โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เล่าเรื่องหนัง : Street Food ชีวิตอัน 'แร้นแค้น' ของคนขายอาหารริมทาง แต่ 'รุ่มรวย' ทางวัฒนธรรมการกิน

MATICHON ONLINE

อัพเดต 19 พ.ค. 2562 เวลา 08.55 น. • เผยแพร่ 19 พ.ค. 2562 เวลา 08.51 น.

ท่ามกลางบทความ ข้อเขียน ของ “นักรีวิว” “บล็อกเกอร์” วิดีโอคลิปของเหล่า “ยูทูบเบอร์” มืออาชีพจนถึงมือสมัครเล่น ที่ล้วนร่วมกันผลิตคอนเทนต์ “รีวิว” แนะนำ

พาตะลอนชิม“อาหารริมทาง” หรือ “สตรีทฟู้ด” จนมีให้อ่าน ให้ดูกันมากมายก่ายกอง พวกเขาได้นำเสนอให้เราเห็นมุมภาพสุดแสนน่าอร่อยจนควรค่าแก่ตามรอยไปกิน

เห็นภาพบรรดานักชิม นักกิน อ้าปากเคี้ยวสำแดงสีหน้าสีตาที่บ่งบอกถึงรสชาติที่จะลืมไม่ลง ไปจนถึงสารพัดอากัปกิริยาที่เป็นหนึ่งในอวัจนภาษาของการรีวิวอาหารการกิน

ยิ่งหากเป็นการรีวิวที่เกี่ยวข้องกับอาหารริมทางแล้ว แน่นอนว่าเหล่าผู้คนยุคนี้ชื่นชอบที่จะดูคอนเทนต์ที่ได้เห็นกระบวนการ และวิธีปรุงในแบบฉบับของสตรีทฟู้ด ที่แม้จะเป็นเมนูที่เราเคยเห็นจนชินตา แต่โลกแห่งการรีวิวอาหารได้สร้างภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหวที่ทำให้คนดูอย่างเราตื่นตาเร้าใจ เห็นเปลวไฟลุกโชน เห็นการพลิกย่างอาหารอย่างมีจังหวะน่ามอง ได้เห็นการตักนั่น หั่นนี่ โยนสิ่งละอันพันละน้อยไปในหม้อที่มีควันลอยคลุ้ง ได้ยินเสียงมีด ตะหลิว สารภี ช้อน ส้อม ตะเกียบ กระทบกันแข่งกับเสียงจอแจบนถนน

เป็นความบันเทิงที่ทั้งสนุกสนาน และชวนหิวอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งสื่อสะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของสตรีทฟู้ดทั่วโลก และกลายเป็นเทรนด์มาหลายปีผ่านการเล่าเรื่องของนักรีวิว

อย่างไรก็ตามงานรีวิวอาหารริมทางส่วนมากมักนำเสนอ บอกเล่าถึงฉากหน้าอันมีสีสัน มากกว่าจะใช้เวลาสาธยาย “เบื้องหลัง” ชีวิตของคนทำอาหารในแบบเจาะลึก และถึงแม้จะได้เห็นหน้าค่าตาเจ้าของเมนูสตรีทฟู้ดนั้น เราก็มิอาจล่วงรู้ได้ถึงชีวิตที่ลึกไปกว่าลีลาการปรุงสูตรเด็ดนั้น

ในเมื่อคนขายสตรีทฟู้ดมีมากมายอยู่ริมทางจึงเป็นธรรมดาที่คอนเทนต์ “อาหารริมทาง” ส่วนมากต้องโฟกัสไปที่สีสันความน่ากินของอาหารนั้นๆ ซึ่งดูน่าตื่นเต้นเร้าใจมากกว่าจะมาเล่าชีวิตอันแร้นแค้นแสนเศร้าของคนทำอาหาร

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องราวชีวิตอันน่าค้นหาของคนทำอาหารมานำเสนอ โลกนี้มีสารคดีเกี่ยวกับอาหารมากมายทั่วโลกที่บอกเล่าถึง“ชีวิต” และเบื้องหลังเรื่องราวของพวกเขา อาทิ สารคดีดังอย่าง “Chef”s Table” ที่เล่าเรื่องราวทั้งสวยงามและเจ็บปวดของผู้ได้ขึ้นชื่อว่า “เชฟ” ที่ต้องเผชิญมรสุมต่างๆ ก่อนจะมาถึงจุดสูงสุดแห่งรสชาติอาหาร

ไปจนถึงภาพยนตร์สารคดีที่เจาะชีวิตของเชฟที่ประสบความสำเร็จหลายคนทั่วโลก ซึ่งนำเสนอให้เห็นวินัยและความมุ่งมั่นที่สำคัญพอๆ กับพรสวรรค์ของเขาเหล่านั้น

แต่ทั้งหมดที่ว่ามา ไม่ใคร่จะมีสารคดีที่พูดถึงชีวิต “คนทั่วไป” ที่ไม่ใช่เชฟ แต่เป็นคนที่ “ปรุงขายอาหารสตรีทฟู้ด” ในชีวิตประจำวัน ซึ่งซีรีส์สารคดีล่าสุดที่ชื่อ “Street Food” เข้ามาทำหน้าที่ขยายมุมมองนี้

ซีรีส์สารคดีความยาว 9 ตอน ตอนหนึ่งเฉลี่ย 30 นาที แบ่งการเล่าเรื่องออกเป็นอาหารริมทาง 9 เมือง จาก 9 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินเดีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น

