โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

"โม่ สัมบุณณานนท์" นักชกไทยคนแรกพิชิต "มวยฝรั่ง" ยุคมวยสากลเพิ่งนำเข้าไทย

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 27 ม.ค. 2565 เวลา 10.25 น. • เผยแพร่ 01 พ.ค. 2564 เวลา 12.07 น.
(ซ้าย) โม่ สัมบุณณานนท์ ช่วงชนะเลิศมวยนักเรียน พ.ศ. 2466 (ขวา) ภาพถ่ายนายโม่ เมื่อ พ.ศ. 2472 [ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม, มิถุนายน 2526]

ปัจจุบัน วงการมวยเมืองไทยกําลังให้ความนิยมมวยแบบสากลกันอย่างกว้างขวาง มีการส่งเสริมให้มีการแข่งขันกันอยู่เสมอ ทั้งระหว่างชาติ โดยการสั่งนักมวยจากต่างประเทศเข้ามาชกในเมืองไทย หรือส่งนักมวยไทยออกไป ชกต่างประเทศ และทั้งระหว่างนักมวยไทยด้วยกันเอง เพื่อคัดเลือกคนเก่งไปแข่งขันในระดับโลกต่อไป

ในระยะ 20 ปีมานี้ (หมายถึงระหว่าง 2506 ถึง 2526) เรามีนักมวยชาวไทยหลายคนที่เอาดีทางการชกแบบสากลจนได้ขึ้นเป็นแชมเปี้ยนโลก เช่น โผน กิ่งเพชร, ชาติชาย เชี่ยวน้อย, เบิกฤกษ์ ชาติวันชัย, เวนิช บ.ข.ส., แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ และ เนตร น้อย ศ. วรสิงห์ ส่วนที่เป็นระดับรองแชมปก็มีอีกมากมาย แต่ถอยหลังไปจากปัจจุบัน (2526) ราว 70 ปี มวยสากลหรือ “มวยฝรั่ง” ยังเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเมืองไทย และคงไม่มีใครคาดคิดว่า วันหนึ่งคนไทยจะสามารถพิชิตฝรั่งต่างชาติได้ด้วยการต่อสู้ที่จำกัดให้ใช้แต่เพียงหมัดเช่นนั้น

กำเนิด “มวยฝรั่ง” ในประเทศไทย

การชกมวยแบบชาวตะวันตก หรือที่แต่เดิมเรียกกันว่า “มวยฝรั่ง” นั้น ได้เข้ามาสู่เมืองไทยเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2455 โดยหม่อมเจ้าวิบูลย์สวัสดิวงศ์ สวัสดิกุล ซึ่งได้ทรงไปศึกษาในต่างประเทศ ได้ทรงนำเอาวิชาการชกมวยแบบฝรั่งมาจากประเทศอังกฤษ แล้วทรงเผยแพร่ฝึกสอนแก่บรรดาครูอาจารย์ที่สามัคยาจารยสมาคม (ในโรง เรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย)

นอกจากนั้นยังได้ทรงคิดค้นกำหนดกติกาข้อบังคับ ในการแข่งขันขึ้นใช้อีกด้วย ต่อจากนั้นมาวิชามวยฝรั่งก็แพร่หลายไปสู่โรงเรียนต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว (นอกจากวิชามวยแล้ว ท่านยังได้นำเอาวิชาการต่อสู้แบบญูญิตสูมาเผยแพร่ด้วยเช่นกัน)

ในระยะแรก ๆ มวยสากลหรือมวยฝรั่งได้มีการแข่งขันกันแต่เฉพาะในหมู่โรงเรียนต่าง ๆ ก่อน เป็นชนิดมวยสมัครเล่นของนักเรียน ต่อมาจึงได้กลายมาเป็นการแข่งขันแบบมวยอาชีพขึ้นในที่สุด

