ทุกวันนี้รอบตัวเรามีแต่ข่าวลือเต็มไปหมด
บทความครั้งที่แล้ว เราเขียนถึงข่าวลือป้ายสี ที่อเมริกากับจีนสาดใส่กันไปมาอย่างสนุกสนาน ไม่นึกเลยว่า ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ เหตุการณ์จะเข้มข้น และมีตัวละครอย่างรัสเซีย ไต้หวัน และ WHO โดดเข้าฉากมาด้วย
ถ้าไม่นับว่ากลัวเชื้อไวรัส เวทีการเมืองโลกของเรานั้น ดุเด็ดเผ็ดมันส์ยิ่งกว่าละครหลังข่าวอีกค่ะ
แต่พอหยุดดราม่าแล้วหันมองรอบตัว เราจะพบข่าวลือทั้งกระแสหลัก กระแสรองเต็มไปหมด ในขณะที่บางเรื่องดูมีมูล บางเรื่องฟังแล้วกลับไม่น่าเชื่อ ว่าจะมีคนหลงเชื่อไปได้
เกิดอะไรขึ้นกับสังคมโลกของเรากันแน่
ข่าวลืออยู่คู่มนุษย์มายาวนาน
ในหนังสือ “เซเปียนส์” ของ Yuval Noah Harari เคยกล่าวถึงความสามารถในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ว่าเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับการเม้ามอยหอยกาบ เพราะในยุคที่การสื่อสารจำกัดมีเพียงการพูดคุย ความอยากกระพือข่าวโคมลอยคืออาวุธที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด ในการหลีกหนีอันตรายและหาอาหาร
ดูเหมือนความต้องการส่งต่อข่าวสาร จะฝังอยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์ จึงไม่น่าแปลกที่เราจะพบการแพร่สะพัดของข่าวลือจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงที่อันตรายคืบคลานมาใกล้ตัว
ย้อนหลังไปเกือบ 300 ปี ช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส ขณะนั้นเป็นยุคโบราณ ที่การระบาดของอหิวาตกโรคและไข้ทรพิษ ยังคงรุนแรงและแทบไร้ทางรักษา
มีบันทึกถึงข่าวลือต่าง ๆ บ้างเล่าลือกันว่า แท้จริงโรคที่กล่าวมา เกิดจากรัฐบาลแอบใส่ยาพิษในน้ำพุกลางหมู่บ้านให้ประชาชนกิน ! เลว !! เลวมาก !
ไม่เท่านั้นประชาชนจำนวนมากยังเชื่อว่า พวกหมอโรคจิตคอยกระพือข่าว ว่าโรคร้ายไร้ทางรักษา พอเราเข้าโรงหมอไปก็แอบจับพวกเราใส่ยา ทำให้ตายกันเป็นเบือทั้งที่จริงไม่เป็นโรคอะไรเลย โหยยยย ! สุด ๆ ไปเลย !!
เวลาผ่านไป เราพบความจริงทางวิทยาศาสตร์ว่า โรคอหิวาต์เป็นเชื้อที่มากับน้ำสกปรก หลังโลกพัฒนาการประปาอย่างเป็นระบบ โรคนี้ก็แทบหมดไป และรัฐบาลหรือผู้ใหญ่บ้านก็ไม่เคยใส่ยาอะไรลงไปในน้ำพุเลย (เพราะมันไม่ได้เกิดจากยาพิษ แต่เกิดจากเชื้อโรคนั่นเอง)
แต่เหตุการณ์ดังนี้ก็มิได้เกิดแต่กับโลกในยุคโบราณเท่านั้น
เวลาผ่านไป โลกเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ที่การเดินทางสะดวกสบาย การกระจายข่าวสารทำได้เพียงปลายนิ้ว ได้เกิดการระบาดของ SARS และ H1N1 ขึ้นในปี 2003 และ 2009
การระบาดของทั้งคู่สร้างความตระหนกไปทั่วโลก และเกิดข่าวลือปริมาณมหาศาล
ระหว่างการระบาด ผู้คนเล่าลือว่า SARS คืออาวุธชีวภาพที่รัฐบาลปล่อยออกมา เพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน (เนื่องจากต้องถูกกักกันตัว) ในขณะที่บางส่วนเชื่อว่า แท้จริงโรคนี้มิใช่ไวรัส แต่เกี่ยวกับการทำลายภูมิคุ้มกันโดยสัญญาณที่ปล่อยจากเสาไฟฟ้า ยังมีอีกส่วนเชื่อว่า ถูกปล่อยมาจากต่างดาวนอกโลกไปไกล