สารคดีพาไปรู้จักร้านอาหารริมทางหลายร้านที่เป็นที่รู้จัก และขายดีในหมู่ผู้คนท้องถิ่น โดยมีวิธีนำเสนอให้เห็นถึง “ชีวิต” ของเจ้าของร้านอาหารริมทางเหล่านี้ ว่าแต่ละคนมีที่มาอย่างไร ชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร และพาไปสัมผัสชีวิตที่ผูกพันในย่านค้าขายของตัวเอง เพื่อให้คนกินได้เห็นมิติต่างๆ เสริมมากขึ้น นอกจากรับรู้เพียงว่า นี่คือร้านสตรีทฟู้ดที่ขายดีและควรมาลองชิม แต่กลับไม่รู้จักชีวิตพื้นเพของคนปรุงอาหารรสชาติเด็ดถูกใจเราเอาเสียเลย แม้ตัวสารคดีจะดูดราม่า และขับเน้นตัว “บุคคล” อย่างมากจนอาจทำให้คนดูที่แม้จะเห็นภาพอาหารน่ากินตรงหน้าและรู้สึกหิวตาม ก็ยังมีบางช่วงบางตอนที่ถึงกับมีน้ำตาซึมออกมา

เพราะชีวิตคนทำอาหารริมทางขายนั้นล้วนมาจากความยากลำบาก แร้นแค้น และต้องหา“หนทาง”

ที่มาที่ไปของพวกเขา มีตั้งแต่เมื่อชีวิตถึงทางตัน สิ่งที่คิดทำเลี้ยงชีพได้ คือ อาหารบางเมนูที่ได้รับการสั่งสอนฝึกทำมาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อแม่ถึงรุ่นตัวเอง อาหารที่ทั้งชีวิตทำเป็นอยู่อย่างเดียวนั้นเองก็พาให้รอดตาย หรือบางคนที่มีความใฝ่ฝันจะมีธุรกิจเล็กๆ ของตัวเองด้วยน้ำพักน้ำแรงเงินเก็บไม่มากมาย ทำได้คือการเปิดแผงร้านเล็กๆ ขายริมทาง บ้างก็พัฒนาเมนู บ้างก็ยึดสูตรบรรพบุรุษ อาหารริมทางบางเมนูที่โด่งดัง บ้างก็มาจาก“ข้อจำกัด” บางอย่างทำให้คิดค้นเมนูเด็ดโดนใจมาได้

ขณะเดียวกัน ตัวสารคดียังสอดแทรก ข้อมูลความรู้ด้านวัฒนธรรมอาหารริมทางหลายเมนู เช่น สตรีทฟู้ดในอินเดียที่เป็นที่นิยม ไม่ว่าจะเป็น“นิฮาริ” หรือแกงสตูเนื้อ “ซีกข์เคบับ” เนื้อแกะบดผสมเครื่องเทศนำมาย่าง ไปจนถึง“อลูติ๊กกี้” มันฝรั่งบดผัดไส้ด้วยถั่ว “โชเลบะตูเร” ถั่วลูกไก่ต้มกับเครื่องเทศกินกับขนมปังฟู เหล่านี้เป็นเมนูที่รุ่มรวยทางวัฒนธรรมอันหลากหลายของประวัตศาสตร์ในอดีตของอินเดีย บางเมนูนั้นย้อนไปได้ถึงจักรวรรดิโมกุล ซึ่งอาหารริมทางอินเดียนั้นมีความเก่าแก่สูงมาก สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ และอารยธรรมที่หล่อหลอมผ่านอาหารการกินของผู้คนในอดีตจนถึงปัจจุบัน

ขณะที่ในตอนของประเทศไทย ขับเน้นไปที่เรื่องราวและชีวิตของ “เจ๊ไฝ” เจ้าของร้านอาหารริมทางคู่ย่านประตูผี ที่เปิดมานานเกือบ 4 ทศวรรษ ซึ่งเจ๊ไฝก็เหมือนเจ้าของร้านสตรีทฟู้ดอีกหลายล้านคนบนโลกนี้ที่ “สู้ชีวิต” ด้วยตัวเองอย่างไม่ยอมแพ้

เราจะได้ฟังเรื่องเล่าในอดีต ขนานไปกับการเสนอภาพ หญิงวัยกว่า 70 ปี ที่ยังมีพละกำลังแรงแขนที่จะกระดกกระทะอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อเลี้ยงไฟ ทอดไข่เจียวปู เมนูอันมีชื่อเสียงของเจ๊ไฝให้คงมาตรฐาน

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่คนดูอย่างเราจะรู้สึกแค่อยากชิมเมนูของเจ๊ไฝ เพราะการันตีด้วยมิชลินสตาร์ 1 ดาว เท่านั้น แต่คนดูยังแทบจะสัมผัสได้ถึงความเหน็ดเหนื่อยของคนทำงานหน้าเตาที่ทุ่มเท และรักษามาตรฐาน “รสมือ” ด้วยความตั้งอกตั้งใจในทุกวันด้วย

เนื้อหาในซีรีส์สารคดี “Street Food” สามารถสร้างพลังใจถึงคนดูได้ไม่มากก็น้อย

บรรดาเจ้าของสตรีทฟู้ดเหล่านี้มีความเป็นตัวของตัวเอง และเข้าใจสิ่งที่ทำมากพอ

เช่นที่ “โทโยะ” พ่อครัวร้านอิซากายะริมทางชื่อดังแห่งโอซากา บอกไว้ว่า “คุณต้องแข็งแกร่งพอที่จะสร้างกระแสน้ำของตัวเอง เพราะคุณคาดหวังให้ผลออกมาดีไม่ได้ ถ้าแค่ว่ายไปตามน้ำ ซึ่งผมเตรียมพร้อมทุกความท้าทายอย่างไม่ลังเล”

แน่นอนว่าบรรดาคนทำอาหารริมทางที่ประสบความสำเร็จ เขาเหล่านั้นต่างมี “กระแสน้ำ” ของตัวเองเช่นกัน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...