โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เสกโลกแฟนตาซีในโรงแรมมหัศจรรย์ด้วยห้องพักที่คอนเซปต์ดีไซน์ไม่ซ้ำกันแบบ Kitsch Hotel

Capital

อัพเดต 27 เม.ย. เวลา 09.27 น. • เผยแพร่ 23 เม.ย. เวลา 10.23 น. • Insight

หลังจาก Capital เคยคุยกับร้านมัลติแบรนด์สไตล์กุ๊กกิ๊กชื่อดังแห่งหนึ่งไปเมื่อปีที่แล้ว ครั้งนั้นความลับที่แอบรู้มาล่วงหน้าคือวันหนึ่งเจ้าของธุรกิจแห่งนี้อยากขยายธุรกิจจากแค่ขายเสื้อผ้าและของกระจุกกระจิกมาทำโรงแรม ผ่านไปหลักปี ภาพโรงแรมในฝันที่เป็นเพียงไอเดียในวันนั้นถูกเสกให้เป็นจริงแล้วในวันนี้

ธุรกิจที่มีสาขาหลักอยู่ใจกลางสยามแสควร์อย่าง Daddy and the muscle academy กับ Frank Garcon ของ ลูกศร–ศรุติ ตันติวิทากุล และ อั้ม–บุญญนัน เรืองวงศ์ เป็นธุรกิจที่เริ่มอยู่ตัวหลังจากเปิดมาแล้วราว 8-9 ปี จนมองเห็นโอกาสที่นอกกรอบกว่านั้น

ทั้งคู่สังเกตว่าโดยส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาช้อปปิ้งสินค้าในร้านมักใช้ระยะเวลาอย่างมากก็ 40-45 นาที จะดีไหมถ้าทำโรงแรมในธีมที่มีความน่ารัก จับกลุ่มลูกค้าผู้หญิงกลุ่มเดียวกับร้าน Daddy and the muscle academy ที่มีกำลังจ่าย สร้างแบรนด์ที่เปิดโอกาสให้คนมาสัมผัสประสบการณ์อย่างเต็มที่และนอนค้างด้วยกันสักคืน แถมโรงแรมบูทีกสไตล์วินเทจที่ตกแต่งน่ารักและคอนเซปต์ชัดในไทยก็ยังไม่ค่อยมี

อั้มมองว่าหากเป็นลูกค้าของ Frank Garcon ที่มีสัดส่วนผู้ชายมากกว่า กลุ่มนี้จะมีความอินดี้กว่าและเน้นตลาด niche แต่ธุรกิจโรงแรมควรจับกลุ่มแมสและเน้นลูกค้าผู้หญิง จากอินไซต์สุดคมว่าในบรรดาคู่รักที่เลือกจองโรงแรม คนเลือกมักจะเป็นผู้หญิง และคนจ่ายมักเป็นผู้ชาย ซึ่งในกลุ่มนี้มีทั้งกลุ่มเพื่อนที่อยากมาสังสรรค์กัน ผู้ที่อยาก staycation กลุ่มครอบครัวและคุณแม่ลูกอ่อน

Kitsch Hotel แห่งนี้จึงเป็นเหมือน Magic Wonderland ที่แต่ละห้องมีคอนเซปต์ดีไซน์พิเศษที่ตกแต่งแทบไม่ซ้ำกัน ทั้งโรงแรมใช้ของแตกต่างกว่า 100 ชิ้น แถมยังมีร้านอาหาร SoupSip บนชั้นรูฟท็อปที่ลองชิมแล้วรสชาติอร่อยกลมกล่อม เปิดให้แขกที่ไม่ได้นอนพักที่โรงแรมแวะมาทานได้

ทั้งนี้ลูกศรบอกว่าความจริงแล้วธุรกิจบริการคือสิ่งที่คุณพ่อของเธอเคยห้ามเอาไว้ “ปะป๊าของศรจะบอกตั้งแต่เด็กๆ เลยว่า 2 ธุรกิจที่ห้ามทำเลย คือโรงแรมและร้านอาหาร แต่เราก็เบรกข้อจำกัดของพ่อไปหมดแล้ว ตอนแรกพ่อบอกว่าร้านอาหารห้ามทำนะ ก่อนหน้านี้เราก็ทำร้านอาหารใต้ชื่อปากนัง แล้วตอนนี้ก็มาทำโรงแรม

“เขาบอกว่ามันเป็นธุรกิจบริการที่ต้องใส่หัวใจเข้าไป 24 ชม. ไม่ใช่แค่เราซื้อของมาแล้วขายไป แต่มันคือทุกอย่างเลยที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของลูกค้า เหมือนเราต้อนรับเขามาแล้วต้องดูแลประสบการณ์ 360 องศาว่าเขาจะเจออะไรบ้าง”
ถ้าโรงแรมเป็นธุรกิจที่ทำยาก แล้วเบื้องหลังทั้งคู่มีเหตุผลอะไรที่เสกโรงแรมมหัศจรรย์แห่งนี้ขึ้นมา ชวนเคาะประตูห้องพักแต่ละห้องแล้วตามไปผจญภัยพร้อมๆ กัน