ในขณะที่ H1N1 ซึ่งระบาดตามมาในอีก 6 ปีให้หลัง มีลักษณะข่าวลือที่คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นอาวุธชีวภาพที่รัฐบาลประเทศหนึ่งปล่อยออกมา หรือเป็นเรื่องโกหกของบริษัทยา ที่ต้องการขายวัคซีนน้ำเปล่า โดยสร้างเรื่องหลอกลวงระดับโลก มอมเมาประชาชนโดยมี WHO รู้เห็นเป็นใจ
ซึ่งเมื่อพิจารณาดู เราจะพบจุดร่วมกันหลายอย่าง และยิ่งเมื่อเทียบย้อนไปถึงยุคโบราณ ยิ่งพบว่าข่าวลือทุกอย่าง
“มีจุดร่วมและลักษณะที่ซ้ำกัน”
นั่นคือแท้จริงแล้ว ไม่ว่าข่าวลือที่ออกมา จะมีสีสันบิดพลิ้วไปเช่นไรนั้น แต่ธรรมชาติของมันยังคงอยู่เช่นเดิม
และแน่นอนว่า ข่าวลือของ COVID-19 ที่มีอยู่ขณะนี้ ในฐานะอาวุธชีวภาพ ในฐานะการทดลองที่ผิดพลาด และในฐานะเรื่องโกหกของบริษัทยา ก็มีลักษณะคล้ายการระบาดที่ผ่าน ๆ มาเช่นกัน
—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-
แต่เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น
จากหนังสือ Epidemic of Rumors ของ Jon D. Lee เขาเชื่อว่าข่าวลือส่วนใหญ่โด่งดังขึ้นได้ ก็เพราะตอบสนองต่อความต้องการทางจิตใจที่เกิดขึ้นขณะนั้นของผู้คน
มองย้อนดู เมื่อเกิดการระบาดของโรคร้าย ซึ่งถือเป็นเหตุใหญ่ที่กินเวลายาวนาน เกาะกินจิตใจของคนทุกชั้น ให้รู้สึกถูกคุกคาม หวาดผวา และไร้ทางไป
เหล่านั้นนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางจิตใจ รู้สึก “ไร้พลัง” จะหาทางแก้ไข รู้สึกเสมือน “เหยื่อ” ที่ถูกทำร้าย หมดปัญญาควบคุมชีวิตและอนาคตของตน
นั่นคือปัจจัยสำคัญที่ส่งผล ให้เกิดสภาวะทางใจชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า
“Paranoid” (พารานอยด์)
พารานอยด์คือสภาวะของจิตใจ ที่หวาดระแวงต่อทุกสิ่งรอบด้าน เชื่อว่ามีอะไรบางอย่างมุ่งมาทำร้ายตน มองว่าทุกคนไม่หวังดีต่อตัวเรา
เดิมทีพารานอยด์เป็นส่วนประกอบของโรคหลายชนิด แต่เมื่อการแพทย์ก้าวหน้า กลับพบว่าพารานอยด์เกิดได้เช่นกันในคนทั่วไป เป็น ๆ หาย ๆ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด แต่คือสภาพจิตใจที่ขึ้นลงตามสิ่งเร้าจากสังคม
ในระหว่างการระบาดของโรค จิตใจของผู้คนต่างเกิดพารานอยด์มากกว่าปกตินั่นเอง
เมื่อเกิดพารานอยด์ขึ้น ผู้คนจะไม่เชื่อถือสิ่งที่ควรเชื่อถือ หวาดระแวงสิ่งที่ควรเป็นหลักยึดเหนี่ยว นั่นจึงเป็นเหตุผล ที่ทำไมผู้คนมักเชื่อว่ารัฐบาล องค์กรลับ หรือประเทศมหาอำนาจอยู่เบื้องหลังการระบาด ที่มุ่งร้ายต่อประชาชนนั่นเอง
(ซึ่งเรื่องจริงเป็นเช่นไร ไม่มีใครรู้)
—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-
อย่างไรก็ดี พารานอยด์ไม่เพียงนำพาให้เราเชื่อข่าวลือตรงหน้าอย่างง่ายดายเท่านั้น หากแต่ปลุกปั่นให้เราจงเกลียดจงชัง ใครสักคนที่เหมาะสมจะรับความผิดนั้นไปด้วย
หลายสิบปีก่อนเมื่อ HIV เข้าสู่สังคมมนุษย์ ชาวแอฟริกันถูกดูถูกว่าเป็นผู้นำพาเชื้อโรคมาให้ บ้างก็เพ่งเล็งกลุ่มชายรักชาย ที่รับเชื้อได้ง่ายเพราะลักษณะความสัมพันธ์
หลายปีผ่านไป เมื่อโรค SARS ถูกค้นพบในจีนนั้น ชาวจีนโพ้นทะเลที่มิได้เกี่ยวข้องกัน กลับถูกร้องเรียนให้แบ่งแยกกักกัน แม้จากสังคมที่เขาอยู่มานานปี
