โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เจาะเบื้องหลัง! ‘พี่ลูกศร ศรุติ’ จากเด็กแฟชั่นดีไซน์ สู่เจ้าของร้านมัลติแบรนด์ขวัญใจวัยรุ่น Daddy and the Muscle Academy

Dek-D.com

อัพเดต 14 ธ.ค. 2566 เวลา 03.51 น. • เผยแพร่ 01 ธ.ค. 2566 เวลา 09.12 น. • DEK-D.com
เปิดเส้นทางการศึกษา 'พี่ลูกศร ศรุติ' เจ้าของแบรนด์ Daddy and the Muscle Academy

เจาะเบื้องหลัง! ‘พี่ลูกศร ศรุติ’ จากเด็กแฟชั่นดีไซน์ สู่เจ้าของร้านมัลติแบรนด์ขวัญใจวัยรุ่น Daddy and the Muscle Academy

หากพูดถึงร้านมัลติแบรนด์สีฟ้าสดใสสไตล์วินเทจใจกลางสยามสแควร์ ที่ภายในร้านเต็มไปด้วยสารพัดของกุ๊กกิ๊กจากเหล่านักวาดมากฝีมือ เชื่อว่าน้องๆ ต้องนึกถึงร้าน ‘Daddy and the Muscle Academy’ อย่างแน่นอน ซึ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือ ‘พี่ลูกศร - ศรุติ ตันติวิทยากุล’ อดีตเด็กแฟชั่นดีไซน์ที่ถูกแบรนด์ดังทาบทามให้ไปทำงานด้วยตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปี 3 ในวันนี้ คอลัมน์ The Success : การเรียนรู้สู่ความสำเร็จ ของ Dek-D จะมาบอกเล่าชีวิตในวัยเรียน รวมถึงเบื้องหลังการสร้างอาณาจักรสารพัดของกุ๊กกิ๊กให้เป็นขวัญใจวัยรุ่นกันค่ะ

คุยกับตัวเองบ่อย จนได้ค้นพบตัวเอง

ย้อนกลับไปช่วงวัยมัธยม ตั้งแต่ ม.1 จนจบ ม.6 เรียนอยู่ที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน เมื่อขึ้น ม.ปลาย จึงเลือกเรียนสายวิทย์-คณิตเพราะเป็นสายที่มีโอกาสได้เลือกคณะได้มากกว่า ระหว่างเรียนพี่ลูกศรสามารถทำคะแนนสอบได้ดีมาโดยตลอด จนวันหนึ่งก็เริ่มสังเกตว่า ตัวเองไม่มีความสุขกับการเรียนสายนี้เลยเพราะกว่าจะได้คะแนนที่ดีนั้นต้องแลกมาด้วยความทรมานและน้ำตาหลายร้อยหยด

พี่ลูกศรจึงมานั่งทบทวน และคุยตัวเอง เพื่อหาข้อสรุปว่าชื่นชอบหรือสนใจด้านไหนกันแน่ สุดท้ายก็พบว่าตัวเองไม่ชอบการเรียนสายวิทย์-คณิตจริงๆ และมีสิ่งหนึ่งที่ช่วงนั้นรู้สึกอินเป็นพิเศษ นั่นคือ เวลาไปรอพี่สาวซ้อมเชียร์ลีดเดอร์แถวสยามจะชอบสังเกตการแต่งตัว หรือการมิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อผ้าของผู้คน พอเริ่มสังเกตบ่อยๆ เข้าก็เริ่มแมทช์เสื้อผ้าใส่เองมากขึ้น แต่ก็ยังเกิดข้อสงสัยว่าสิ่งนี้จะสามารถทำเป็นอาชีพได้จริงหรือเปล่า ประกอบกับตัวเองเป็นคนเดียวภายในครอบครัวที่มีเซนส์เรื่องศิลปะมากที่สุด ตั้งแต่เด็กๆ ก็มักจะชอบวาดรูป และสะสมงานอาร์ตน่ารักๆเช่น กระดาษโน้ตซานริโอ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