แปลงโฉมโรงแรมเก่าเป็นวันเดอร์แลนด์

ก่อนรีโนเวตเป็นโรงแรม Kitsch ที่แห่งนี้เคยเป็นโรงแรมราคาประหยัดที่ขายห้องพักในราคาคืนละ 700 บาท เน้นกลุ่มลูกค้าที่อยากหาห้องพักแบบง่ายๆ ในกรุงเทพฯ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบพื้นฐานที่สุด

โปรเจกต์แปลงโฉมโรงแรมเก่าเป็นวันเดอร์แลนด์โรงแรมมหัศจรรย์เริ่มจากแก้ไขโครงสร้างและฟังก์ชั่นหลักบางส่วน เช่น รื้อผนังห้องพักที่บางจนเสียงทะลุถึงกันได้ ทำประตูห้องน้ำเพิ่มเพื่อให้มีความเป็นส่วนตัว ปรับผังในบางห้อง เพิ่มรายละเอียดความสุนทรี เช่น การทำหลังคาห้องให้สูงคล้ายห้องใต้หลังคาพร้อมติดวอลเปเปอร์ลายวินเทจที่ออกแบบเอง

จากตอนแรกที่คิดว่าจะจ้างบริษัทอินทีเรียร์มาออกแบบให้และทำเพียงมู้ดบอร์ดเป็นคอนเซปต์ตั้งต้น แต่ด้วยระยะเวลารีโนเวตอันจำกัดรวมถึงกิมมิกที่ดีไซน์แต่ละห้องไม่เหมือนกันเลย อั้มจึงกลัวว่าหากงานไปตกอยู่ในมือของบริษัทอินทีเรียร์หลายเจ้า ภาพรวมของโรงแรมจะไม่สอดคล้องกันและภาพสุดท้ายจะไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ จึงตัดสินใจเรียนโปรแกรม SketchUp แบบเร่งรัดและออกแบบแต่ละห้องเอง เป็นโครงการที่ใช้เวลารีโนเวตโรงแรมเพียง 6 เดือน

ส่วนแนวคิดการออกแบบของ Kitsch Hotel คือการหยิบเอาศิลปะ Kitsch มาเป็นคอนเซปต์หลักของโรงแรม

“Kitsch คือศิลปะไร้ค่าในสมัยก่อน ยุคหนึ่งศิลปินจะต้องจบจากโรงเรียนสอนอาร์ตเท่านั้น ถึงจะเป็นอาร์ทิสต์ได้ แต่พอถึงยุคที่ผู้คนเข้าถึงศิลปะง่ายขึ้น ไม่ต้องมีเงินเยอะก็ทำศิลปะได้ ก็เลยเกิดศิลปะแนว Kitsch ที่เกิดการถูกเหยียดในยุคนั้น

“แต่พอเวลาผ่านไป ศิลปะแนวนี้ก็กลายเป็นพื้นฐานของงานป๊อปอาร์ตและ commercial art เราเลยรู้สึกว่า Kitsch Art ไม่มีข้อจำกัดเลย จะทำเป็นสไตล์ไหนก็ได้ เอาของที่ดูไม่ค่อยมีค่าในสายตาคนอื่นมาทำให้เหนือความคาดหมายได้ รู้สึกว่า Kitsch ถูกหลอมให้เป็นได้หลายสไตล์”

ลูกศรอธิบายถึงคอนเซปต์หลักก่อนที่อั้มจะเล่าต่อว่า “ผมว่าร้าน Daddy and the muscle academy และ Frank Garcon มีตัวตนที่เป็นแบรนดิ้งของแต่ละร้าน แต่โรงแรมนี้เราสร้างแบรนด์ให้แต่ละห้อง โดยมีแบรนด์ใหญ่คือคอนเซปต์ Kitsch ครอบอีกทีหนึ่ง

“แต่ละห้องต้องคิดไว้ก่อนวิ่งหาพร็อพและของตกแต่งว่ากลุ่มเป้าหมายแต่ละห้องเป็นใคร แบรนดิ้งเป็นแบบไหนซึ่งต้องชัด คนเข้ามาจะมีประสบการณ์ยังไง เราทำแบบห้องให้ชัดเจน แล้วเรนเดอร์เป็นวิดีโอไว้เลย เพื่อให้คนทำงานต่อหรือหุ้นส่วนเราเห็นภาพที่ชัดขึ้น”

