โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

พลังรักของแม่ที่เอาชนะโรคมะเร็งได้! คุยกับแอดมินเพจ 'แฝดมะเร็งสวย รวยความสุข' – INTERVIEW TODAY

INTERVIEW TODAY

เผยแพร่ 24 มี.ค. 2564 เวลา 18.19 น. • @mint.nisara

การมีสเตตัสเป็น 'ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะที่ 4' อาจฟังดูเป็นอะไรที่น่ากลัวสำหรับใครหลาย ๆ คนและเป็นคำพูดที่สิ้นซึ่งความหวังว่าคน ๆ นั้นจะสามารถหายดีจนกลับมาใช้ชีวิตแบบคนทั่ว ๆ ไปได้อีกครั้ง แต่มุมมองเกี่ยวกับโรคมะเร็งและผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ของเรามีกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงหลังจากที่ได้นั่งคุยกับผู้หญิงแกร่ง 2 คนนี้ที่เคยใช้สเตตัส 'ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะที่ 4' และผ่านจุดที่เข้มข้นที่สุดในชีวิตมาได้อย่างสวยงาม พวกเธอทำให้เราสัมผัสได้ว่าตราบใดที่ชีวิตยังถูกโอบกอดด้วยความรักและตั้งอยู่บนความเชื่อมั่น ความหวัง ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นได้เสมอ 

INTERVIEW TODAY สัปดาห์นี้ LINE TODAY จึงขอหยิบเอาเรื่องราวชีวิตของ คุณกิ๊ก และ คุณกิ๊ฟท์ มาเล่าสู่กันอ่าน โดยเราหวังว่าบทความนี้จะช่วยเติมพลังใจให้กับใครหลาย ๆ คนที่กำลังเผชิญปัญหาทั้งด้านสุขภาพหรือด้านอื่น ๆ ใด ๆ ก็ตามในชีวิตให้ฮึดสู้กับมันสักตั้ง เช่นเดียวกับสองสาวเจ้าของเรื่อง!

มะเร็งก่อมิตรภาพ…จุดเริ่มต้นของ 'แฝดมะเร็งสวย รวยความสุข'

เพจนี้ถูกก่อตั้งโดย กิ๊ก อรณัฐ สุวรรณกาญจน์ และ กิ๊ฟท์ ฐิตารีย์ เถรกุล สองคุณแม่นักสู้ที่เอาชนะโรคมะเร็งระยะที่ 4 มาได้เหมือน ๆ กัน ที่น่าประหลาดใจคือทั้งคู่ไม่เคยเจอกันมาก่อนแต่รู้จักกันผ่านหน้าเพจเฟซบุคของกิ๊ฟท์ที่ใช้ชื่อว่าA Kindness Family เป็นเพจที่แชร์เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว และมีตอนหนึ่งที่กิ๊ฟท์ได้โพสต์เล่าประสบการณ์ถึงการต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเองช่วงระหว่างตั้งครรภ์เอาไว้ ซึ่งพอกิ๊กได้มาอ่านเจอเข้าก็รู้สึกคลิกในทันทีเพราะเธอเองก็มีประสบการณ์ร่วมที่เผชิญมาเหมือนกัน 

“เราอ่านเรื่องราวของเขาแล้วก็ต้องทักไปหาเลย แล้วรู้สึกว่ายิ่งคุยก็ยิ่งคลิกด้วยความที่เราสองคนเป็นแม่เหมือนกัน เป็นมะเร็งตอนที่ตั้งท้องเหมือนกัน อายุใกล้ ๆ กัน ชื่อก็คล้าย ๆ กัน”กิ๊กเล่าให้เราฟัง และด้วยความที่เธอเคยเขียนเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับโรคมะเร็งมาบ้างแล้ว ตัวกิ๊ฟท์เองก็ทำเพจอยู่แล้ว ทั้งสองเลยเริ่มทำโปรเจกต์เล็ก ๆ ที่ชื่อว่า‘แฝดมะเร็งสวย รวยความสุข’ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยมะเร็งและให้คำปรึกษากับคนที่กำลังต่อสู้กับโรคนี้ 