มวยสากลอาชีพ

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานที่ดินส่วนหนึ่งให้เป็นสวนสาธารณะ สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจของประชาชนที่เรียกว่า สวนลุมพินีนั้น พระยาคทาธรบดีสีหบาลเมือง ก็ได้ขอเช่าพื้นที่บริเวณสวนสาธารณะนี้ทางด้านศาลาแดง เพื่อจัดให้มีการละเล่นต่าง ๆ เรียกว่า สวนสนุก โดยเจ้าคุณคทาธร ฯ ร่วมกับหลวงรอบรู้กิจ (ทองดี ลีลานุช) เป็นผู้ดําเนินการ

และที่สวนสนุกแห่งนี้ นอกจากจะมีการแสดงต่าง ๆ และการแข่งขันชกมวยไทยแล้ว ยังได้มีการส่งนักมวยต่างประเทศเข้ามาชกโชว์ในแบบมวยสากล ให้ประชาชนชมอยู่เสมอ เรียกกันในขณะนั้นว่า เต็ดโชว์ (Ted Show)

การที่ได้จัดให้มีการชกโชว์ในเชิงสากลนี้ เป็นแนวความคิดของเจ้าคุณคทาธรฯ เพื่อเสริมสร้างให้เกิดความนิยม ศิลปะการต่อสู้แบบนี้ขึ้นในเมืองไทย ซึ่งในที่สุด หลังจากที่นักมวยต่างชาติชกกันเองเป็นการโชว์หลายรอบแล้ว ก็เกิดมีนักมวยชาวไทย 2 คน อาสาขึ้นชกในแบบมวยฝรั่งกับนักมวยต่างประเทศ หรือพวกเต็ดโชว์เหล่านั้น คือนายสุวรรณ นิวาสวัด ซึ่งเป็นนักมวยชั้นนำผู้หนึ่งในเชิงมวยไทยสมัย นั้น และนายโม่ สัมบุณณานนท์ อดีตผู้ชนะเลิศมวยนักเรียนแบบมวยฝรั่ง รุ่น ข. 2 ปีซ้อน

คลิกอ่านเพิ่มเติม : เส้นทางสู่กำเนิด “มวยไทยสากล” และตำนานนักชก ผู้บุกเบิกมวยไทยสมัยใหม่

วันประวัติศาสตร์วงการมวยเมืองไทย

7 ธันวาคม 2472 วันแห่งประวัติศาสตร์ของวงการมวยเมืองไทยก็ได้อุบัติขึ้น โดยนักมวยชาวไทย 2 คนได้ขึ้นชกกับนักมวยต่างชาติในแบบมวยฝรั่ง นับเป็นครั้งแรกของเมืองไทย นายสุวรรณ นิวาสวัต ชกกับนายเทอรี่ โอคัมโป นักมวยชาวฟิลิปปินส์ และนายโม่ สัมบุณณานนท์ ชกกับนายยีซิล โคโรน่า ชาวฟิลิปปินส์เช่นกัน โดยมีนายเย.ดี. เพาเวลล์ ชาวอังกฤษเป็นกรรมการผู้ตัดสิน และในคืนที่จัดแข่งขันนั้นร.อ. หลวงปฏิยัตินาวายุทธ ร.น. แห่งหน่วยวิทยุทหารเรือก็ได้ออกกระจายเสียงการชกครั้งสำคัญไปยังต่างประเทศด้วย

ในคืนวันที่นักมวยทั้ง 2 จะขึ้นเชิงชัยนั้น ผู้คนต่างพากันมาชมอย่างคับคั่ง หมายดูนักมวยไทยสำแดงเดชถลุงนักชกจากต่างแดนให้ราบเป็นหน้ากลองไป แต่แล้วเมื่อเริ่มคู่แรกระหว่างนายสุวรรณ กับโอคัมโป นายสุวรรณก็ต้องพ่ายแพ้แก่คู่ต่อสู้ไปแค่ยกที่ 4 เท่านั้นเอง