ห้องพักไฮไลต์หลักจึงคือห้อง Kitsch โดยได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่องThe Queen’s Gambit จากฉากที่ตัวเอกอาศัยที่บ้านสไตล์วินเทจของญาติ และยังใส่กิมมิกสนุกๆ ในห้องพักเพิ่มเติมด้วยเค้กยักษ์สำหรับโอกาสพิเศษที่แขกอยากจัดปาร์ตี้วันเกิด

ส่วนโซนล็อบบี้ของโรงแรมก็มีองค์ประกอบสุดแฟนตาซีแสนประหลาดอย่างแมวยักษ์ โซนเคาน์เตอร์สีพาลเทล ประตูลิฟต์วิเศษที่พร้อมพาไปแวะดูความมหัศจรรย์ของห้องพักแต่ละชั้น ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดนี้เล่าเรื่องได้อย่างชัดเจนว่า Kitsch ในนิยามของลูกศรและอั้มมีกลิ่นอายวินเทจจากความชอบในของสะสมและหนังที่เสพ

หลังจากอั้มออกแบบดีไซน์ของแต่ละห้องใน SketchUp เสร็จเรียบร้อย ทีมก็จะวิ่งหาของตกแต่งที่ถูกใจในสเปกและราคา รายละเอียดบางอย่างที่สั่งทำพิเศษอย่างหมียักษ์ แมวยักษ์ ก็กระจายซัพพลายเออร์ผู้ผลิตตามความถนัดของแต่ละเจ้า ส่วนลูกศรเองที่เป็นคนใส่ใจรายละเอียดมากๆ ถึงขั้นลงมือทำวอลเปเปอร์ผนังบางส่วนด้วยตัวเองและขนของสะสมวินเทจกระจุกกระจิกที่ชอบมาซ่อนไว้ในทุกมุมของโรงแรม

“เฟอร์นิเจอร์บางอย่างในโรงแรมนี้ได้มาจากของที่ปะป๊าของศรเก็บสะสมไว้นานแล้วหรือว่าเป็นของศรเองที่เก็บสะสมมา อย่างพื้นไม้ตาม corridor เป็นไม้จริง ซึ่งเป็นของมีค่าที่ไปรื้อจากโรงแรมเก่ามาแล้วเราเอากลับมาทำให้มีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง หรือกระจกไม้สักตามห้องพักก็เป็นของเก่าที่เราเอามาตกแต่งใหม่ ทาสีใหม่ ชุบชีวิตมันให้เกิดใหม่ขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง”

รวมแล้วโรงแรมแห่งนี้มีของตกแต่งเกิน 100 ชิ้น กัดไม่ปล่อยกับทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่ปลอกหมอนที่มีสีและดีไซน์ตามคอนเซปต์ของห้องนั้น กระเบื้องห้องน้ำที่เลือกสีไม่ซ้ำกันในแต่ละห้อง ชุด bathrobe ที่ออกแบบอย่างตั้งใจสำหรับโรงแรมนี้โดยเฉพาะเพราะอยากให้ทุกห้องพิเศษและเล่าเรื่องความเป็น Kitsch ได้จริงๆ

Magic Concept of Hotel Room

กว่าจะเสกคอนเซปต์ของแต่ละห้องจนประกอบร่างเป็นโรงแรมมหัศจรรย์แห่งนี้ไม่ง่าย ลูกศรและอั้มเล่าให้เราฟังถึงเบื้องหลังโลกแฟนตาซีของแต่ละห้องซึ่งมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา

ห้อง Teddy เป็นหนึ่งในห้องที่มีคนจองตลอดและขายดีที่สุดรองจากห้อง Kitsch จากแรงบันดาลใจในหนังเรื่อง Moonrise Kingdom ผสมกับความชอบในเมืองโยเซมิตี (Yosemite) ที่อเมริกาซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยคาแร็กเตอร์หมี ทำให้ห้องนี้มีจุดเด่นคือโซฟาหมียักษ์ วอลเปเปอร์ที่จำลองเหมือนอยู่กลางภูเขาและกลิ่นอายเหมือนอยู่ในหนังผจญภัยของ Wes Anderson

แต่ถ้าคิดว่าห้อง Teddy เป็นห้องที่สุดโต่งที่สุดแล้ว คุณอาจคิดผิด เพราะมีห้องที่ลูกศรและอั้มบอกว่าเบื้องหลังมีความสุดโต่งในการตกแต่งที่เปลี่ยนไอเดียกลับไปกลับมาหลายรอบมากที่สุดคือห้อง Apple ที่ได้แรงบันดาลใจจากรูปวาดของ René Magritte ซึ่งเป็นภาพผู้ชายและมีแอปเปิลลอยบนท้องฟ้า ห้องนี้มีการตกแต่งแบบเซอร์เรียลที่ใส่ความสนุกสดใสแบบยุค 60s เข้าไป คุมโทนด้วยภาพวาดแอปเปิล หมอนอิงแอปเปิล นาฬิกาทรงแอปเปิล และโคมไฟแอปเปิลลอยอยู่บนฟ้าที่ติดกระจกด้านล่างสำหรับให้เงยหน้าขึ้นมาเซลฟี่ได้