หลังจากที่รู้ตัวแล้วว่า สายวิทย์-คณิต ไม่ใช่เส้นทางที่ตัวเองต้องการ ตอน ม.5 พี่ลูกศรจึงตัดสินใจย้ายไปเรียนสายศิลป์คำนวณแทนเพื่อที่จะเอาเวลาในการอ่านหนังสือเกี่ยวกับสายวิทย์ไปโฟกัสกับวิชาอื่นมากขึ้น ในตอนแรกตั้งใจจะเรียนคณะบริหารธุรกิจ เพราะว่าที่บ้านทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่หลังจากที่ค้นพบว่าไปสายศิลปะน่าจะรุ่งกว่า จึงเริ่มศึกษาคณะที่ใช้ทักษะวาดรูปในการเรียนจนได้มาเจอกับคณะสถาปัตยกรรมศาตร์ และมองเห็นโอกาสถ้าเรียนคณะนี้น่าจะกลับมาช่วยงานที่บ้านได้ จึงไปลงคอร์สติวสอบอยู่ประมาณ 1 เทอม และได้พบว่าสถาปัตย์ยังไม่ใช่ เพราะตัวเองไม่ได้อินกับการออกแบบตึกอาคารมากนัก จึงกลับมาคุยกับตัวเองอีกครั้งจนได้มาค้นพบกับเอกแฟชั่นดีไซน์และได้ลงเรียนคอร์สติวอีกครั้ง พี่ลูกศรเล่าว่าพอได้ลองติวแฟชั่นดีไซน์ก็รู้สึกมีความสุขและหลงใหลในศาสตร์นี้มาก ทำให้ตัดสินใจเลือกที่จะสอบเข้าสาขานี้ทันที

โดยปกติแล้วคนที่จะสอบเข้าสาขานี้ ส่วนใหญ่จะเริ่มติวกันตั้งแต่ ม.3-4 แต่พี่ลูกศรเป็นคนหนึ่งที่เริ่มติวตอน ม.6 เทอม 1 ซึ่งนับว่าเริ่มช้ากว่าคนอื่นๆ ทำให้มีเวลาเตรียมตัวน้อยมาก เนื่องจากมีการสอบรับตรงในเดือนตุลาคม พี่ลูกศรจึงจัดตารางเวลาในแต่ละวันออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ 9.00-12.00 น. 13.00-16.00 น. 17.00-20.00 น. เพื่อฝึกวาดรูปเตรียมสอบรับตรงอย่างเดียว

ฝีมือสะดุดตาแบรนด์ดัง มีงานทำตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ

สำหรับการสอบรอบรับตรงในตอนนั้นต้องทำแบบทดสอบ 2 หัวข้อ ได้แก่ ความถนัดนฤมิตศิลป์หรือทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับศิลปะ และการออกแบบเสื้อผ้าตามโจทย์ที่กำหนด ซึ่งผลจากความขยันและพยายามตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ทำให้พี่ลูกศรสามารถสอบเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขานฤมิตศิลป์ เอกแฟชั่นและสิ่งทอ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สำเร็จ

สาขานฤมิตศิลป์ เอกแฟชั่นและสิ่งทอ จุฬาฯจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบเครื่องแต่งกาย ตั้งแต่ความรู้ด้านประวัติศาสตร์แฟชั่น การหาแรงบัลดาลใจมาสร้างสรรค์ชิ้นงาน การสร้างแบบตัดเสื้อผ้าขั้นพื้นฐาน โดยจะเน้นสอนให้นักศึกษาทุกคนเป็นเหมือนผู้ประกอบการ สอนให้เข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจแฟชั่น การสร้างแบรนด์รวมถึงสามารถวิเคราะห์แนวโน้มอุตสาหกรรมแฟชั่น เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สิ่งทอและแฟชั่นที่มีมูลค่าเพิ่มที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในปัจจุบันและในอนาคต แม้จะเรียนด้านการออกแบบเสื้อผ้ามา แต่ก็ยังมีการสอนความรู้ด้านการทำธุรกิจแฟชั่น จึงทำให้พี่ลูกศรพอมีพื้นฐานทางด้านการทำธุรกิจติดตัวมาบ้าง

