โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ปรีดี แปลก อดุล : คุณธรรมน้ำมิตร (38)

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 07 พ.ย. 2567 เวลา 07.14 น. • เผยแพร่ 07 พ.ย. 2567 เวลา 07.02 น.

หลวงอดุลฯ อยู่ฝ่ายไหน?

บทบาทของหลวงอดุลเดชจรัส ผู้บัญชาการทหารบกนั้นค่อนข้างจะคลุมเครือ เพราะในการประชุมครั้งพิเศษเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2490 ที่ทำเนียบท่าช้างของนายปรีดี พนมยงค์ พล.อ.อดุล อดุลเดชจรัส กล่าวว่า “ถ้ารัฐบาลยังจะทำตัวเลวอยู่เช่นนี้ เมื่อเกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหารขึ้นมาคิดว่าจะไม่ปราบปราม เพราะไม่ต้องการเอาทหารไทยไปฆ่าทหารไทยด้วยกันเอง”

และมีแนวโน้มว่าหลวงอดุลเดชจรัสน่าจะทราบความเคลื่อนไหวของคณะรัฐประหารเกือบทุกระยะแต่มิได้กระทำการขัดขวางหรืออาจจะมีส่วนร่วมสนับสนุนดังที่ สมุทร สุรักขกะ อธิบายว่าคณะรัฐประหารได้ส่งคนไปชวน พล.อ.อดุล อดุลเดชจรัส ครั้งแรกหลวงอดุลฯ ไม่ยอม แต่ “ได้ตกลงยินยอมในเวลาต่อมา แต่ขอสงวนท่าทีไว้ก่อน จะขออยู่หลังฉาก”

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ให้ความเห็นต่อท่าทีของหลวงอดุลเดชจรัส ในคืน 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ไว้ใน “แผนชิงชาติไทย” อย่างน่าสนใจว่า

จากการที่ผู้บัญชาการทหารบก หลวงดุลอดุลเดชจรัสน่าจะรู้เห็นกับการรัฐประหารเช่นนี้เองที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ว่า กำลังที่ก่อการรัฐประหารสายหนึ่งได้รับรหัสมาว่า“หลวงอดุลเดชจรัสเป็นพวกเดียวกันจึงได้หลงเชื่อ” ด้วยเหตุนี้ พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ จึงได้แถลงเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน หลังการรัฐประหารได้รับชัยชนะแล้วว่า หลวงอดุลเดชจรัสนั้นรู้เรื่องการรัฐประหารครั้งนี้และ “ตกลงจะเอาด้วย” แต่มีความเป็นไปได้ว่าหลังจากที่หลวงอดุลเดชจรัสทราบว่าหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์จะลาออกจากตำแหน่งและให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรีแทนจึงได้ออกมาพยายามระงับการรัฐประหาร แต่ไม่ทันการ เพราะคณะรัฐประหารได้เลื่อนเวลาลงมือมาเคลื่อนกำลังตั้งแต่ 21.00 น.ของวันที่ 8 พฤศจิกายน หลวงอดุลเดชจรัสจึงได้เข้าตั้งป้อมสู้ที่กองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 11 บางซื่อ คณะรัฐประหารจึงได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 3 มีข้อความตอนหนึ่งว่า

“ก่อนที่คณะเราจะลงมือกระทำการนั้นก็ได้ไปเชิญอ้อนวอน พล.อ.อดุล อดุลเดชจรัส แล้วเพื่อขอให้มาเป็นประมุขในการกระทำคราวนี้ โดยคณะของเราเห็นว่าท่านผู้นี้เป็นผู้ที่หวังดีต่อชาติโดยแท้จริง เหมือนดังที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจกัน อนึ่ง ท่านผู้นี้เองได้ตระหนักถึงความเหลวแหลกของรัฐบาลดีอยู่แล้วถึงกับปรารภอยู่เนืองๆ ว่ายินดีจะช่วยเหลือ แต่ครั้นถึงการกระทำเข้าจริงๆ ท่านผู้นี้ซึ่งใครๆ พากันหวังว่าเป็นคนรักชาติที่แท้จริงคนหนึ่งกลับกลายเป็นบุคคลสำคัญที่พยายามขัดขวางการกระทำของคณะทหารผู้หวังดีต่อประเทศชาติ”

เวลาประมาณ 06.30 น.ของวันที่ 9 พฤศจิกายน หลวงกาจสงคราม และ ร.อ.ขุนปรีชานนทเศรษฐ์ ได้นำทหารจำนวนหนึ่งไปยังที่ทำการกองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 11 ที่หลวงอดุลเดชจรัสรออยู่ ทหารสองฝ่ายได้ประจันหน้ากันที่สะพานเกษะโกมล แต่หลวงอดุลเดชจรัสได้ยินยอมที่จะประนีประนอมและยุติการต่อต้าน