กิ๊ฟท์: เป้าหมายของพวกเราคืออยากให้บุคคลที่เป็นโรคนี้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ไม่ใช่ว่าจะต้องอยู่ในห้องมืด ที่ไทยเนี่ย 70% เลยที่พอหมอวินิจฉัยบอกว่าคุณป่วยเป็นมะเร็งนะ ทุกอย่างในโลกมันเปลี่ยนไปหมด ชีวิตมืดมนเหมือนฟ้าทลายลงมา กิ๊กกับกิ๊ฟท์ที่ได้ผ่านจุดนั้นมาแล้ว เราเลยอยากจะบอกกับคนอื่น ๆ ว่ามันไม่ใช่นะ ไม่ใช่ว่าพอเป็นมะเร็งแล้วจะต้องนั่งรอวันสุดท้าย แต่อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตได้เหมือนกับคนทั่ว ๆ ไป

กิ๊ก: คนที่เป็นเค้าจะระวังไปซะทุกอย่างเลย แบบจะต้องกินอะไร จะต้องห้ามทำอะไรไหม ซึ่งอะไรเหล่านี้อาจจะทำให้กลายเป็นความทุกข์แทน เราเลยอยากเป็นตัวแทนที่จะพูดว่าใช้ชีวิตตามปกติไปเลย ที่ทำให้ตัวเองมีความสุขกับเวลาที่เหลืออยู่ดีกว่า

<i>กิ๊ก อรณัฐ สุวรรณกาญจน์, สามี และลูก</i>
กิ๊ก อรณัฐ สุวรรณกาญจน์, สามี และลูก

เรื่องราวของกิ๊กเริ่มต้นเมื่อเธอค้นพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งหลังจากที่เธอให้กำเนิดลูกคนแรกเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เธอเล่าให้เราฟังว่าตอนที่ท้อง ทุกอย่างดำเนินมาอย่างปกติจนถึงช่วงไตรมาสที่ 3 ขาเริ่มเจ็บอย่างไม่มีสาเหตุและหลังจากนั้นอาการก็เริ่มทรุดตัวอย่างรวดเร็วและน่าใจหาย

กิ๊ก: ตอนแรกเราคิดว่าที่เจ็บขาเป็นเพราะท้อง ก็พยายามเล่นโยคะเพื่อที่จะรักษาตัวเอง แต่พอเข้าไตรมาสสุดท้าย กลับยืนแทบไม่ได้ ลงน้ำหนักไปที่ขาไม่ได้เลย ขนาดยืนแปรงฟันยังต้องเอาแขนท้าวอ่างล้างหน้าเอาไว้เพื่อพยุงตัวเอง และสุดท้าย เราก็เดินไม่ได้ ตอนนั้นพอไปหาหมอสูฯ เจ้าของไข้ แกก็บอกว่าภาวะครรภ์ทุกอย่างปกตินะ เลยส่งเคสต่อให้กับหมอกระดูกเพื่อเช็กร่างกาย แต่ด้วยความที่เรากำลังท้อง การที่หมอจะเอ็กซ์เรย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดก็เป็นไปไม่ได้ เค้าเลยขอไม่รับรักษาและขอส่งเคสต่อไปให้หมอกายภาพแทน 

ตอนแรกหมอกายภาพก็วินิจฉัยว่าอาจจะเป็นเพราะน้ำหนักของเด็กในครรภ์ที่อาจไปกดทับเส้นประสาท หลังคลอดน่าจะดีขึ้น เราก็พยายามทุกวิถีทางที่จะทำได้เพื่อรักษาอาการ แต่ชีวิตตอนนั้นก็ต้องอยู่กับการใช้วอล์กเกอร์และรถเข็นตลอดเวลา เรามีความหวังว่าพอคลอดลูก อาการเหล่านี้น่าจะหายไป แต่ปรากฏว่าวันที่คลอด คลอดเสร็จเรียบร้อย เราพยายามจะเดินลงจากเตียง ก็ยังเดินไม่ได้เหมือนเดิม และทรุดลงไปกองกับพื้นเลยเพราะขาใช้การไม่ได้ หมอกระดูกเลยขอเอ็กซเรย์ในครั้งนี้แล้วก็เจอว่าข้อกระดูกสะโพกได้หักไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่กลม ๆ ตรงข้อต่อยุบเข้าไปเลย เราก็งง หมอยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่เพราะกิ๊กไม่เคยมีอุบัติเหตุและก็ไม่เคยล้มมาก่อน 

