โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

“Self-Serving Bias” เวลาสำเร็จคิดว่าเพราะความสามารถ แต่พอผิดพลาด เรากลับโทษโชคชะตา

Reporter Journey

อัพเดต 18 มิ.ย. เวลา 10.53 น. • เผยแพร่ 18 มิ.ย. เวลา 03.53 น. • Reporter Journey

เคยคิดหรือไม่ว่า เวลาที่ชีวิตเราไปได้สวย เรามักจะคิดว่าเป็นเพราะเราฉลาด เราเก่ง เราขยัน แต่พออะไรๆ พังไม่เป็นท่า เรากลับรีบหาข้ออ้าง โทษโชคชะตา โทษดวง โทษคนอื่น โทษโลกใบนี้ที่ไม่ยุติธรรมมากพอ ทั้งหมดนี้คือปรากฎการณ์ที่เรียกว่า “Self-Serving Bias” หรืออคติเข้าข้างตัวเอง ซึ่งกลไกป้องกันตัวที่สมองมนุษย์สร้างขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เพื่อให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง

Self-Serving Bias กับดักความคิดที่ทำให้เราหยุดพัฒนา

Self-Serving Bias เป็นอคติที่อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด มันแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ อย่างการทำข้อสอบ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ ๆ อย่างการลงทุน ถ้าเราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังตกหลุมพรางของมัน เราอาจใช้ชีวิตแบบ "ฮีโร่ในจินตนาการ" โดยมองว่าตัวเองเป็นฮีโร่ที่ไม่มีวันทำผิด และมองคนอื่นเป็นตัวร้ายที่คอยขัดขวางความสำเร็จของเรา

ลองนึกภาพว่าคุณเพิ่งได้รับผลสอบ และคะแนนออกมาดีกว่าที่คาด คุณอาจยิ้มอย่างภาคภูมิใจและคิดว่า "ฉันนี่มันอัจฉริยะ! ฉันอ่านหนังสือหนักจนสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของเนื้อหาได้" แต่ถ้าคะแนนออกมาต่ำล่ะ? ทันใดนั้น สมองของคุณจะเริ่มหาข้ออ้างทันที "ข้อสอบมันยากไป!" "อาจารย์ออกเกินเนื้อหาที่เรียน" หรือแม้แต่ "เมื่อคืนข้างห้องเสียงดัง อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง" ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะ Self-Serving Bias กำลังกระซิบข้างหูว่า “เธอเก่งอยู่แล้ว ความผิดพลาดไม่ใช่ความผิดของเธอ”

แต่ถ้าเราตกอยู่ในวังวนนี้บ่อยๆ มันอาจทำให้เราไม่เห็นข้อบกพร่องของตัวเอง และพลาดโอกาสในการพัฒนาตัวเอง อย่างในโลกของการลงทุนเองก็เต็มไปด้วย Self-Serving Bias เหมือนกัน ลองจินตนาการว่าคุณเพิ่งซื้อหุ้นตัวหนึ่ง แล้วมันพุ่งขึ้นแรงจนทำกำไรได้มหาศาล คุณอาจบอกตัวเองว่า “ฉันนี่มันกูรูหุ้น!” คิดว่าเป็นเพราะคุณวิเคราะห์ตลาดได้อย่างแม่นยำ เลือกหุ้นได้ถูกตัว และมีเซนส์ทางการเงิน แต่ถ้าหุ้นตัวนั้นร่วงลงจนทำให้คุณขาดทุนล่ะ? คุณจะยังคิดว่าเป็นความสามารถของคุณไหม?

ส่วนใหญ่มันจะไม่เป็นแบบนั้น สมองของเราจะรีบหาข้ออ้างโดยอัตโนมัติ เราจะโทษตลาด โทษนักวิเคราะห์ โทษข่าวลือ โทษภาวะเศรษฐกิจ โทษทุกอย่างที่อยู่รอบตัว แต่ไม่เคยหันมาถามตัวเองว่า “หรือบางทีฉันอาจจะตัดสินใจพลาด?” นี่คือเหตุผลที่นักลงทุนที่ดีมักเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง พวกเขาไม่ปล่อยให้ Self-Serving Bias ควบคุมการตัดสินใจ เพราะพวกเขารู้ว่า ถ้าเอาแต่โทษปัจจัยภายนอกโดยไม่เคยมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง พวกเขาจะไม่มีวันพัฒนา