ดังนั้น แถลงการณ์ของคณะรัฐประหารฉบับที่ 5 จึงได้อธิบายเพิ่มเติมว่า

“พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ตามที่แถลงการณ์ฉบับที่ 3 ได้แจ้งให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายทราบว่า พล.อ.อดุล อดุลเดชจรัส ได้กระทำการขัดขวางโดยการถอนกำลังทหารบางส่วนไปเพื่อเตรียมต่อต้านนั้น บัดนี้ได้ทำการตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีเหตุการณ์ที่น่าวิตกแต่อย่างใด การกระทำของท่านผู้นี้ก็ทำไปตามนิสัยคนไทยที่มีเลือดนักต่อสู้เท่านั้น บัดนี้ไม่มีเหตุการณ์ใดน่าวิตกแล้ว ขอให้ราษฎรจงคลายกังวล”

เมื่อคณะรัฐประหารประสบความสำเร็จในการยึดอำนาจแล้วก็ไม่แตะต้องตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกของหลวงอดุลเดชจรัส โดยออกประกาศวันที่ 9 พฤศจิกายน แต่งตั้ง“กองบัญชาการทหารแห่งประเทศไทย” ซึ่งมี จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็น“ผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย” พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ เป็นรองผู้บัญชาการ พ.อ.หลวงกาจสงคราม เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการ ฯลฯ ขณะที่หลวงอดุลเดชจรัสยังคงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกต่อไป

อันเป็นการสะท้อนความประนีประนอมระหว่างคณะรัฐประหารกับหลวงอดุลเดชจรัสอย่างชัดเจน

วันที่ 11 พฤศจิกายน หลังความสำเร็จของคณะรัฐประหาร หลวงอดุลเดชจรัสในนามของผู้บัญชาการทหารบกได้ออกคำสั่งให้ทหารทุกหน่วยร่วมมือกับคณะรัฐประหารและฟังคำสั่งของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทยโดยเคร่งครัด

วันที่ 18 พฤศจิกายน มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้หลวงอดุลเดชจรัส เป็นอภิรัฐมนตรี (องคมนตรี) โดยมีรายงานว่ากรมขุนชัยนาทนเรนทร ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่พอพระทัยนัก หลวงอดุลเดชจรัสจึงลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก

เมื่อแก้ไขปัญหาตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกของหลวงอดุลเดชจรัสได้แล้ว วันที่ 5 ธันวาคม คณะรัฐประหารก็มีคำสั่งยกเลิก “กองบัญชาการทหารแห่งประเทศไทย” และแต่งตั้งให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารบก พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ เป็นรองผู้บัญชาการทหารบก พ.อ.กาจ เก่งระดมยิง เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก

ตลอดเวลาของความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ฝ่ายทหารเรือยังคงอยู่ในความสงบมิได้แสดงอาการต่อต้านขัดขวางหรือสนับสนุนคณะรัฐประหารแต่อย่างใด รวมทั้งกรมตำรวจ พล.ร.ต.สังวร สุวรรณชีพ อธิบดีกรมตำรวจ ก็ได้ส่ง ร.ต.อ.เฉียบ ชัยสงค์ มารายงานให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม ทราบว่า

“การรัฐประหารครั้งนี้ เมื่อเป็นงานของท่านจอมพลแล้ว ไม่ขัดข้อง”

บั้นปลายของชีวิต

เมื่อลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกหลังรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 แล้ว หลวงอดุลเดชจรัสก็วางมืออย่างเด็ดขาดแม้จะได้รับตำแหน่งที่สำคัญแต่ก็มิได้เกี่ยวข้องกับการเมืองหรือการบริหารประเทศแต่อย่างใด

รัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้สร้างบ้านหลังเล็กๆ ให้หลวงอดุลเดชจรัสพักอาศัยในบริเวณวังปารุสกวันที่ท่านคุ้นเคย และจะพักอาศัยอยู่ที่นี่จนสิ้นอายุขัยเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2512 โดยมิได้เข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ กับการเมืองของประเทศอีกเลย

ขณะที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ยังคงโลดแล่นต่อไปบนถนนการเมือง จนกระทั่งต้องระหกระเหินไปเสียชีวิตที่ต่างแดนในที่สุดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2507

อัฐิของทั้งสองท่านได้รับการบรรจุไว้ที่เจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุฯ หรือวัดประชาธิปไตยที่คณะราษฎรสร้างขึ้นเพื่อเป็น “อนุสรณ์สถานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย”

คุณธรรม น้ำมิตร

ตั้งแต่เข้าร่วมเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยอุดมการณ์ที่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย หลวงอดุลเดชจรัสก็มุ่งมั่นที่จะรักษาคณะราษฎรผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงไว้อย่างสุดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับมอบหมายให้ย้ายมาทำหน้าที่ในกรมตำรวจร่วมกับนายทหารรุ่นน้องร่วมอุดมการณ์คือขุนศรีศรากร

