โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

กว่าจะเป็น…หนึ่ง “อ.เป็นหนึ่ง วงษ์ภูดร” ซินแสขวัญใจคนดังทั่วฟ้าเมืองไทย

TheHippoThai.com

เผยแพร่ 06 พ.ย. 2561 เวลา 13.00 น.

กว่าจะเป็น…หนึ่ง “อ.เป็นหนึ่ง วงษ์ภูดร” ซินแสขวัญใจคนดังทั่วฟ้าเมืองไทย

เราเริ่มเปิดฉากการพูดคุยในครั้งนี้ ด้วยเรื่องกระแสที่ถาโถมเข้าใส่ ซินแสเป็นหนึ่ง หรือ .เป็นหนึ่ง วงษ์ภูดร เข้าจังๆ อยู่หลายระลอก ดูเหมือนว่าเหล่าดาราต่างตบเท้าเข้ามาขอคำแนะนำกันอย่างถ้วนหน้า หรือในอีกทางหนึ่งก็ดูเหมือนว่าซินแสจะพาตัวเองมาอยู่ในกระแสได้ตลอด 

จริงๆต้องบอกว่าโดยส่วนใหญ่ที่ผ่านมาดาราทุกคนเป็นเพื่อนเป็นพี่น้องกันอยู่แล้วก็จะแวะมาพูดคุยกันทานข้าวกันเราก็แค่แนะนำในการดำเนินชีวิตเหมือนกับแนะนำทุกคนทั่วไปไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ 

อย่างกรณีการออกแบบการ์ดแต่งงานของดาราสาวตัวแม่? 

เราก็ไม่ได้เป็นคนดูฤกษ์ให้เขาว่าเขาจะแต่งวันไหนเวลาไหนเราไม่รู้เรื่องเลยเพราะพ่อแม่ฝั่งเจ้าบ่าวเขาดูให้เสร็จสรรพเรียบร้อยพอเขามาหาก็บอกให้เราช่วยเขาได้ไหมให้ช่วยออกแบบสัญลักษณ์โลโก้ในงานแต่งงานให้เขาเป็นของขวัญเราก็มาปรับเปลี่ยนตามความเป็นตัวตนของเขากับเจ้าบ่าวเพื่อให้มันมีความเป็นอัตลักษณ์และเราเชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้เขามีความสุขสิ่งที่เขาได้รับจากเราไปเป็นของขวัญที่พี่น้องครูบาอาจารย์มอบให้เขาแต่ความรักจะยืดยาวแค่ไหนก็อยู่ ๆ ที่คนทั้งสองคน

“จุดเริ่มต้นของเราคือทำธุรกิจแล้วเจ๊งมาก่อน”

เมื่อเราได้ทำความรู้จักกับศาสตร์ของซินแสเป็นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านฮวงจุ้ย ด้านการออกแบบลายเซ็นและโลโก้ ด้านการออกแบบตัวเลข ด้านโหงวเฮ้ง เมื่อผสมเข้ากับการลองวิเคราะห์ให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว ก็ทำเอาหลายคนต้องอึ้งและทึ่งในความ ‘อ่านขาด’ ของเขา จนอดถามไม่ได้ว่ากว่าจะมาเป็น ‘เป็นหนึ่ง’ อย่างวันนี้ เขาผ่านอะไรมาบ้างในชีวิต 

จุดเริ่มต้นของเราคือเคยทำธุรกิจแล้วเจ๊งมาก่อนการที่เราบาดเจ็บจากความล้มเหลวในชีวิตมันทำให้ต้องสู้ด้วยการหาทางทุกทางจากจุดเริ่มต้นที่เราเป็นคนไม่เชื่อเรื่องราวเหล่านี้เลยจนวันหนึ่งมีผู้ใหญ่หลายๆคนก็เชียร์ให้เราดูหมอเชียร์ให้เราไปดูให้รู้ว่าเพราะอะไรเราถึงไม่ประสบความสำเร็จ

“ดูหมอวันละ2 คนเดือนหนึ่งมี31 วันเราดูไป62 คน”