วัฒนธรรมตะวันตก-ตะวันออก รากฐานที่แตกต่างของ Self-Serving Bias

Self-Serving Bias ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราหลงตัวเองหรือเป็นคนเห็นแก่ แต่มันเกิดจากหลายปัจจัยทางจิตวิทยาและสังคมที่ส่งเสริมให้เราเกิดอคติโดยไม่รู้ตัว วัฒนธรรมและการเลี้ยงดู เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่หล่อหลอมมุมมองของเราต่อความสำเร็จและความล้มเหลวโดยที่เราไม่ทันสังเกต บางสังคมปลูกฝังให้เรามองความสำเร็จเป็นผลจากความสามารถส่วนตัว ขณะที่บางสังคมเน้นให้เห็นถึงบทบาทของทีม ครอบครัว หรือโชคชะตา และแนวคิดเหล่านี้เองที่ส่งอิทธิพลโดยตรงต่อ Self-Serving Bias

ในโลกตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา แคนาดา และยุโรปตะวันตก เด็กๆ ถูกสอนตั้งแต่เล็กว่าพวกเขาสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่ต้องการ ถ้าพยายามมากพอ "You can do anything if you try hard enough" ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู แต่มันคือแนวคิดที่ฝังรากลึกในระบบการศึกษาและสังคมของพวกเขา มันทำให้คนที่โตมาในวัฒนธรรมนี้มองว่าความสำเร็จคือสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาเอง และแน่นอนถ้าสำเร็จก็ต้องได้รับเครดิตเต็ม ๆ แต่ถ้าล้มเหลวล่ะ? นั่นต้องเป็นความผิดของระบบ เศรษฐกิจ ฯลฯ

ลองนึกถึงหนังฮอลลีวูดที่เราดูกัน ตัวเอกแทบทุกเรื่องต้องเป็นคนที่ “ลุกขึ้นสู้” ต่อสู้กับอุปสรรคจนประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด เพราะอะไร? เพราะมันสะท้อนแนวคิดของสังคมที่ให้ความสำคัญกับความสามารถส่วนบุคคล คุณในฐานะพระเอกย่อมคู่ควรกับความสำเร็จ แต่ถ้าแพ้? เท่ากับบางอย่างมันต้องไม่ยุติธรรมกับคุณแน่ๆ

แต่ถ้าเป็นวัฒนธรรมเอเชียล่ะ? ภาพมันจะต่างกันโดยสิ้นเชิง ในจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไทย หรือประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เด็กๆ เติบโตมากับแนวคิดที่ว่า พวกเขาเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ ในระบบใหญ่ ความสำเร็จของคนๆ หนึ่งไม่ได้มาจากตัวเขาเองเพียงอย่างเดียว แต่มันเกิดจากการสนับสนุนของครอบครัว ครู หรือแม้แต่โชคชะตา คนญี่ปุ่นที่ได้รับรางวัลมักจะกล่าวขอบคุณองค์กร หัวหน้า หรือทีมงาน มากกว่าพูดว่า “เราเก่ง เราเลยทำได้” ในขณะที่คนไทยมักให้เครดิตกับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรือผู้มีพระคุณเสมอ

แนวคิดเรื่อง “ความกตัญญู” และ “การทำงานเป็นทีม” ทำให้คนเอเชียมีแนวโน้มที่จะลด Self-Serving Bias ลงไป เพราะพวกเขามองว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวเป็นเรื่องของส่วนรวม มากกว่าจะโยนความดีความชอบให้ตัวเองหรือโทษใครคนใดคนหนึ่งโดยตรง ถ้าเกิดข้อผิดพลาด คนเอเชียหลายคนจะมองว่าเป็นเพราะทีม หรือระบบมากกว่าที่จะชี้นิ้วไปที่ปัจจัยภายนอก

กลไกป้องกันทางจิต เมื่อสมองสร้างเกราะกำบังให้เราโดยไม่รู้ตัว

แต่วัฒนธรรมและการเลี้ยงดูไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียวที่ทำให้ Self-Serving Bias เกิดขึ้น สมองของเราก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน เพราะมันไม่ได้ออกแบบมาให้เรารับความจริงที่เจ็บปวดได้ง่ายๆ ในเมื่อการยอมรับว่าตัวเองผิดมันยากเกินไป สมองก็ต้องหาวิธีป้องกันตัวเอง และนี่คือที่มาของ กลไกป้องกันทางจิต (defense mechanisms)