อีกหนึ่งห้องที่ลูกศรแนะนำเป็นพิเศษคือห้อง Suite สำหรับพัก 4 คนชื่อ New Romance ที่เพนต์ลายดอกไม้บนวอลเปเปอร์ด้วยมือทั้งหมด ให้ความรู้สึกเหมือนได้นอนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ มีบรรยากาศโรแมนติกอบอุ่นซึ่งได้แรงบันดาลใจจากศิลปะแนวอาร์ตนูโว ความพิเศษของห้องนี้คือทั้งคู่ตั้งต้นไอเดียการตกแต่งจากเฟอร์นิเจอร์ที่สะสมเอง แล้วสร้างห้องให้เฟอร์นิเจอร์อยู่พร้อมติดม่านซุ้มที่ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงสุดพิเศษในห้องแสนหวาน

ถ้าใครมาคนเดียวและอยากได้ห้องที่เป็นลายดอกไม้ อีกห้องที่แนะนำคือ Floral Oasis ที่จิ๋วแต่แจ๋ว ถึงจะเป็นห้องที่เล็กที่สุดแต่มีวิวสุดพิเศษซึ่งมองเห็นหน้าต่างคืออาคารโบราณของแบงก์สยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ และเตียงซุ้มขนาดเล็กแต่อบอุ่นที่ล้อมรอบด้วยการตกแต่งในธีมดอกไม้และผีเสื้อ

สำหรับสาวๆ ที่นี่ยังมีอีกหลายห้องที่มีความหวานแบบวินเทจในรูปแบบที่ต่างกัน อย่างห้อง Candy Cottage ที่ได้แรงบันดาลใจจากห้องคุณยายในยุค 70s รวมของใช้กุ๊กกิ๊กสไตล์ที่คุณยายชอบมาตกแต่งห้อง เช่น เซตถ้วยน้ำชา ไหมพรมที่ยังถักไม่เสร็จ และยังมีห้องที่ได้แรงบันดาลใจจากหนังเรื่องThe Virgin Suicides ของ Sofia Coppola ที่ทำเลียนแบบห้องพักของบ้านสไตล์อเมริกันในบรรยากาศชวนฝันหวาน

ลูกศรบอกว่าถ้าเธอมีโอกาสชวนเพื่อนสาวมาจัดปาร์ตี้นอนพักค้างคืนด้วยกัน อยากชวนเพื่อนๆ มาพักห้องที่มีความ girly มากที่สุดคือ Pink Pavillion ที่ทุกอย่างเป็นสีชมพู มีโซนอ่างอาบน้ำใจกลางห้องที่ใหญ่ที่สุดเหมาะกับ hen night party สุดๆ ซึ่งมาจากความตั้งใจที่อยากจำลองห้องนั่งเล่นในยุค 80s ที่มีกลิ่นอายของมาดอนน่าและบาร์บี้ผสมกัน

สำหรับสุภาพบุรุษ โรงแรมนี้ก็มีห้องที่หากผู้ชายมานอนแล้วจะไม่รู้สึกเขินจนเกินไปเช่นกัน ซึ่งอั้มบอกว่าถ้าชวนเพื่อนมานอนค้างด้วยกันที่นี่ อยากจอง 2 ห้องติดกันคือห้อง Hideout Cabin กับ Urban Jungle

คอนเซปต์ของห้อง Hideout Cabin นั้นตรงตามชื่อคือคล้ายห้องใต้หลังคาหรือห้องใต้บันไดที่จำลองโลกส่วนตัวของเด็กผู้ชาย ของตกแต่งในห้องเต็มไปด้วยของเล่นและของใช้สไตล์ผู้ชายขี้เล่นที่ยังสนุกกับวัยเด็ก มีโคมไฟที่เล่นแสงสีได้สำหรับเปิดในห้องนอนตอนกลางคืน ส่วนห้อง Urban Jungle จะโมเดิร์นและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาในธีม Jungle ตกแต่งด้วยบรรยากาศซาฟารี มีองค์ประกอบที่สื่อถึงบรรยากาศเขียวขจีและของตกแต่งเป็นสิงสาราสัตว์ต่างๆ