เราเลยตัดสินใจทุ่มเต็มที่กับมันคือดูให้มันเต็มที่เลยดูหมอวันละ 2 คนเดือนหนึ่งมี 31 วันเราดูไป 62 คนเพราะหนี้มันเยอะมากปรากฎว่าพอเราดูไปครบแล้วทุกคนทายอดีตบอกว่าอดีตโอเคแต่พอถามว่าพรุ่งนี้จะปลดหนี้ได้ไหมเขาตอบว่าไม่ได้ไม่มีสักคนที่สามารถให้คำตอบได้แต่เราเองอยากปลดหนี้เพราะหนี้สินเราท่วมตัวอยู่แต่เขาแนะนำให้ไปทำ 3 เรื่องคือปล่อยนกปล่อยปลาปฏิบัติธรรม

อย่างการปล่อยปลาเราปล่อยปลาเป็นสิบล้อปล่อยนกเป็นเอเชียนเกมส์ทำเต็มที่เพราะเราอยากดีขึ้นการเป็นหนี้มันน่ากลัวเราเปิดใจลองทำไปทุกสิ่งอย่างแต่สุดท้ายชีวิตไม่ดีขึ้นเราเปิดใจลองทำตามสิ่งที่ทุกคนบอกว่าทำแล้วมันจะดีหลังจากเราปล่อยนกปล่อยปลาเสร็จสรรพคนที่มาส่งของยื่นใบเรียกเงินมาให้อันนี้คือความจริงคือสิ่งที่เราต้องจ่ายสรุปว่าสิ่งที่ทำไปมันก็ช่วยเรื่องทางใจช่วยให้รู้สึกสบายใจเราเสียเงินแต่กลับกลายว่าหนี้สินยังเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น

“การปฏิบัติธรรมคือให้รู้เรื่องสติ”

เรื่องราวชีวิตของ ‘เป็นหนึ่ง’ ที่ผ่านการเดินหลงทางเริ่มกลับมองเห็นแสงสว่างในชีวิตอีกครั้งในอดีตเราเป็นที่ปรึกษาวางแผนกลยุทธการขายและการตลาดดังนั้นจึงมานั่งคิดว่าถ้าในกรณีที่เราปล่อยนกปล่อยปลาปล่อยสิ่งต่างๆแล้วทำให้ธุรกิจแล้วดีขึ้นแสดงว่าบางอย่างในการตลาดเราก็คงไม่ต้องไปลงทุนลงแรงอะไรขนาดนั้นหันมาปล่อยนกปล่อยปลาดีกว่าไหมเพื่อให้ธุรกิจและการตลาดมันดีต้องเข้าใจว่าทุกอย่างมันมีตัวชี้วัดหมดเลย เขาเรียกสติตัวเองกลับมาได้อีกครั้ง 

หลังจากนั้นก็มีการไปปฏิบัติธรรมต้องบอกเลยว่า100% ได้จากการปฏิบัติธรรมอาจารย์ที่ปฏิบัติธรรมเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจรัญเพราะผู้ใหญ่หลายๆคนบอกให้ไปที่หลวงพอจรัญสิ่งที่เราได้100% จากการปฏิบัติธรรมคือให้รู้เรื่องสติให้รู้เรื่องที่ผ่านมาว่าล้มเหลวเพราะอะไรเลยทำให้เรามีความรู้สึกว่ามันดีจริงๆ 

“น้ำเทลงผืนทรายย่อมมีทางไหลของมันเอง”

ตอนไปปฏิบัติธรรมเราปฏิบัติอยู่สามวันศุกร์เสาร์อาทิตย์พอคืนวันเสาร์เราเดินจงกลมก็รู้สึกมันหวั่นไหวในใจเพราะตระหนักได้ว่าหนี้มันยังอยู่ปัญหาล้มเหลวมันยังอยู่เลยอธิษฐานจิตในใจว่าหลวงพ่อจรัญช่วยลูกด้วยนะลูกหาทางออกไม่ได้มันจนปัญญาจริงๆถ้าปาฏิหารย์มีจริงท่านช่วยหาทางออกให้ลูกด้วยผ่านไปไม่กี่วินาทีมีเสียงเหมือนกับเสียงตามสายพูดว่าน้ำเทลงผืนทรายย่อมมีทางไหลของมันเองเลยหันกลับไปถามทุกคนว่าได้ยินเหมือนกันไหมไม่มีใครได้ยินเลยทุกคนจะบอกว่าคุณปฏิบัติธรรมต้องสงบต้องไม่มโน  