ในตอนปี 3 พี่ลูกศรมีโอกาสไปฝึกงานกับแบรนด์ Playhound แต่ช่วงนั้นทำส่งผลงานประกวดเยอะมาก จึงขอทางมหาวิทยาลัยฝึกงานแค่ 1 เดือนครึ่งเท่านั้น ก่อนที่จะเอาเวลาที่เหลือมาทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการส่งผลงานการออกแบบเข้าประกวดในโครงการต่างๆ เช่น งานแกรนด์สปอร์ต จนได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานมาครอบครอง นอกจากนี้ ผลงานที่ส่งประกวดกับกระทรวงวัฒนธรรมก็มีแฟชั่นบล็อกเกอร์จากประเทศอังกฤษ Susie Bubble มาที่เมืองไทยพอดี และได้นำผลงานไปโชว์ในบล็อกส่วนตัว ทำให้คนได้เห็นกันอย่างแพร่หลาย และต่างก็ให้ความสนใจกันทั่วโลก

หนึ่งในนั้นคือ แบรนด์ไทย Sretsis ได้ติดต่อเพื่อชักชวนให้พี่ลูกศรไปร่วมทำงานด้วย ซึ่งในขณะนั้นยังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 เทอม 2 แต่ก็ได้รับการทาบทามว่า หากเรียนจบก็อยากให้ไปทำงานด้วยกันทันที แน่นอนว่าหลังเรียนจบพี่ลูกศรก็ได้เข้าทำงานที่ Sretsis ในตำแหน่งดีไซเนอร์ซึ่งแบรนด์ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในประเทศญี่ปุ่น พี่ลูกศรจึงมีโอกาสนำผลงานในคอลเลกชั่นต่างๆ ที่ออกแบบไปโชว์ในงาน Tokyo Fashion Week อีกด้วย

ใช้ความชอบต่อยอดเป็นธุรกิจ

จุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจมาจากกลุ่มเพื่อนที่ทำงาน Sretsis ด้วยกัน 4 คน ที่มีความชื่นชอบในสไตล์วินเทจยุค 90s คล้ายกัน และต้องการหาเงินไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน โดยที่ไม่ใช้เงินเดือนของตัวเอง ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะขายอะไร และใช้ชื่ออะไรดี แต่มีไอเดียว่า การที่เพื่อนมารวมตัวมันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวซึ่งแต่ละคนก็จะมีความถนัด มีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกัน จึงตั้งชื่อว่า 'Daddy and the Muscle Academy' และช่วยกันสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา ในปี 2558 ด้วยเงินลงทุนเพียง 5,000 บาท

Daddy and the Muscle Academyเป็นชื่อหนังยุค 90 จากประเทศฟินแลนด์ พี่ลูกศรรู้สึกว่าชื่อนี้สามารถนำมาต่อยอดและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้ จึงนำมาพัฒนาเป็นเรื่องราวของครอบครัวที่ประกอบไปด้วย Daddy คุณพ่อนักกล้าม, Mommy คุณแม่เจ้าระเบียบ, Wendy พี่สาววัยว้าวุ่น และ Lucy น้องเล็กจอมป่วนเพื่อสร้างสตอรี่ที่น่าจดจำให้กับแบรนด์ โดยสินค้าทุกอย่างในแบรนด์จะนำเสนอคาแรกเตอร์ของแต่ละตัวละคร โดยมีที่มาจากเพื่อนทั้ง 4 คน ซึ่งเป็นการช่วยสร้าง Mood and Tone ให้กับสินค้าต่างๆ ดูน่าสนใจขึ้นมา