คู่ต่อมาคือนายโม่ สัมบุณณานนท์ อดีตผู้ชนะเลิศมวยฝรั่งรุ่น ข. จากโรงเรียนพาณิชยการวัดแก้วแจ่มฟ้าล่างขึ้นชิงชัยกับยีซิล โคโรน่า เมื่อสัญญาณการแข่งขันในยกที่ 1 ดังขึ้น นายโม่ ก็บุกเข้าใส่นายโคโรน่าอย่างดุเดือด โดยนายโคโรน่าต้องตกเป็นฝ่ายรับตลอดเวลา ยิ่งเมื่อการชกผ่านไป นักชกจากฟิลิปปินส์ก็ถึงล้มลุกคลุกคลาน หน้าบวมปากแตกเลือดอาบ แต่นายเพาเวลล์ กรรมการผู้ตัดสินชี้ขาดบนเวทียังไม่ยอมจับมือให้นายโม่ชนะ คงปล่อยให้การชกดำเนินไปจนถึงยกที่ 4

ในที่สุดนายพันตํารวจโท พระรักษาพลบุรี ก็ทนเห็นการไล่ชกข้างเดียวอันแสนทารุณนั้นต่อไปไม่ได้ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการฆาตกรรมกันบนเวที จึงขึ้นไปบนเวที และให้กรรมการสั่งระงับการชกเสีย นายโม่จึงเป็นฝ่ายชนะแบบเทคนิเกิ้ล น็อคเอาท์ไปอย่างเด็ดขาดในยกนี้เอง

ในการชกกันของมวยคู่นี้ หนังสือลําตัดพญาลอมวยสวนสนุก ได้บรรยายไว้อย่างสนุกสนานมีชีวิตชีวา จะขอคัดเอาคำบรรยายในช่วงสองยกสุดท้ายมาให้เห็นภาพการต่อสู้ในวันนั้น ดังนี้

บทที่ 5

(ลูกคู่) มวยดี! นี่แหละมวยดัง ยกนี้แหละต้องจังยิ่งกว่าครั้งใด ๆ เมื่อทีแรกตั้งใจนึกว่า ได้กินหมู ต้องนึกว่าดีมีอยู่ (เว้) เขาย่อมกู้กันไปฯ

o เผงระฆังยกสาม บอก ณ ตามสัญญาณ จึงนักมวยสองหาญ รีบทยานเข้าใกล้, พอจดหมัดยัดผับ โม่ขยับต่อยเพียะ ซอยยีซิล ฉับเฉียะ บ๊ะถูกเดียะเร็วไว, ผับ หน้าเผงจมูก ดูมันถูกทุกที่ ล่อโน่นขยับนี้ โม่ซอยถี่รุกใหญ่, ฉับ ๆ ๆ เฉียะ ๆ เผี่ยะ ๆ ๆ ไม่มีผิด นายยีซิลสุดคิด โม่ยิ่งติดรุกไล่, ล่ออีกฉับติดเชือก ขยับเสือกอีกฉาด พอเซโม่โถมปราด (เว้) รุกเข้าฟาดวงใน ฯ

๐ นายยีซิลเคยคนอง ต้อง สุดป้องสุดปิด พักตร์สบัดหน้าบิด ในตาปิดเลือดไหล, จมูกครึ่ง ปากครึ่ง นายโม่งฉึ่งฉาดเฉียะ พับ ๆ ๆ ผัวะเผียะ ต่อยเดียะเป็นลูกไล่, ปิดเท่าไรไม่อยู่ ต้องงง ดูงันตื้อ สองในตาปิดปรือ เพราะฝีมือคนไทย, โดนเข้าผับติดเชือก ซะเซเฮือกติดหมัด สุดจะป้อง สุดจะปัด สุดจะทัดทานไหว, โม่ต่อยเอาต่อยเอา จนน้ำเดาเลือดนาสิก ไหลออกมาริก ๆ (เว้) โม่ ขยิกซอยใหญ่ ๆ