เคยไหมเวลาที่เราทำอะไรพลาด แต่กลับมีข้ออ้างร้อยแปดให้ตัวเอง หรือว่าเวลาที่เจอสถานการณ์แย่ๆ แทนที่จะยอมรับความจริง เรากลับพยายามปลอบใจตัวเองด้วยเหตุผลที่ฟังดูเข้าท่า ทั้งที่ในใจลึกๆ ก็รู้ว่ามันไม่จริง? นั่นไม่ใช่แค่ความคิดเพียงชั่ววูบ แต่มันคือกลไกป้องกันทางจิต ที่สมองของเราคิดค้นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยให้เรารับมือกับความเครียดและความเจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว

ในบางครั้ง ความจริงมันก็โหดร้ายเกินกว่าจะรับได้ สมองจึงเลือก ปฏิเสธมันไปซะเลย เพื่อให้เราสบายใจขึ้น อย่างเช่น นักลงทุนที่ขาดทุนยับแต่ยังยืนกรานว่าทุกอย่างโอเค เพราะเขาไม่อยากยอมรับว่าตัวเองคำนวณพลาด

และถ้าแค่ปฏิเสธยังไม่พอ สมองก็อาจใช้วิธี โยนความผิดให้คนอื่น ไปเลย เพราะการยอมรับว่าตัวเองผิดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งมันก็ดีกว่าถ้าจะหาตัวการมารับเคราะห์แทน เช่น หัวหน้าที่บริหารผิดพลาด แต่แทนที่จะรับผิดชอบ กลับกล่าวโทษลูกน้องว่า "พวกคุณไม่มีประสิทธิภาพ"

ในเมื่อการปฏิเสธความจริงหรือโยนความผิดให้คนอื่นยังไม่เพียงพอ สมองก็อาจหยิบเอาวิธี หาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง มาเสริมอีกแรง เพราะยอมรับตรงๆ ว่าตัวเองพลาด มันยากเกินไป ไม่ดีกว่าหรือถ้าจะปรับมุมมองให้ตัวเองดูโอเคขึ้น? อย่างเช่น นักเรียนที่ไม่ได้อ่านหนังสือสอบ แต่แทนที่จะยอมรับว่าขี้เกียจ เขากลับบอกตัวเองว่า “อ่านไปก็เท่านั้น ยังไงข้อสอบก็ยากเกินไปอยู่ดี” หรือ “ทุกคนก็คงทำข้อสอบไม่ได้เหมือนกัน” ทั้งที่ความจริงแล้ว ตัวเองแค่ขี้เกียจอ่าน แต่การคิดแบบนี้ช่วยให้เขารู้สึกผิดน้อยลง

ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธความจริง โยนความผิดให้คนอื่น หรือหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง ทั้งหมดนี้ต่างเป็นกลไกที่สมองสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเราจากความรู้สึกแย่ ๆ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจเป็นกับดักที่ทำให้เราไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ เพราะตราบใดที่เรายังไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง เราก็จะยังคงติดอยู่ในวงจรของข้ออ้างและภาพลวงตาที่ตัวเองสร้างขึ้นมา

เราจะหลุดจากวังวนของ Self-Serving Bias ได้อย่างไร?

แม้ว่า Self-Serving Bias จะเป็นกลไกที่สมองเราสร้างขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องปล่อยให้มันควบคุมเราเสมอไป วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับมันคือการฝึกให้ตัวเองรู้ตัวว่า “อคติของเรากำลังทำงานอยู่หรือเปล่า?”

ทุกครั้งที่คุณประสบความสำเร็จ ลองถามตัวเองว่า “มีปัจจัยภายนอกอะไรที่ช่วยเราบ้าง?” และเมื่อคุณล้มเหลว ลองถามตัวเองว่า “เรามีส่วนทำให้มันเกิดขึ้นไหม?” การฝึกตั้งคำถามแบบนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นตัวเองได้ชัดขึ้น

อีกวิธีที่ได้ผลคือการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นจากคนอื่น โดยเฉพาะคนที่กล้าบอกความจริงกับคุณ ฟังดูง่าย แต่จริงๆ แล้วมันยากมาก เพราะเรามักจะไม่ชอบฟังอะไรที่ขัดกับภาพลักษณ์ที่เรามีต่อตัวเอง แต่ถ้าคุณสามารถทำได้ คุณจะค้นพบว่า การยอมรับความผิดพลาดและเรียนรู้จากมัน ไม่ได้ทำให้คุณดูแย่ลง แต่กลับทำให้คุณพัฒนาตัวเองได้มากขึ้น

.
เรื่อง : ปิยะพร นราวงษ์
ภาพ : ถิรายุ แซ่โค้ว

อ้างอิง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...