต้องการใช้น้ำมันในอนาคต คือ ประเทศอินเดีย จากการคาดการณ์ของ IEA คาดว่าตั้งแต่ปี 2023-2035 การเติบโตของการใช้น้ำมันในอินเดียจะมากถึง 75% ของความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกประมาณ 2 เท่า อีกทั้งประชากรของอินเดียมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30 ปีซึ่งถือว่าเป็นช่วงของวัยทำงาน ซึ่งแตกต่างประชากรในประเทศอื่นๆที่เริ่มเข้าสู่ประชากรผู้สูงอายุมากขึ้น นอกจากนี้อินเดียยังมีโอกาสในการขยายตัวของชุมชนเมือง (Urbanization) โดยเฉพาะจากการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายจากภาครัฐ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความต้องการใช้น้ำมันให้เพิ่มขึ้นในอนาคต

  • ความต้องการใช้น้ำมันในภาคขนส่ง

แม้ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) จะมีการเติบโตที่รวดเร็ว แต่รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน เช่น รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICV) ยังคงมีสัดส่วนการใช้งานที่สูง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับระยะทางการขับขี่ของรถยนต์พลังงานแบตเตอรี่ (BEV) ซึ่งเกิดจากปัญหาการที่สถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะยังไม่ครอบคลุมในหลายประเทศ นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและการใช้ระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของยานพาหนะระยะไกล เช่น เครื่องบิน ก็เป็นอีกปัจจัยที่มีส่วนขับเคลื่อนการใช้น้ำมันในอนาคตอันใกล้

oplus 3145728

สรุปแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันในปีหน้า คาดว่าแนวโน้มจะยังคงเติบโตตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจหลายประการ ทั้งปัญหาหนี้สาธารณะที่สูง วิกฤตเศรษฐกิจในประเทศจีนและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของตลาดน้ำมัน อย่างไรก็ตาม กลุ่ม PRISM คาดการณ์ว่า OIL DEMAND ทั่วโลกจะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน (MMBD) เมื่อเทียบกับปี 2024

ที่มา : คุณ ชนิกานต์ อัชฌาสุทธิคุณ เจ้าหน้าที่บริหารความเสี่ยงราคา บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด กลุ่ม ปตท. PRISM Experts

KNG 8962 0
ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...