๐ พอดีหมดเวลา ตามสัญญา ดิ่งดัง จึงต่างคนต่างนั่ง พี่เลี้ยง ข้างเคียงไหล่, ฝ่ายตํารวจแลผิน เห็นฟิลลปปินเจ็บมาก กลัวจะล้มตายซาก เพราะหมัดหนักคนไทย จึงห้ามเป็นเด็ดขาด ไม่ให้ฟาดกันต่อ ต่อยเท่านี้เป็นพอ เดี๋ยวจะม้อบรรลัย, ตกลงหยุดเท่านั้น กรรมการนับคะแนน ให้นายโม่หมัดแน่น เป็นคะแนนชนะได้, เสียงคนไทยไชโย ฮิบ โฮโรอวยพร แยกย้ายกันบทจร กลับนอนกันเปรมใจ ฯ

๐ น่าชมฝีมือโม่ อุส่าห์โชว์ไทยหมัด แก้สุวรรณได้ชัด ไม่ได้ประมาทคนไทย, ส่วนคนดูยัดเยียด เราก็เบียดออกมา ครั้นจะรอชักช้า จะเวลาดึกไป…

นายโม่เป็นใคร ?

นายโม่ เกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2447…ถนนทรงวาด ตําบลโรงพยาบาลจีน (หลังวัดสัมพันธวงศ์ หรือวัดเกาะ) อําเภอสัมพันธวงศ์ จังหวัดพระนคร เป็นบุตร นายกิ๊ด มหาดเล็กวิเศษ กับนางจุ่น สัมบุณณานนท์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 12 คนด้วยกัน โดยนายโม่เป็นคนที่ 3 และเป็นบุตรชายคนโต ในบรรดาน้อง ๆ ของนายโม่นี้ มีคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะศิลปินนักร้องนั้นคือ คํารณ สัมบุญณานนท์

ในปี 2455 นายโม่ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนราษฎร์เจริญ จนจบประถมปีที่ 3 แล้ว ก็เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมวัดปทุมคงคา จนจบชั้นมัธยม 7 จากนั้นจึงย้ายไปเรียนต่ออีกที่โรงเรียนพาณิชยการวัดแก้วแจ่มฟ้าล่าง

หัดมวยฝรั่ง

เมื่อนายโม่เป็นนักเรียนของโรงเรียนมัธยมวัดปทุมคงคาอยู่นั้น ได้มีความสนใจในด้านกีฬามวยฝรั่งเป็นพิเศษ ซึ่งในเวลานั้นก็ได้มีการจัดแข่งขันกันในระหว่างโรงเรียนต่าง ๆ อยู่เป็นประจํา จนปี 2464 ขณะมีอายได้ 18 ปี ก็ได้เริ่มฝึกหัดกับครูวาด ยิ้มละมัย ครูโรงเรียนปทุมคงคานั้นเอง ครูวาดผู้นี้เป็นศิษย์เรียนวิชามวยมาจากหม่อมเจ้าวิบูลย์สวัสดิวงศ์อีกชั้น

สู่สังเวียนผ้าใบ

ปี 2465 นายโม่ก็ได้เข้าร่วมการแข่งขันมวยนักเรียน (มวยฝรั่ง) รุ่น ข. (126 ปอนด์) สถานที่จัดการแข่งขันคราวนี้คือที่สามัคคยาจารยสมาคม และมีหม่อมเจ้าวิบูลย์สวัสดิวงศ์ สวัสดิกุล ทรงเป็นกรรมการผู้ตัดสินชี้ขาดปรากฏว่าในปีแรกนี้ นายโม่แพ้ในรอบคัดเลือกเพราะยังขาดความชำนาญ แต่อย่างไรก็ตาม การพ่ายแพ้จนต้องตกรอบไปในปีแรกนั้น ก็หาได้ทำให้นายโม่ทดท้อใจไม่ กลับยิ่งมุมานะเร่งฝึกซ้อมเป็นการใหญ่เพื่อการเข้าชิงชัยในปีต่อไป