หากใครเป็นสายเสพศิลป์ก็มีห้องที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะอย่างห้อง Fusion Pop ที่คิดคอนเซปต์ห้องจากผลงานศิลปะของ David Hockney และห้อง Color Block สไตล์สแกนดิเนเวียน ที่ตกแต่งแบบ mid-century เล่นคู่สีป๊อปสดใสแบบไม่ฉูดฉาดจนเกินไปควบคู่กับการใช้วัสดุไม้ และประดับผนังด้วยศิลปะแอ็กสแตรกท์

แต่ถ้าใครกำลังมองหาห้องที่มีความคลาสสิกแบบเรียบง่าย Kitsch Hotel ก็ยังตอบโจทย์ด้วยห้อง Blanc Chateau ที่จำลองห้องชนบทในปารีส คุมโทนห้องด้วยสีขาวและเตาผิงจำลองที่ทำให้รู้สึกเหมือนมาพักผ่อนในประเทศที่อากาศหนาวมาก แม้ความจริงแล้วจะพักอยู่ที่โรงแรมใจกลางราชเทวีก็ตาม

Unique Hotel Proposition

unique selling proposition หรือสิ่งที่ทำให้โรงแรมของลูกศรและอั้มแตกต่างจากคู่แข่งจึงเป็นคอนเซปต์ดีไซน์ และการที่ทั้งคู่ไม่มีประสบการณ์ตรงในอุตสาหกรรมนี้กลับกลายเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้มองการทำธุรกิจโรงแรมแบบนอกกรอบ

“มันอาจเป็นข้อดีของศรกับพี่อั้มที่เราไม่ได้อยู่ในวงการโรงแรมมาก่อน เราเลยไม่ได้สู้ด้วยท่าของธุรกิจโรงแรม พอเรามี know-how เรื่องการทำแบรนด์แฟชั่นเราก็จะทำธุรกิจด้วยโมเดลที่คล้ายแบรนด์แฟชั่นแต่อยู่ในรูปแบบโรงแรมแค่นั้นเอง” ลูกศรกล่าว

คอนเซปต์ของ Kitsch Hotel จึงเป็นโรงแรมบูทีกที่แตกต่างจากโรงแรมสไตล์ดั้งเดิมในย่านใกล้เคียง ดังที่อั้มอธิบาย “ถนนเพชรบุรีเส้นนี้มีโรงแรมเกิน 20 โรงแรม เป็นถนนเส้นโรงแรมเลยเพราะเดินทางสะดวก ใกล้สยาม ใกล้เซ็นทรัลเวิลด์ ใกล้ประตูน้ำ แต่เราจะทำยังไงให้โรงแรมเราโดดเด่นขึ้นมา ถ้าเราไปสู้กับโรงแรมอื่นๆ ด้วยการตกแต่งที่กลางๆ เราก็คงเป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือก แต่ถ้าเราทำโรงแรมให้ยูนีกไปเลย เราจะกลายเป็น destination

“ถ้าเราทำโรงแรมธรรมดา เราจะต้องสู่สงครามราคาซึ่งโหดมาก โรงแรมดังๆ ตอนนี้เวลาลดราคาราคาจะลงไปกว่า 50% เราไม่มีทางสู้เขาได้ วิธีการของเราคือสู้คนละตลาดเลย หาตลาดที่คิดว่ากลุ่มลูกค้าไม่ดูราคาและต้องการประสบการณ์ เพราะฉะนั้นในถนนเส้นนี้เลยไม่มีใครเป็นคู่แข่งโดยตรงกับเรา แต่จะมีคู่แข่งทางอ้อมคือโรงแรมทั่วไปที่มีราคาเบาสบายหรือมีสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์

“ผมเลยมองว่าการทำให้โรงแรมยูนีกไปเลยไม่ใช่ทางเลือกนะ แต่เป็นทางรอดเดียวจริงๆ ของการทำธุรกิจนี้ เพราะถ้าเราไม่แตกต่างมันยากมากๆ ที่จะรอดได้ในถนนเส้นนี้ที่เป็น red ocean ถ้าไม่ทำแบบนี้ผมคิดกลยุทธ์ไม่ออกจริงๆ ว่าจะทำยังไงให้คนอยากมา”

ช่วงแรกอั้มเล่าว่าทั้งคู่นำไอเดียการออกแบบโรงแรมที่แต่ละห้องตกแต่งไม่เหมือนกันเลยไปปรึกษานักลงทุนที่ทำโรงแรมอยู่แล้ว ปรากฏว่านักลงทุนไปไม่เป็นเพราะไม่เคยเจอโรงแรมที่มีดีไซน์หนึ่งแบบแค่ 1-2 ห้อง ในขณะที่โรงแรมส่วนใหญ่จะมีแค่หนึ่งดีไซน์ที่ใช้ซ้ำไป 10-20 ห้อง