ช่วงแรกที่เริ่มทำแบรนด์จะใช้เวลาช่วงพักกลางวันมาพูดคุยและเสนอไอเดียกัน ก่อนจะนำไปโพสต์ขายบนโลกออนไลน์ โดยเน้นขายใน Instagram เป็นหลัก และออกบูธตามงานอีเวนต์ต่างๆ บ้าง หลังจากที่ทำงานกับแบรนด์ Sretsis ไปได้ประมาณ 3 ปี ประกอบกับแบรนด์ของตัวเองเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆพี่ลูกศรจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ และหันมาโฟกัสกับการพัฒนาแบรนด์ของตัวเองมากขึ้น

เปิดพื้นที่สนับสนุนนักออกแบบรุ่นใหม่

หลังจากเปิดร้านใน Instagram มาได้ประมาณ 3 ปี ก็ถึงเวลาของการขยับขยายธุรกิจให้เติบโตขึ้นด้วยการเปิดหน้าร้าน ซึ่งแรงบันดาลใจและไอเดียในการเปิดร้านมัลติแบรนด์พี่ลูกศรได้มาจากการไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นและสังเกตเห็นว่ามีร้านขายของน่ารักกุ๊กกิ๊กจากฝีมือนักวาดหลายๆ คนเยอะมาก พอนึกย้อนกลับมาในประเทศไทย ณ ตอนนั้น ยังไม่มีร้านที่เปิดโอกาสให้ Young Designer หรือนักออกแบบรุ่นใหม่ที่มีผลงานได้นำสินค้ามาวางขาย จึงตัดสินใจเปิดร้านที่สยามสแควร์ขึ้นมา ในปี 2561

ความตั้งใจในการทำเปิดร้าน DADDY อยากให้เป็นพื้นที่ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับ วัยรุ่นไทยที่ชื่นชอบการออกแบบได้มาแสดงฝีมือ เพื่อเป็นการส่งเสริมผลงานของนักออกแบบชาวไทยมากขึ้นหรือเป็นพื้นที่ส่งต่อพลังบวก ความดีต่อใจ ให้กับลูกค้าที่มาซื้อของที่เมื่อได้รับสินค้าแล้ว เขามีกำลังใจอยากอ่านหนังสือ หรือมีไอเดียในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา

ในวันแรกที่เปิดร้านก็ได้การตอบรับจากลูกค้าเกินกว่าที่คาดหวังเอาไว้มาก ด้วยความที่เป็นร้านสไตล์ใหม่ที่รวบรวมสารพัดของกุ๊กกิ๊กที่วัยรุ่นชื่นชอบ บวกกับสไตล์การตกแต่งร้านที่ต่างออกไปจากร้านอื่นๆ จึงมีลูกค้าให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมากเกิดเป็นปรากฏการณ์คนมาถ่ายรูปหน้า และแชร์ลงในโซเชียล ทำให้มีลูกค้าเริ่มตามมาจากการบอกต่อในโลกออนไลน์ จนกลายเป็นว่า DADDY เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศและทำให้แบรนด์มีโอกาสได้ไปจัด Pop-up Store ที่ LaForet Harajuku และได้ทำคอลเลกชั่นร่วมกับร้าน RRR ที่โตเกียวอีกด้วย

สร้างเรื่องราวของแบรนด์ให้น่าติดตาม

แม้ว่าจะเรียนจบด้านแฟชั่นดีไซน์มา แต่พี่ลูกศรก็พอมีพื้นฐานในการทำธุรกิจมาบ้าง เนื่องจากที่คณะเรียนเป็นการเรียนแฟชั่นในรูปแบบธุรกิจ จึงทำให้เข้าใจในเรื่องของการผลิตเสื้อผ้า หรือการสร้างแบรนด์ สำหรับการประยุกต์ใช้ความรู้จากตอนที่เรื่องที่พี่ลูกศรให้ความสำคัญมากที่สุด ก็คือ การเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง เพราะการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุด จะช่วยเพิ่มทั้งยอดขายและภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีประสิทธิภาพ โดยเน้นในเรื่องของข้อมูลความสนใจ พฤติกรรม ความเชื่อ ทัศนคติต่างๆ ของลูกค้าเพื่อให้รู้ว่ากำหนดทิศทางของแบรนด์ไปในทางใด หรือจะทำการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไรบ้าง