ในปีรุ่งขึ้น นายโม่ก็ได้เข้าสมัครแข่งขันมวยนักเรียน รุ่น ข. อีก ในนามของโรงเรียนมัธยมปทุมคงคา ผ่านเข้ารอบจนได้ชิงชนะเลิศกับนักเรียนจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ ผลปรากฏว่า นายโม่เป็นผู้ชนะ ได้รับพระราชทานรางวัลจากพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อันนับเป็นเกียรติสูงสุดในวงการมวยทีเดียว

ในปี 2467 เมื่อนายโม่ได้ย้ายมาศึกษาต่อที่โรงเรียนพาณิชยการวัดแก้วแจ่มฟ้าล่างแล้ว ก็ได้เข้าแข่งขันชกมวยนักเรียนในรุ่น ข. อีกครั้งในนามของโรงเรียนพาณิชยการแห่งนี้ และได้เข้าชิงชนะเลิศกับนักเรียนจากโรงเรียนฝึกหัดครูพลศึกษา ซึ่งปรากฏผลว่า นายโม่ได้เป็นผู้ชนะเลิศไปอีกสมัยหนึ่ง ได้รับพระราชทานรางวัลจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เป็นปีที่ 2

นายโม่เรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้เพียงปีเดียวก็ต้องลาออก เพราะถูกเกณฑ์ทหารในปี 2468 ต้องไปรับราชการประจำเป็นทหารเสนารักษ์ ประจําอยู่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จนปลดประจำการในปี 2470 ในช่วงที่เป็นทหารอยู่นี้ เมื่อมีเวลาว่างก็ยังคงซ้อมมวยอยู่บ้าง เมื่อพ้นราชการมาแล้วจึงได้รื้อฟื้นการฝึกซ้อมเป็นการใหญ่ โดยอาศัยลานพระอุโบสถวัดเกาะนั้นเองเป็นสถานที่ฝึกซ้อม

หลังจากที่นายโม่มีชัยชนะต่อนายยีซิล โคโรน่าแล้วนายเทอรี่ โอคัมโป ผู้พิชิตนายสุวรรณ นิวาสวัตก็ได้ส่งตัวแทนไปท้านายโม่ เพื่อขอแก้มือแทนเพื่อนร่วมชาติ แต่นายโม่ก็ได้ตอบปฏิเสธอย่างนิ่มนวลและสุภาพที่สุดไปถึง 2 ครั้ง 2 ครา เพราะถือว่าตนเป็นแต่เพียงนักมวยสมัครเล่นเท่านั้น และ ประกอบกับความเรื่องนี้ได้ทราบไปถึงเจ้าคุณภักดีนรเศรษฐ์ เจ้าของห้างน้ำแข็งนายเลิศ ท่านได้ห้ามปรามเสีย เพราะไม่ต้องการให้นายโม่ต้องเจ็บเนื้อ เจ็บตัวอีก เนื่องจากนายโม่ก็ทํางานอยู่ในห้างนายเลิศของท่านเป็นหลักเป็นแหล่งอยู่แล้ว และนโยบายของทางห้างก็ไม่ต้องการให้พนักงานไปชกมวย อาชีพแต่อย่างใด

ถึงจะปฏิเสธไปแล้ว แต่นายโอคัมโปก็ยังพยายามท้าทายต่าง ๆ นานา อย่างไม่ลดละ แน่ละนายโม่ก็เป็นคนหนุ่ม มีชีวิตจิตใจ และมีเลือดแห่งความเป็นนักสู้อยู่เต็มตัว ที่สุดก็ไม่อาจอดทนต่อคําสบประมาทของชาวต่างชาติได้ จึงตอบตกลงไปทันที