ปาฏิหารณ์ครั้งนั้นสอนเขาว่า ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม ขอให้ก็เดินหน้าไปเถิด ทุกอย่างย่อมมีทางออกของมันเอง

 “เจ็บใจในเรื่องการปรับฮวงจุ้ยมาก” 

แต่หลังจากนั้นก็เคว้งเพราะเราล้มแล้วไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตจนหลายๆคนบอกว่าต้องดูฮวงจุ้ยแล้วนะใหญ่ขึ้นจากเดิมหลังจากเรื่องหมอดูเราหมดเงินไปเยอะกับเรื่องฮวงจุ้ยเพราะฮวงจุ้ยเป็นเรื่องใหญ่การรื้อการสร้างเป็นเรื่องใหญ่สมมติมีบ่อปลาแล้วต้องยุบบ่อปลาเพราะเขาบอกว่าบ่อปลาตรงนี้ไม่ดีเราก็ทำเพราะเชื่อว่ามันจะต้องดีขึ้นพอมันไม่ดีขึ้นก็มาเจอคนที่สองบอกว่าตรงนี้ต้องมีบ่อปลาเราก็กลับมาทำบ่ออีกเจอแต่เรื่องแบบนี้ซ้ำๆจนวันหนึ่งเงินหมดหน้าตักเงินก๊อกสุดท้ายมาลงกับความเชื่อหมดคราวนี้ชีวิตศูนย์จริงๆแล้วเจ็บใจในเรื่องการปรับฮวงจุ้ยมากจนอยากรู้แล้วว่าสิ่งที่เจอมาคืออะไรกันแน่ตัดสินใจทุ่มทุนในการศึกษาเรื่องราวของศาสตร์เหล่านี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบัน

“ในศาสตร์นี้มีพุทธคุณเพียง 5% อีก 95% คือมานะคน”

พอมาศึกษาเรื่องราวเหล่านี้เองจึงสรุปได้ว่าในศาสตร์นี้มีพุทธคุณเพียง 5% อีก 95% คือมานะคนตลอดระยเวลาที่ให้สัมภาษณ์6-7 ปีพูดออกสื่อแบบนี้ทุกครั้งเพราะชีวิตเรากว่าจะมาเป็นวันนี้ได้เราใช้การลงมือทำมา 95% อีก 5 % คือกำลังใจคนโดยส่วนใหญ่จะหาอะไรที่ทำให้เดินต่อได้มันต้องหาลูกเล่นอย่างเช่นหากชอบลิปสติกเวลาท้อก็จะสรรหาลิปสติกมาทาให้ตัวเองรู้สึกโอเค

ฉะนั้นอะไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจนั่นคือสิ่งสำคัญพอศึกษามาทั้งหมดเราเลยได้รู้ว่าความเชื่อเหล่านี้เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์เป็นจิ๊กซอว์ที่สามารถทำให้คนประสบความสำเร็จโดยมีพื้นฐานเป็นกำลังใจโดยหลักของเราคือการนำตำรามาประยุกต์ใหม่ทั้งหมดผสานศาสตร์จากการเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจและการตลาดเข้ากับความเชื่อ 

การผสมผสานกันทำให้เราได้คำตอบว่าโบราณพันกว่าปีที่เขาวางเรื่องฮวงจุ้ยเขาไม่รู้คำว่าดิสเพลย์กับโลเคชันฮวงจุ้ยดีคือโลเคชันดีเป็นหลักการเดียวกันแต่ภาษาเมื่อพันกว่าปีกับยุคนี้มันต่างกันเช่นฮวงจุ้ยที่ดีคือไม่มีสะพานข้ามผ่านขณะที่หลักการเลือกโลเคชันที่ไม่ดีเพราะสะพานจะทำให้เลยจากร้านคนไม่เข้าร้านมันคือหลักเกณฑ์เดียวกัน

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0