ลูกค้าส่วนใหญ่ของแบรนด์ DADDY เป็นผู้หญิง ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยทำงานดังนั้น สินค้าจึงค่อนข้างมีความน่ารักกุ๊กกิ๊ก และมีหลากหลายประเภท ตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องเขียน สติ๊กเกอร์ โปสการ์ด เคสโทรศัพท์ ฯลฯ เพื่อให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าในทุกๆ วัย

อีกหนึ่งสิ่งที่พี่ลูกศรให้ความสำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือ Corporate Identity (CI) หรือเอกลักษณ์ของแบรนด์เพราะเป็นสิ่งที่ใช้สื่อสารตัวตนและบุของแบรนด์ เพื่อสร้างการจดจำให้กลุ่มลูกค้า โดยจุดเด่นของแบรนด์ DADDY คือการสร้างเรื่องราวให้กับคาแรกเตอร์ทั้ง 4 ตัวโดยใส่คาแรกเตอร์เหล่านี้ในงานออกแบบทุกชิ้น ทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันและอยากติดตามเรื่องราวของครอบครัวนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรือแม้กระทั่งการตกแต่งร้านทั้งภายใน และภายนอกให้มีเอกลักษณ์โดดเด่น ผ่านสีสันที่สดใสสะดุดตา ไม่ว่าจะถ่ายรูปจากมุมไหนคนก็รู้ว่าถ่ายที่ร้าน DADDY เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่น่าจดจำให้แบรนด์

กุญแจสำคัญที่ทำให้แบรนด์ DADDY ติดกระแส และเป็นขวัญใจวัยรุ่น

ปัจจุบันร้านมัลติแบรนด์ในประเทศไทยเริ่มมีจำนวนมากขึ้น ซึ่งพี่ลูกศรเองก็รู้สึกดีใจมากๆ ที่คนเริ่มเห็นคุณค่าในงานศิลปะ และหันมาสนับสนุนเหล่านักออกแบบชาวไทยกันมากขึ้น ในแต่ละแบรนด์ก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งความท้าทายในการทำร้านมัลติแบรนด์ คือ ต้องสื่อสารอย่างไรเพื่อให้ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่จดจำแบรนด์ได้ เพราะลูกค้าแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งช่วงวัยที่เปลี่ยน ความสนใจก็เปลี่ยนตาม ดังนั้น การปรับตัวตามเทรนด์และช่วงวัยของลูกค้า จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้แบรนด์ DADDY ติดกระแส และเป็นขวัญใจวัยรุ่นมาอย่างยาวนาน

หลังจากที่ทำธุรกิจมา 8 ปี ความฮิตที่หน้าร้านสาขาหลักอย่างสยามสแควร์ก็ไม่เคยแผ่วลง ซึ่งเคล็ดลับในการทำงานของพี่ลูกศรที่ทำให้แบรนด์เติบโตได้มาจนถึงทุกวันนี้คือ การปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทันกับกระแสต่างๆ และไม่หยุดเรียนรู้สิ่งใหม่ และแน่นอนว่าแบรนด์ DADDY จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าปราศจากความพยายาม ความตั้งใจ และการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันแบรนด์ DADDY มีหน้าร้านอยู่ 2 สาขาได้แก่ สยามสแควร์ ซอย 2 และสาขาใหม่ล่าสุดที่ห้าง THE EmSphere ในธีม DADDY MOTEL ที่ยังคงความน่ารักสดใสไว้เหมือนเดิม สำหรับเป้าหมายในอนาคตของแบรนด์ ด้วยความที่แบรนด์มีเรื่องราวที่สนุกสนานน่าติดตามอยู่แล้ว พี่ลูกศรมองว่า DADDY เป็นเหมือนค่านิยมหรือวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ที่สามารถแทรกซึมเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ของทุกคนมากขึ้นในวันหนึ่งอาจจะกลายเป็น DADDY HOTEL หรือ DADDY PET SHOP ก็ได้ ทั้งนี้ ยังอยากให้แบรนด์นี้เป็นเหมือน Tourist Destination และเป็นหนึ่งในเวทีที่ทำให้ดีไซเนอร์ที่มีแบรนด์เล็กๆ ของตัวเอง เป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ

สิ่งที่อยากจะย้อนกลับไปบอกตัวเองในวัยเรียน

ด้วยความที่ตอนเด็กพี่ลูกศรชอบพูดคุยกับตัวเองเป็นประจำ จึงไม่มีสิ่งไหนที่อยากจะย้อนกลับไปบอกตัวเองในวัยนั้นเลยเพราะว่าได้มอบความสุขให้กับตัวเอง ด้วยการที่ทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ ณ ตอนนั้นไปแล้ว แต่มีอยู่หนึ่งสิ่งที่อยากกลับไปพัฒนาให้ตัวเองเก่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเลขเพราะตอนเด็กได้เรียนคณิตศาสตร์ก็จริง แต่พอมาทำธุรกิจก็มีบางเรื่องที่โรงเรียนไม่ได้สอน เช่น ภาษี หรือการเป็นเจ้าของกิจการ ถ้าได้เรียนเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่ยังเด็ก โดยที่ไม่ได้ต้องเจอปัญหาก่อนแล้วมาแก้ทีหลังก็คิดน่าจะเป็นสิ่งดีสำหรับตัวเองในอนาคต

ฝากถึงน้องๆ ชาว Dek-D.com

สำหรับน้องๆ วัยเรียนที่อยู่ในช่วงค้นหาตัวเอง หรือมีสิ่งที่สนใจอยู่แล้วพี่ลูกศรแนะนำให้คุยกับตัวเยอะๆ ว่า เราสนใจอะไร หรือเราชอบสิ่งนี้จริงๆ หรือเปล่า เป็นไปได้ก็อยากให้ลองทำหลายๆ อย่าง เพื่อค้นหาตัวเองให้เจอ ถ้าอยากเห็นภาพชัดขึ้นลองไปพูดคุยกับคนที่เขาทำสายอาชีพนี้ และจินตนาการดูว่าถ้าเราต้องใช้ชีวิตที่เหลือทั้งชีวิตไปกับสายงานนี้ เราจะมีความสุขไหม อีกหนึ่งทางเลือกก็คือ ลองทำอะไรที่เราไม่ชอบดูบ้าง บางทีเราอาจจะเปลี่ยนความคิดจากที่ไม่ชอบกลายเป็นชอบก็ได้หรืออาจจะดีที่เราได้ตัดตัวเลือกบางอย่างที่คิดว่าไม่ใช่แน่ๆ ออกไปจากชีวิตได้ทันที

จากเรื่องราวของพี่ลูกศร ทำให้ได้เรียนรู้ว่าจุดเริ่มต้นของความสำเร็จอาจเริ่มมาจากการได้ทำในสิ่งที่รักหรือสิ่งที่ชอบ เพราะการได้ทำในสิ่งเหล่านี้เราจะรู้สึกสนุกและมีความสุขเมื่อได้ลงมือทำ ทั้งยังเป็นแรงผลักดันโดยอัตโนมัติว่าเราต้องทำให้ดีแม้ว่าระหว่างทางอาจจะล้มเหลว หรือมีอุปสรรค แต่เมื่อมันคือสิ่งที่ชอบ ยิ่งชอบมาก ก็จะยิ่งทุ่มเท และยอมที่จะใช้ความพยายามทั้งหมด เพื่อให้สิ่งนี้ประสบความสำเร็จดั่งใจหวัง เพราะความสำเร็จนั้นไม่ได้มาเพราะโชคช่วย หากแต่มาจากการทำงานหนัก จากความพยายามของตัวเราเอง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...