โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เมื่อไร !!? แนะวิธีจัดการ ‘ผู้สูงวัย’ เลิกขับรถ

The Bangkok Insight

อัพเดต 08 พ.ค. 2562 เวลา 11.34 น. • เผยแพร่ 08 พ.ค. 2562 เวลา 10.47 น. • The Bangkok Insight

อุบัติเหตุทางรถยนต์ ที่มีผู้ขับขี่อายุ 52 ปี และ 62 ปี ชนกันในเมืองโอสึ ของญี่ปุ่น จนทำให้รถยนต์คันหนึ่งเสียหลัก พุ่งเข้าชนกลุ่มเด็กเล็ก ซึ่งกำลังเดินเรียงแถวกันเพื่อไปยังสวนสาธารณะใกล้ๆ กัน จนทำให้มีเด็กวัย 2 ขวบเสียชีวิต 2 ราย ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาอีกครั้งว่า ควรจำกัดอายุของผู้ขับขี่สูงวัยไว้ไม่เกินเท่าไร

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชาวญี่ปุ่นพูดถึงประเด็นดังกล่าวกันหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่า เมื่อปี 2560 อุบัติเหตุบนท้องถนนที่เกี่ยวข้องกับผู้ขับขี่สูงวัย พุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 14.8% มาอยู่ที่ 3,099 รายทั่วประเทศ เน้นให้เห็นถึงการต้องดำเนินมาตรการเพิ่มขึ้น เพื่อควบคุมเหตุการณ์เหล่านี้ ท่ามกลางการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศ

นับถึงสิ้นปีที่แล้ว ญี่ปุ่นมีผู้ขับขี่ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 75 ปี จำนวน 5.63 ล้านคน และคาดว่า ตัวเลขนี้จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในปีต่อๆ ไป ซึ่งเจ้าหน้าที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่น ระบุว่า จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันมากกว่านี้ จากการที่คนยุคเบบี้ บูม กลายเป็นผู้สูงวัยมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้ญี่ปุ่นจะมีการปรับปรุงกฎหมายจราจร เพื่อให้การทดสอบสำหรับผู้ขับขี่สูงวัยมีความเข้มงวดมากขึ้นแล้วก็ตาม แต่คณะกรรมาธิการสำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่น ก็กำลังพิจารณาเพิ่มเติม ถึงการกำหนดเงื่อนไขในการออกใบขับขี่ให้กับคนกลุ่มนี้ ด้วยการจำกัดให้ขับรถได้เฉพาะยานพาหนะที่กำหนดไว้ และในพื้นที่ที่กำหนดไว้ด้วย

อย่างไรก็ดี อายุเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ตัวตัดสินว่า ใครไม่ควรที่จะนั่งอยู่หลังพวงมาลัยอีกต่อไป ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้แนะวิธีที่จะดูว่า เมื่อไหร่ที่ควรจะพูดให้คนสูงวัยที่อยู่ใกล้ตัว เลิกขับรถได้แล้ว

*สังเกตเวลาขับรถ *

กระบวนการแรกในเรื่องนี้คือ ให้คอยสังเกตเวลาที่คนสูงวัยเหล่านี้ขับรถ และถ้าเกิดสถานการณ์เหล่านี้ขึ้นมา ก็สามารถบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ ที่จะเกิดปัญหาหากปล่อยให้ขับรถต่อไป

  • หลงทาง แม้จะขับในเส้นทางสั้นๆ และเป็นเส้นทางที่คุ้นเคยดีอยู่แล้ว
  • ไม่ยอมปฏิบัติตามป้าย หรือสัญญาณไฟจราจร
  • ตัดหน้ารถคนอื่น ขับรถคร่อมเลน หรือหักเลี้ยวรถเป็นวงกว้าง
  • มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินล่าช้า
  • หลับหลังพวงมาลัย หรือมีอาการสัปหงก ฝืนความง่วงเอาไว้
  • โกรธ หรือตื่นเต้นตกใจง่ายขึ้น
  • ตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องตางๆ ได้ไม่ดีนัก
  • ลืมดูกระจก ลืมเปิดไฟเลี้ยว หรือลืมสังเกตุจุดที่เป็นจุดบอด
  • มีปัญหาในการกะระยะทาง