พ่ายก่อนชก

ข่าวการตอบตกลงของนายโม่รู้ไปถึงนาย ซี.เอส. ริชาร์ดสัน ผู้จัดการใหญ่ จึงเรียกนายโม่เข้าพบ พร้อมกับยื่นเซอติฟิเกตของทางห้างให้นายโม่ ออกจากงาน และขอบใจที่อุตส่าห์ร่วมทำงานด้วยกันมาด้วยความเคร่งครัด และขยันขันแข็งในหน้าที่เป็นอย่างดีตลอดมา เหตุผลที่ต้องให้ออกก็คือ นายโม่เป็นนักมวยอาชีพ เกรงว่าจะทําให้งานของบริษัทต้องเสียหายในภายหลัง

เมื่อนายโม่ถูกเชิญออกจากงานก็หมดกำลังใจที่จะชกมวยต่อไป ได้แต่ฝึกซ้อมไปอย่างแกน ๆ ไร้ชีวิตจิตใจ เพราะพะวงอยู่แต่เรื่องอาชีพการงาน ของตนที่ต้องหลุดลอยไป และจะต้องหางานใหม่ทําให้ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ปัญหาของครอบครัวที่เขาจะต้องรับผิดชอบดูแลแทนบิดาผู้ล่วงลับ ไปแล้วเป็นเรื่องหนักหนาพอดู เมื่อต้องออกจากงานเช่นนี้ ความยุ่งยากก็ติดตามมาหนักหน่วงขึ้นไปอีก

และแล้ววันแห่งการชิงชัยก็มาถึง คือวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2473 อันเป็นวันแห่งความพ่ายแพ้ และเป็นวันสุดท้ายแห่งชีวิตบนสังเวียนของนายโม่ด้วย การชกครั้งนี้จัดขึ้นที่เวทีสวนสนุกเหมือนครั้งก่อน ผู้คนต่างตีตั๋วเข้าชมกันอย่างแน่นขนัดเพื่อจะดูนายโม่ถลุง นักชกจากฟิลิปปินส์ ให้อยู่มือเป็นการ ล้างแค้นให้กับสุวรรณ นิวาสวัตที่ต้องปราชัยไปในคราวที่แล้ว

การชกครั้งนี้หลวงพิพัฒน์พลกาย เป็นกรรมการผู้ชี้ขาดบนเวที เมื่อเริ่มยกแรกนายโม่ยังคงทะมัดทะแมงดี แต่ครั้นเมื่อล่วงถึงยก 2-3 ปรากฏว่านายโม่มีอาการอ่อนเปลี้ยลงอย่างผิดสังเกต หลวงพิพัฒน์พลกายก็จ้องดูนายโม่อย่างสงสัยและคนดูก็เริ่มรวนเร จนถึงยกที่ 4 นายโม่มีอาการเปลี้ยลงไปอีก นายโอคัมโปก็รุกใหญ่ จนที่สุดหลวงพิพัฒน์พลกายก็ต้องยุติการชก ชูมือให้เทอรี่ โอคัมโปเป็นฝ่ายชนะไป

จากการพ่ายแพ้ในครั้งนี้ นายโม่ ก็ประกาศเลิกชกมวยอย่างเด็ดขาดเพื่อไปประกอบอาชีพเป็นหลักฐาน สําหรับการรับผิดชอบต่อครอบครัวต่อไป (ใน ปี 2474 ก็ได้เข้ารับราชการในกรมรถไฟหลวง กระทั่งเกษียณอายุในปี 2508) ซึ่งในการพ่ายแพ้นี้ แฟนมวยทั่วไปต่างก็ลงความเห็นต้องกันว่า เหตุที่นายโม่แพ้เพราะขาดกําลังใจในการฝึกซ้อมและการชก เพราะต้องออกจากงานนั่นเอง ซึ่งทุกคนก็เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นได้ดี