เมื่อศัตรูของระบอบใหม่“ปฏิปักษ์ปฏิวัติ” ปรากฏขึ้น คือ “กบฏบวรเดช” “กบฏนายสิบ” และโดยเฉพาะ“กบฏพระยาทรงสุรเดช” ที่นำไปสู่การจัดตั้ง “ศาลพิเศษ” ซึ่งมีคำพิพากษาเด็ดขาดรุนแรงผิดธรรมเนียมของ“คดีการเมือง” หลวงอดุลเดชจรัสซึ่งเป็นจุดเริ่มของกระบวนการยุติธรรมในฐานะพนักงานตำรวจก็ทำหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและจับกุมผู้ต้องหาอย่างจริงจัง จากนั้นก็ส่งเข้ากระบวนการยุติธรรมขั้นต่อไปคืออัยการและศาล ซึ่งพ้นความรับผิดชอบของกรมตำรวจไปแล้ว

ครั้นต่อมาปรากฏว่าการดำเนินการในชั้นอัยการและศาลถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้รักความเป็นธรรมถึงความสุจริตโปร่งใสซึ่งล้วนเชื่อมโยงไปถึงหลวงพิบูลสงครามในฐานะนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น

เมื่อเปรียบเทียบกับการปฏิบัติงานของกรมตำรวจหลังการรัฐประหาร พ.ศ.2490 ภายใต้อธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ สามารถเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนประการหนึ่ง แม้จะมีเป้าหมายเดียวกันคือความคงอยู่ของ “คณะราษฎร” ในสมัยหลวงอดุลเดชจรัส กับความคงอยู่ของ “คณะรัฐประหาร” ในสมัย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ แต่ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ ในยุคของ พล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส นั้น เคร่งครัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย

ขณะที่ในสมัย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ นั้นใช้วิธีการทั้งในและนอกกฎหมาย จนเรียกกันว่า “รัฐตำรวจ” และ “ยุคทมิฬ”

หลวงอดุลเดชจรัสและขุนศรีศรากร ได้ใช้ความพยายามที่จะให้ความเป็นธรรมต่อนักโทษการเมืองในขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการยุติธรรม คือ “เรือนจำ” แต่นั่นก็เป็นปลายทางเสียแล้ว หลายกรณีก็ไม่อาจแก้ไขได้ โดยเฉพาะคำพิพากษาประหารชีวิต 18 ศพ ที่หลวงพิบูลสงครามพยายามปัดความรับผิดชอบแล้วโยนบาปให้หลวงอดุลเดชจรัส

ตัดบัวไม่เหลือใย

“แปลก-บัตร” หรือ “แปลก-อดุล” นั้นเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เป็นนักเรียนนายร้อยจนกระทั่งจบออกรับราชการเป็นนายทหาร ผูกพันกันจนอาจเรียกได้ว่าเป็น “เพื่อนตาย”

ทว่า การเข้าร่วมเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 นั้นมิได้มาจากความเป็นเพื่อนระหว่างกันแต่เพียงปัจจัยเดียว แต่ยังมาจากอุดมการณ์อันบริสุทธิ์เพื่อชาติบ้านเมืองอีกด้วย ดังนั้น ต่อมาเมื่ออุดมการณ์เปลี่ยนไปย่อมส่งถึงมิตรภาพระหว่างกันอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

อุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันทำให้หลวงอดุลเดชจรัสกับหลวงพิบูลสงครามเริ่มมีแนวความคิดและการปฏิบัติที่แตกต่างกัน

เริ่มตั้งแต่การปฏิบัติต่อนักโทษการเมืองกรณี “กบฏบวรเดช” และ “กบฏพระยาทรงฯ” ในเวลาต่อมา หลวงอดุลเดชจรัสไม่คิดว่านักโทษการเมืองเป็นอาชญากรจึงต้องได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งหลวงพิบูลฯ มิได้คิดเช่นนั้น

แนวทางของหลวงอดุลเดชจรัสสอดคล้องกับแนวทางของ “มือขวา” คือขุนศรีศรากร นายทหารปืนใหญ่รุ่นน้องที่จะร่วมเส้นทางเดินกับหลวงอดุลเดชจรัสอย่างเด็ดเดี่ยวเหนียวแน่นโดยตลอด

“แปลก” เสียชีวิตก่อน “บัตร” จึงไม่ปรากฏข้อเขียนงานพระราชทานเพลิงศพของหลวงอดุลเดชจรัสที่ถึงแก่กรรมในภายหลัง มีก็แต่เพียงข้อเขียนของ คุณหญิงละเอียด พิบูลสงคราม กล่าวถึงมิตรภาพที่ผันแปรของเพื่อนรัก “แปลก-บัตร” ไว้อย่างถูกต้องว่า

“แต่อนิจจาการเมืองเอย เจ้าหรือมิใช่ที่ทำให้มิตรร่วมชีวิต 2 ท่านนี้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นศัตรูกันและยังรักกันฝังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ จำต้องแยกทางกันเดินในบั้นปลายของชีวิต”

https://twitter.com/matichonweekly/status/1552197630306177024

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ปรีดี แปลก อดุล : คุณธรรมน้ำมิตร (38)

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichonweekly.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...