“พอเขาเห็นแบบห้องที่เราเอาไปเล่าให้ฟัง เรามองแล้วรู้เลยว่าเขามองเราด้วยสายตาเป็นห่วง เห็นใจเราว่าเหนื่อยแน่”

ในมุมของอั้มถ้าคนเป็นห่วงแปลว่าเป็นสัญญาณที่ดี “ถ้าสังเกตงานของพวกเรา ผมจะเลือกทางยากหมด ไม่ได้กลัวความยาก เพราะความจริงมันเป็นหน้าที่ของคนสายอาร์ตหรือนักธุรกิจในการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ผมมองว่าถ้าเราไปถามคนที่ชำนาญแล้วหน้าตาเขาไม่เป็นห่วงเรา อันนี้ผมไม่ทำ ถ้าเขาบอกว่าแบบนี้ดี ผมไม่ทำ เพราะถ้าคนอื่นฟังไอเดียแล้วคิดว่าอันนี้ดี ทำง่าย ทุกคนก็ทำได้ แต่ถ้าเขารู้สึกว่าเป็นห่วงเรา นั่นแหละเราถึงต้องทำ เพราะถ้าทำแล้วสำเร็จคนอื่นจะทำตามเรายาก”

ด้วยหัวใจของแบรนด์ที่ยึดความแตกต่าง ทั้งคู่บอกว่าในอนาคตหากมีโอกาสก็ไม่อยากหยุดแค่การทำโรงแรม แต่อยากต่อยอดสู่หมวดธุรกิจอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ผู้เข้าพัก เช่น Kitsch Home ขายของแต่งบ้านที่ออกแบบสำหรับใช้ในโรงแรมโดยเฉพาะ อย่างชุด bathrobe จาน ปลอกหมอน โคมไฟ โปสต์การ์ด ซึ่งอั้มมองว่าหากแขกที่มาพักอินกับประสบการณ์ที่ได้รับจากโรงแรม ก็น่าจะเกิดความประทับใจจนอยากซื้อของสุดพิเศษเหล่านี้กลับบ้าน

“ตอนผมทำงานวงการโฆษณาจะชอบมีการประกวดแคมเปญสร้างสรรค์ซึ่งจะมีหลายหมวด หมวดที่ผมชอบทำคือหมวด Direct หมายถึงโฆษณาที่ขายตรงสู่ผู้ซื้อเลย จะทำยังไงให้คนเห็นปุ๊บแล้วอยากซื้อเลย ผมเป็นพ่อค้าเลยชอบวิเคราะห์ผู้ซื้อ โรงแรมที่นี่ก็เหมือนกัน คือถ้าคนที่มาได้ลองนอนด้วยตัวเอง แล้วชอบปลอกหมอน มีชุด rope ที่ใส่แล้วรู้สึกว่าดูดี มันก็เป็นการโฆษณาตัวสุดท้าย”

คำว่าโฆษณาตัวสุดท้ายของอั้มหมายถึงการขายตรงที่ลูกค้าได้สัมผัสจริงกับตัว ได้เห็นกับตา จนเกิดความประทับใจจนอยากซื้อ ณ โมเมนต์นั้น

สร้างโรงแรมมหัศจรรย์แบบไม่เพ้อฝัน

ในขณะที่ลูกศรเรียนจบแฟชั่นดีไซน์ ส่วนอั้มเคยทำงานสายครีเอทีฟในเอเจนซีโฆษณาทำให้ถนัดสร้างคอนเซปต์ดีไซน์ที่โดดเด่น แต่ทั้งคู่ก็บอกว่าไอเดียโรงแรมที่มีความแฟนตาซีอย่าง Kitsch Hotel จะสำเร็จไม่ได้เลยถ้าไม่มีหุ้นส่วนอีก 6 คนที่มีความถนัดในเชิงธุรกิจ โดยเฉพาะหนึ่งในหุ้นส่วนที่มีธุรกิจครอบครัวด้านโรงแรม ซึ่งทำให้ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยเติมเต็มความรู้ให้ลูกศรกับอั้มที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำธุรกิจโรงแรมมาก่อนเลย

“ถ้าให้ผมทำกับลูกศรนะ ราวแขวนเสื้อคงไม่มี คงเอาตู้เย็นออกหมด” อั้มพูดติดตลกและเล่าต่อว่ามีหลายสิ่งที่คนวงการสร้างสรรค์นึกไม่ถึงในการทำโรงแรมและต้องเป็นคนในวงการที่มีประสบการณ์เท่านั้นถึงจะรู้ ส่วนใหญ่มักเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ด้านฟังก์ชั่น”