คราวนี้คุณหมอเลยส่งไปซีทีสแกน ถึงได้ไปเจอว่าเรามีก้อนเนื้อที่เต้านมข้างซ้าย และหมอคิดว่านี่แหละน่าจะเป็นต้นเหตุที่ลามไปที่กระดูกและทำให้ข้อต่อสะโพกหัก..มันคือเซลล์มะเร็ง

<i>กิ๊ฟท์ ฐิตารีย์ เถรกุล, สามี และลูก</i>
กิ๊ฟท์ ฐิตารีย์ เถรกุล, สามี และลูก

ทางด้านของกิ๊ฟท์ เธอเป็นแบ็กแพกเกอร์สาวที่ชอบท่องโลกและลุยไปทุกที่ ชีวิตของเธอไม่มีขีดจำกัดและอิสรภาพของเธอคือการเดินทางไปสำรวจตามที่ต่าง ๆ จนกระทั่งเธอได้พบรักกับสามีที่ทำให้เธอตัดสินใจย้ายไปอยู่รัฐลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อเริ่มต้นครอบครัวเมื่อ 7 ปีที่แล้ว

ถ้าพูดถึงการเจ็บป่วย กิ๊ฟท์เป็นหญิงสาวที่ค่อนข้างแข็งแรงมาก ถึงแม้เธอจะก้อนเนื้อที่เต้านมตอนอายุประมาณ 14-15 แล้วหมอบอกว่าเป็นแค่ซีสต์ยังไม่จำเป็นต้องผ่า เธอก็เลยอยู่กับเจ้าก้อนนั้นมาเป็นเวลากว่า 20 ปี จนถึงเมื่อประมาณ 1 ปีที่แล้ว ตอนที่กิ๊ฟท์เริ่มตั้งท้องลูกสาวคนแรก ก้อนเนื้อกลับเริ่มขยายขึ้นเรื่อย ๆ 

กิ๊ฟท์: ตอนแรกเราไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะคิดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเฉย ๆ หมอที่นี่ก็บอกว่ามันน่าจะเกี่ยวกับการสร้างน้ำนมแต่ผ่านมาสักพัก ก้อนมันกลับใหญ่ขึ้น ๆ จนเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดาละ ก็เลยมานั่งคุยกับตัวเองว่ายังไงดีกิ๊ฟท์ มันมีแค่ 2 คำตอบคือใช่กับไม่ใช่ อันนี้เหมือนคนบ้าเลยนะ เพราะพยายามหาคำตอบให้ตัวเองว่าถ้าใช่ ถ้าก้อนเนื้อคือมะเร็งแล้วยังไงต่อ

ทีนี้วิธีการรักษาสำหรับคนท้องมันก็มีอยู่ 2 อย่างคือการให้คีโมแบบอ่อนหรือยุติการตั้งครรภ์ ตัวเราเองในตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าเราป่วยนะ รู้สึกว่าแค่มีสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย และพอมานั่งชั่งใจแล้ว เราไม่อยากผลักภาระไปให้ลูกในท้องอะเพราะเค้ากำลังเติบโตเป็นมนุษย์คนหนึ่งแล้ว เราเลยเลือกว่าจะยังไม่ไปตรวจและบอกกับตัวเองว่า 'ฉันขอเป็นคนท้องที่มีความสุขก่อน' และลูกจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของความสุข ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความเจ็บป่วย

คลอดลูกแล้วค่อยว่ากัน…

เราถามถึงโมเมนต์ที่ทั้งสองได้รู้ถึงข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตต่อจากนั้นว่า ณ ช่วงเวลานั้นจริง ๆ ความรู้สึกของเธอทั้งคู่เป็นอย่างไร สิ่งที่พวกเธอบอกเหมือนกันก็คือเหมือนเครื่องบินหล่นลงมาจากฟ้า แล้วเลือกตกมาทับแค่พวกเธอ 2 คน