ชีวิตที่ผกผัน

หลังจากที่นายโม่เล็กชกมวยแล้ว ก็ได้ทํางานในกรมรถไฟหลวงตลอดมาจนได้เลื่อนขึ้นเป็นข้าราชการชั้นโท ตําแหน่งหัวหน้าแผนกบัญชีเดินรถร่วม การรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อเกษียณอายุแล้วก็คงพักผ่อนอยู่กับบ้าน กระทั่งถึงแก่กรรมในตอนเช้าวันที่ 26 พฤษภาคม 2520 ด้วยโรคเบาหวาน กับเส้นเลือดอุดตันในสมอง รวมอายุได้ 72 ปีเศษ

และก่อนที่นายโม่จะถึงแก่กรรม ท่านก็ได้มีโอกาสเห็นนักมวยชาวไทยคนแล้วคนเล่าก้าวขึ้นไปครองตําแหน่งแชมเปี้ยนโลกมวยฝรั่ง ท่านจะคิด อย่างไรเราไม่ทราบ แต่โดยตัวของท่านเอง เราต้องให้เกียรติด้วยความคารวะว่า ท่านคือนักชกไทยคนแรกที่พิชิตมวยฝรั่งได้สําเร็จด้วยศิลปะการ ต่อสู้ที่ยังใหม่มากสําหรับเมืองไทยในเวลานั้น

อันที่จริงนายโม่มิได้เป็นแต่เพียงนักมวยเท่านั้น ท่านยังเป็นนักเขียน และนักดนตรีด้วย งานเขียนส่วนมากเป็นกลอนลงในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ เช่นหนังสือพิมพ์การรถไฟ หรือหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ส่วนการเป็นนักดนตรีนั้นสมัยเป็นนักเรียนอยู่ปทุมคงคาก็ได้เข้าร่วมวงเครื่องสายของโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ (ผสมกับนักเรียนจากปทุมคงคา) พร้อมกับเพื่อนจากโรงเรียนเดียวกันมี อรุณ สัมบุณณานนท์ (น้องชาย), เหลี่ยม ประคองเพชร, จิตติ ติงศภัทิย์ และสมบุญ เวชชาปัชช์ โดยมีหลวงประดิษฐ์ไพเราะเป็นอาจารย์ผู้กำกับวง แม้ในระยะไม่กี่ปีก่อนถึงแก่กรรมก็ยังได้เข้าร่วมวงกับคณะหนุ่มน้อย ออกแสดงทางสถานีไทย ที.วี. ช่อง 4

ชีวิตของน้องชายคนหนึ่งของท่านคือ คำรณ สัมบุณณานนท์ เหมือนเป็นชีวิตที่ผูกพันกัน เพราะคำรณเคยหัดมวยและหมายจะเอาดีทางมวย แต่แล้วก็กลายมาเป็นศิลปินนักร้องนักแสดงที่มีความสามารถสูง หาตัวจับได้ยากจนทุกวันนี้ แม้จะถึงแก่กรรมไป 14 ปี และมีนักร้องใหม่ๆ เกิดขึ้นมากก็ตาม ส่วนนายโม่ที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับครูใหญ่ทางดนตรีไทย คือหลวงประดิษฐไพเราะกลับมามีชื่อเสียงทางมวย การดนตรีดูจะเป็นเพียงเครื่องหย่อนใจเท่านั้นเอง

คำเตือนใจจากผู้พิชิตมวยฝรั่งคนแรก

นายโม่ได้เขียนบทความสั้นๆ ในทำนองให้ข้อคิดแก่นักมวยรุ่นหลังเรื่อง “ชีวิตนักมวย” ลงในหนังสือเจริญกรุง ฉบับประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2473 มีความทั้งหมดว่า …

“ข้าพเจ้าสงบใจมาหลายเดือนเพราะว่าการชกมวยแบบตะวันตกได้ถูกห้ามและเผอิญได้รับอนุญาตให้นักมวยไทยได้ปล่อยฝีมือ ประจวบในคราวที่ได้รับอนุญาตเป็นเวลากระชั้นนัก โดยที่ข้าพเจ้ามิได้เตรียมตัวไว้ ทั้งนี้มีมีอุปสรรคขัดขวางอยู่บ้าง และอุปสรรคเหล่านี้ ข้าพเจ้าก็หาทำหาผู้ทำลายไม่ได้ จึงเป็นธรรมดาอยู่เองต้องกังวลใจ