ตัวอย่างเช่น การวางโพซิชั่นของแบรนด์ว่าอยากเป็นโรงแรมกี่ดาวจะส่งผลต่อการเลือกเช็กลิสต์สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักว่าควรมีอะไรบ้าง รวมถึงเกร็ดน่ารู้บางอย่างที่คนนอกวงการไม่รู้ อย่างตู้เซฟในห้องพักไม่ได้มีไว้เพื่อคุ้มครองลูกค้าเท่านั้น แต่ยังมีจุดประสงค์แฝงสำคัญคือเพื่อปกป้องสิทธิพื้นฐานของทางโรงแรมด้วยเช่นกัน ในแง่ว่าโรงแรมมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อความปลอดภัยให้ลูกค้าเลือกใช้แล้ว

การออกแบบวอลเปเปอร์ติดผนังโรงแรมด้วยตัวเองก็ไม่ใช่เหตุผลแค่ความสวยงามและสร้างอัตลักษณ์แบรนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องการซ่อมแซมบำรุงรักษา เพราะการใช้วอลเปเปอร์สำเร็จรูปที่มีอยู่แล้วตามร้านต่างๆ หากวันหนึ่งวอลเปเปอร์เกิดฉีกขาดแล้วรุ่นที่ใช้อยู่ขาดตลาด ก็อาจหารุ่นเดิมไม่ได้อีกและกลายเป็นต้องเปลี่ยนวอลเปเปอร์ใหม่หมดทั้งผนัง

หลายไอเดียที่หวือหวาหรือแฟนตาซี เมื่อลงมือทำจริงก็ไม่ได้ยึดติดกับไอเดียแรกทั้งหมด แต่ถูกปรับหรือยกเลิกไปบ้างด้วยเหตุผลทางธุรกิจ เช่น ไอเดียสร้างเต็นท์ในห้องพักซึ่งจำลองบรรยากาศกางเต็นท์ในสวนหลังบ้าน หรือธีมหลุดโลกแนวอวกาศที่ต้องตัดทิ้งไปเพราะข้อจำกัดด้านงบประมาณ โดยสุดท้ายจะมีการโหวตไอเดียจากหุ้นส่วนทุกคนเพื่อเลือกห้องที่เชื่อว่าจะขายได้ และมีโอกาสเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้ามากที่สุด มากกว่าการเลือกจากห้องที่สร้างสรรค์ที่สุดเพียงอย่างเดียว

พูดได้ว่าถึงแม้จะมีความกล้าในการทำโรงแรมที่แตกต่าง แต่สูตรการทำธุรกิจให้สำเร็จสำหรับอั้มก็ต้องไม่ทิ้งเรื่องการเงินด้วย และหนึ่งในเรื่องที่สำคัญที่สุดคือการคำนวณความคุ้มค่าในการคืนทุน

“ถ้าทำธุรกิจร้านอาหาร เราอาจไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อครัวที่เก่งที่สุดแต่เราต้องทำธุรกิจร้านอาหารที่ดีที่สุด หมายความว่าเราทำอาหารให้อร่อยที่สุดในต้นทุนที่เหมาะสมที่สุด เหมือนกัน ถ้าเราทำธุรกิจเสื้อผ้า เราอาจไม่ใช่สุดยอดดีไซเนอร์แต่เราทำเสื้อผ้าให้สวยที่สุดในราคาที่ลูกค้าจะซื้อได้มากที่สุด โรงแรมก็เหมือนกัน ทำให้สวยที่สุดในราคาที่อยู่ได้ ในต้นทุนที่ถูกจำกัดหรือถูกวางไว้แล้ว ผมไม่ใช่อินทีเรียร์ดีไซเนอร์ ผมเป็นผู้ประกอบการ มุมมองของเราจึงมองว่าจะทำยังไงให้คุ้มที่สุดสำหรับคนพัก”

สร้างบ้านด้วยอิฐ

เมื่อถามถึงห้องที่ท้าทายที่สุดในการออกแบบและตกแต่ง Kitsch Hotel ทั้งลูกศรและอั้มมองตรงกันว่าความท้าทายคือการแปลงโฉมทุกห้อง อั้มเผยด้วยน้ำเสียงขำๆ ว่า “ผมว่าความท้าทายคือทั้งโรงแรมนี่แหละ น่าจะท้าทายทั้งหมด มันคือมวลรวม เพราะเราเปลี่ยนทุกห้องเลย”

และเมื่อถามว่าห้องไหนใน Kitsch Hotel ที่มีการตกแต่งที่สะท้อนเรื่องราวการเป็นนักธุรกิจขอทั้งคู่มากที่สุด ทั้งคู่ตอบตรงกันอีกเหมือนเดิมว่า สิ่งที่สะท้อนตัวตนที่สุดคือทั้งโรงแรม และไม่ขอเลือกห้องไหนเป็นพิเศษ