ระบาดวิทยาอาจช่วยบอกเราว่า โรคระเบิดเริ่มขึ้นอย่างไร แต่มิได้บอกเราว่าใครเป็นคนผิด อาจช่วยบอกเราว่าควรกักกันโรคเช่นไร แต่มิได้บอกเราว่าต้องกีดกันใคร ยิ่งมิได้ให้เราสำเร็จโทษคน(ที่เราคิดเอาเองว่า)ผิด
เกิดอะไรขึ้นในระบบคิดของเรากัน
เหตุแบ่งแยกนี้มิได้เพิ่งเกิดกับโลกยุคปัจจุบัน แต่เคยเกิดมาแล้วซ้ำๆ กับทุกการระบาดที่ผ่านเข้ามา
เชื่อกันว่าเมื่อเกิดพารานอยด์ขึ้น มนุษย์จะหันหาวิธีการบางอย่าง ที่ช่วยแบ่งเบาภาระทางใจออกไปได้ วิธีการหนึ่งที่พารานอยด์มักนำเราไป คือ “Projection” หาเป้าหมาย ในการโยนความทุกข์ใจเข้าใส่นั่นเอง
วิธีการนี้เป็นกลไกตามธรรมชาติของจิตใจ มิได้หมายความว่าใครใช้เป็นคนเลวหรือคนดี
แต่อย่างไรก็ตามที เพราะธรรมชาติของมนุษย์เป็นเช่นนี้ ท้ายสุดจึงเกิดรอยร้าวในทุกการระบาดใหญ่ แบ่งแยกพวกเขาพวกเรา ถ่างความสัมพันธ์ให้ห่างออกไป แม้ไม่ถึงขั้นเกลียดชังหรือฆ่ากันตาย แต่ความแตกต่างหลากหลายที่เคยสวยงาม ก็กลับเป็นความต่างที่ไม่อาจหลอมรวมกันได้อีกต่อไป
ในขณะนี้ ไม่ว่าความจริงของ COVID-19 จะเป็นเช่นไร มาจากซุปค้างคาวในอู่ฮั่นจริงไหม หรือคืออาวุธชีวภาพที่อเมริกาปล่อยมาให้ แต่รอยร้าวในความสัมพันธ์ระดับผู้คนและชาติพันธุ์นั้น ได้เริ่มขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว
และสิ่งนี้อาจอันตรายยิ่งกว่าโรคระบาดที่มียารักษา เพราะมันนำพาเราสู่รากเหง้าของความผุพัง และเสื่อมถอยของยุคสมัย
—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-—-
ในสภาพที่โรคยังคงระบาด และพวกเราไม่อาจใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ สิ่งสำคัญที่สุดไม่เพียงสุขภาพกาย แต่ยังเป็นสุขภาพใจของพวกเราด้วยนั่นเองค่ะ
เวลานี้ทุกคนคงมีเรื่องกังวล แต่ก็อย่าให้ความกังวลชักนำเราไป จนสับสนและไม่เป็นตัวของตัวเองนะคะ
ล่าสุดได้ข่าวว่ากระทรวงสาธารณสุข มอบหมายให้โรงพยาบาลต่างๆเปิดช่องทางสอบถามเรื่อง COVID19 ในท้องที่แล้ว ก็อาจช่วยให้ทุกท่านสบายใจ และมองเห็นภาพต่างๆได้ชัดเจนขึ้นค่ะ
ก็ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ
ติดตามบทความใหม่ ๆ จากเพจวันนี้ชั้นติ่งอะไรได้ทุกวันอังคารที่ 2 และ 4 ของทุกเดือน บน LINE TODAY และหากสามารถอ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่เพจวันนี้ชั้นติ่งอะไร
อ้างอิง
Harari YN. Sapiens: A brief history of humankind. Random House; 2014.
Lee JD. An epidemic of rumors: How stories shape our perception of disease. University Press of Colorado; 2014 Mar 15.
Kramer RM. Paranoid cognition in social systems: Thinking and acting in the shadow of doubt. Personality and Social Psychology Review. 1998 Nov;2(4):251-75.
ความเห็น 3
ส่วนมากแล้วข่าวลือต่างๆที่เกิดขึ้นมาได้ ก็คงจะเป็นว่าคนเรานั้นขาดในการพิจารณาถึงในความเป็นจริงและก็ชอบตีความไปตามความคิดของตนเองซะเป็นส่วนมาก.
14 เม.ย. 2563 เวลา 12.51 น.
มานุษย์เรามักมีเอกลักษณ์เป็นของตน
แต่สำคัญกว่าเอกลักษณ์ คือ สันดานในใจตน
14 เม.ย. 2563 เวลา 12.36 น.
.~★☆ PikaPiPi ☆★~.
คนที่เชื่อข่าวลือ เขาเรียกว่า...
■ หูเบา ■
🙄🙄🙄
14 เม.ย. 2563 เวลา 13.20 น.
ดูทั้งหมด