ข้าพเจ้ามีงานเป็นหลักอาชีพ แต่ทว่าเป็นงานใช้ปากกา เมื่อข้าพเจ้าจะโยนปากกาทิ้ง ข้าพเจ้าต้องพิเคราะห์ดูว่า การจัดระบำในเวทีควรจะพึงเป็นอาชีพซึ่งยึดได้พอหรือไม่? เพราะขณะนี้ข้าพเจ้ามีอายุไม่ใช่หนุ่มนัก

เหตุที่ข้าพเจ้าสงบใจมาหลายเดือน ข้าพเจ้าได้ถูกร้องขอให้สวมนวมเข้าเวทีอีก มีนักมวยบางคนเชิญให้ข้าพเจ้าแข่งขันกับเขา ไม่ใช่เพราะข้าพเจ้าไม่สู้ ข้าพเจ้าได้พูดเป็นส่วนบุคคลว่าข้าพเจ้าไม่นึกจะมีอาชีพในทางมวยเลย แต่ยินดีในการแข่งขันกับข้าพเจ้าแล้วขอให้เป็นยุติธรรมสักหน่อย จะชกเพื่อชิงตำแหน่งเอกประเทศสยาม หรือชกเพื่ออะไรกัน

ชีวิตของนักมวยอาชีพเป็นชีวิตที่ไม่ถาวรเสมอไป ในระยะนักมวยกำลังหนุ่ม อาจกล่าวได้ว่าเป็นระยะซึ่งกำลังฟู แต่เมื่อมีวัย 30 ปีพ้นไปแล้ว ก็เป็นระยะกำลังแฟบลงทุกคราว เพราะฉะนั้นเมื่อการชกมวยแบบฝรั่งเพิ่งมาเริ่มความนิยมใน พ.ศ. 2471 เป็นเวลาที่ข้าพเจ้ากำลังมีอาชีพอยู่ทางหนึ่ง ยังทายไม่ถูกว่าข้าพเจ้าจะได้เข้าสนามอีกหรือไม่?

แท้จริงการชกมวยที่เป็นอาชีพต้องอาศัยผู้มีอุปการะสนับสนุน ไม่ใช่ว่าพอสวมนวมชกได้ก็เข้าในเวที สำหรับผู้ที่จะหาชื่อเสียงในทางมวยจริง ๆ ขอให้ล้มความคิดนี้เสียที เพราะว่าการชกมวยจะเจริญได้ย่อมอาศัยนักมวยเป็นผู้รักษาเกียรติยศ ไม่ใช่แต่ว่าชกเพื่อเอาเงินอย่างเดียว และทั้งนี้นายสนามย่อมต้องเห็นอกนักมวยบ้าง มิฉะนั้นการชกมวยแบบฝรั่งนานวันจะทรุดลง หาได้ดีเมื่อแรกไม่

ข้าพเจ้าหวังว่านายสนามคงจะได้จัดแจงป่าวประกาศ เลือกนักมวย สําหรับประเภทแบบตะวันตก และวันหน้า ๆ ต่อไปในการชกระหว่างนักมวยไทยกับนักมวยต่างประเทศ คงเป็นอาชีพของนักมวยไทยที่กําลังรุ่งๆ สืบไป”

คลิกอ่านเพิ่มเติม : กรมหลวงชุมพรฯ กับการเลี้ยงนักมวยในวัง สู่การปั้นชกไฟต์แห่งยุค กำปั้นไทยดวล “มวยจีน”

คลิกอ่านเพิ่มเติม : วังหน้าทรงพระพิโรธถีบฝรั่ง ชกมวยตุกติก หลังสู้กลเม็ดนักชกไทยไม่ได้

เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 16 มีนาคม 2563

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...