ถ้าหากสังเกตพบพฤติกรรมที่ว่ามาไม่มากก็น้อย อย่างแรกเลย คือ ห้าม!! แสดงความเห็น หรือวิจารณ์พฤติกรรมของคนขับสูงวัยเหล่านี้่ ระหว่างที่พวกเขากำลังขับรถอยู่ แต่ให้รอจนออกมานอกรถแล้วทั้งคู่ ค่อยบอกถึงปัญหาที่สังเกตเห็น ที่ลืมไม่ได้เลยคือ อย่าใช้น้ำเสียงที่ฟังดูแล้วเป็นการตัดสิน หรือไม่พอใจ ควรพูดด้วยเสียงเรียบๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา

*สิ่งที่ควรทำถ้าเจอปัญหา *

  • พาไปตรวจร่างกาย ซึ่งจะบอกได้ว่าผู้สูงวัยมีสุขภาพดีพอที่จะขับรถอย่างปลอดภัยได้หรือไม่ ทั้วอาจจะได้รู้ด้วยว่า ผู้สูงวัยรายนั้นๆ รับประทานยาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการขับขี่หรือไม่
  • ทดสอบการมองเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจวัดสายตา จะทดสอบความสามารถในการมองเห็นของผู้สูงวัย เพื่อให้มั่นใจว่า พวกเขาสามารถขับรถได้อย่างปลอดภัย
  • *พึ่งผู้เชี่ยวชาญประเมินทักษะการขับรถของผู้สูงอายุ *
  • หาเวลาที่เหมาะสมในการพูดคุย ลองถามตัวเองดูก่อนว่า จะรู้สึกสบายใจหรือปลอดภัยไหม ถ้าปล่อยให้ผู้สูงวัยเป็นคนขับรถพาไปที่ไหนสักแห่ง คำตอบที่ได้ อาจจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มคุยเรื่องนี้แล้ว
  • หาที่ปรึกษา ลองคุยกับผู้สูงวัยคนอื่นๆ ที่รู้จักกัน ขอให้ไปบอกเรื่องความกังวลของตัวเอง พูดคุยปรึกษา เพื่อหาทางบอกที่ดีที่สุด
  • สนทนาอย่างเข้าอกเข้าใจ อย่าทำให้ผู้สูงวัยต้องรู้สึกเหมือนโดนรุม แต่ต้องสร้างบทสนทนาที่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นห่วง และสนับสนุน อย่าปล่อยให้อารมณ์โกรธ ความไม่พอใจเข้ามาปะปนอยู่ในการสนทนา
  • คุยอย่างเจาะจง แต่อย่ากล่าวโทษ อธิบายให้เข้าใจถึงเรื่องที่เป็นห่วงในการขับรถ อาจยกตัวอย่างประกอบไปด้วย
  • *เตรียมพร้อมรับมือการต่อต้าน หรือความโกรธ *
  • กำหนดเวลาสำหรับการพูดคุยครั้งต่อไป ถ้าหากผู้สูงอายุยังต่อต้านอยู่ พยายามยุติบทสนทนาอย่างนุ่มนวล ปล่อยเวลาให้นำสิ่งที่พูดไปคิด แล้วค่อยกลับมาคุยเรื่องนี้กันใหม่ ในอีกวัน หรือ 2 วันถัดจากนั้น
  • ขอให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม ถ้าหากที่ปรึกษาในด้านต่างๆ เห็นพ้องกันว่า ถึงเวลาที่ต้องเลิกขับรถแล้ว ลองใช้วิธีพูดให้พวกเขารู้สึกถึงความรับผิดชอบต่อสังคม เตือนให้คิดถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับทั้งตัวเขาเอง และคนอื่นๆ
ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...