ในมุมของลูกศร เพราะการใส่ใจรายละเอียดทุกจุดในทุกห้องทำให้รู้สึก “touch กับทั้งโรงแรมเลย” ส่วนอั้มที่เป็นครีเอทีฟและนักสร้างแบรนด์มืออาชีพก็มองว่า “นักทำแบรนดิ้งไม่มีแบรนดิ้งของตัวเอง ที่โรงแรมนี้เราสามารถสร้างแบรนดิ้งให้อะไรก็ได้ แม้กระทั่งห้องแต่ละห้อง” นั่นคือพลังของการเข้าใจแบรนด์อย่างลึกซึ้งที่ไม่ผูกแบรนด์ติดกับตัวตน

ทั้งคู่ยังเปรียบเส้นทางการทำธุรกิจของตนเองคล้ายกับนิทานลูกหมูสามตัวที่มีข้อคิดสอนใจคือการสร้างบ้านจากวัสดุที่แข็งแรงที่สุดจะทำให้บ้านอยู่ได้นานและไม่พังง่ายๆ เหมือนหลักคิดในการทำธุรกิจที่ลูกศรบอกว่าอยากทำในสิ่งที่ยืนระยะ ไม่ใช่แค่ตามกระแส

“เรา 2 คนจะคุยกันตลอดว่าตอนนี้เราสร้างบ้านด้วยอิฐกันหรือเปล่า หรือเราสร้างบ้านด้วยฟางหรือไม้ ถ้าเราเลือกทำธุรกิจที่มาเร็วไปเร็วหรือธุรกิจที่ trendy มากๆ มันไม่จำเป็นต้องเป็นเรา 2 คนก็ได้ ใครทำก็ได้ เราเลยเลือกทำธุรกิจที่ไม่มีใครทำได้ แต่เรานี่แหละทำได้ พยายามทำสิ่งที่พิเศษจริงๆ ไม่ใช่แค่ดึงส่วนแบ่งทางการตลาดจากคนอื่น เราอยากเป็นหนึ่งใน player แรกที่ลุกขึ้นมาทำสิ่งนี้”

หากย้อนกลับไปราวสิบปีก่อน ร้านมัลติแบรนด์สไตล์เอกลักษณ์อย่าง Daddy and the muscle academy และ Frank Garcon ที่ตั้งใจเชิดชูนัดวาดภาพประกอบไทยและดีไซเนอร์ไทยให้ได้โชว์ผลงานและวางขายที่ร้านยังไม่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในไทยมากนัก เช่นเดียวกับร้านอาหารใต้ที่ตกแต่งน่ารักคล้ายคาเฟ่อย่าง ‘ปากนัง’ ก็ยังไม่ค่อยมีใครลุกขึ้นมาทำในรูปแบบนี้เช่นกัน

การสร้างธุรกิจในแบบของอั้มและลูกศรจึงเป็นการสร้างรากฐานด้วยอิฐอย่างมั่นคง ไม่ใช่แค่โรงแรมน่ารักๆ ที่หวังให้คนมาถ่ายรูปตามเทรนด์ แต่อยากเป็นโรงแรมคอนเซปต์ดีที่เป็นธุรกิจอันยั่งยืน

“ศรเคยบอกพี่อั้มว่าจริงๆ แล้วอินเนอร์ของศรคืออยากให้ประเทศไทยมีของดี อยากให้กรุงเทพฯ มีของดี แต่เราไม่ได้มีศักยภาพที่จะไปเป็นรัฐมนตรี เราไม่ได้เรียนรัฐศาสตร์ ก็เลยใช้ศักยภาพในตัวเราที่คิดว่าทำให้ไปไกลที่สุดได้ ทำสิ่งที่เป็นหน้าตาของประเทศเรา ก็เลยพยายามผลักดันธุรกิจที่มีให้เป็น destination ของนักท่องเที่ยว”

“เป้าหมายของพวกผมคือไม่ได้อยากรวยมาก แต่อยากสร้างสิ่งพิเศษ ผมมีความเชื่อว่าคนไทยมีศักยภาพ เวลาเราไปต่างประเทศ ไปเกาหลีหรือญี่ปุ่น เรารู้สึกว่างานคนไทยไม่ได้แพ้ใครเลย เราทำโรงแรมเพื่อให้คนเห็นว่าเมืองไทยก็มี concept hotel ได้ ทำให้อาร์ตเข้าใกล้คนมากขึ้นได้ เรามองว่าอยากลงทุนในแบบที่ได้ความภูมิใจกลับมาด้วยว่าเราทำสิ่งที่พิเศษ อย่างน้อยก็ต่อใจเรา และเป็นการส่งต่อให้คนอื่นที่มาพักได้แรงบันดาลใจในการทำสิ่งที่พิเศษกลับไป ผมคิดว่าประเทศต้องการพลังที่ถูกส่งต่อแบบนั้น”

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...