กิ๊ก: เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองจะป่วย มันไม่ได้มีสัญญาณล่วงหน้าที่บอกใบ้เรา และด้วยความที่ว่าตอนที่เราป่วย ตอนนั้นอายุแค่ 29 มันยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะตรวจเมมโมแกรมเวลาไปตรวจสุขภาพประจำปี ก่อนท้องก็ไม่เคยตรวจอะไรเลย อีกอย่างคือเซลล์ที่เต้านมเล็กแค่ 2 เซนติเมตรเอง คุณหมอก็ยังแปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงลามไปได้ทั่วร่างกายขนาดนี้

ตอนที่รู้เรื่องมันก็ช็อกเลยแหละ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็เลยปรึกษาเพื่อน ๆ และช่วยหาข้อมูล การรักษาเลยเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนนั้นมันไม่ค่อยมีเวลาให้เราคิดเหมือนกันนะเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พอพักฟื้นหลังคลอดได้วันเดียวก็ต้องย้ายโรงพยาบาลไปผ่าตัดแล้ว เอาจริงว่าสิ่งแรกที่เราคิด ไม่ได้นึกถึงตัวเองเลยนะ ทุกอย่างมีแต่ลูก คำถามแรกที่เราถามคุณหมอคือ ‘แล้วเรายังให้นมลูกได้ไหมคะ’ คิดถึงแต่ลูกอย่างเดียว

พอตั้งสติได้แล้ว มันก็มีแต่คำถามว่า ‘ทำไมต้องเป็นเราด้วยวะ’ วนเวียนอยู่ในหัว คิดแบบน็ซ้ำ ๆๆๆ จนใครมาเยี่ยม เราก็ร้องไห้ใส่ทุกคนเลย แต่มันก็เป็นสิ่งที่เรียนรู้นะว่าในช่วงเวลาที่เสียใจอยากร้องไห้ก็ร้องไป ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็ง ไม่ต้องยืนหยัดเพื่อใคร อยากร้องก็ร้องไป มันจะถึงจุดนึงที่เราโอเคขึ้นแล้วสามารถก้าวต่อไปได้

กิ๊ฟท์: ส่วนของกิ๊ฟท์อะ พอคลอดลูกเสร็จแล้ว หมอก็ขอเจาะชิ้นเนื้อเพื่อไปวินิจฉัยอย่างละเอียดและผลที่ออกมาก็คือเราเป็นมะเร็งระยะที่ 4 และมันลามไปถึงที่ตับและกระดูกหน้าอกแล้ว จากก้อนเท่าถั่วลิสงตอนนั้นมันกลายเป็นก้อนเท่าลูกมะนาวแล้ว สิ่งที่เราคิดในหัวคืออะไรวะ ฉันเพิ่งคลอดลูก ขอมีเวลาดีใจกับลูกก่อนได้ไหม

ย้อนกลับไปตอนโมเมนต์ที่คุณหมอโทรมานัดเพื่อเข้าไปฟังผล เราจับหน้าอกตัวเองแล้วรู้เลยว่าสิ่งที่จะได้ยินไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอย่างแน่นอน เพราะเรารู้ว่าผิวหนังตรงนั้นมันดูผิดปกติ กลายเป็นสีน้ำตาลไปหมด เราจับมือกับสามีแล้วพูดเลยว่าเราขอแค่ 10% เท่านั้นที่หมอจะบอกว่าไม่ใช่ แต่พอตอนที่ได้ยินจากคุณหมอจริง ๆ ก็ร้องไห้ออกมาเลยเพราะเราก็ไม่ได้เตรียมใจมาว่าตัวเองจะเป็นระยะที่ 4 เลย

มันเหมือนเราเดิน ๆ อยู่ แล้วจู่ ๆ เครื่องบินตกลงมาทับเราคนเดียว มันคือความรู้สึกแบบนั้นเลย

กิ๊ก: ใช่เลย ตอนนั้นเราใช้คำว่าเหมือนเราเพิ่งพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ แต่ถูกถีบตกลงมา (หัวเราะ)

<i>กิ๊ฟท์และลูก</i>
กิ๊ฟท์และลูก

การรักษาเกิดขึ้นหลังจากนั้น และนอกจากความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่ทั้งกิ๊กและกิ๊ฟท์ได้รับอย่างเต็มที่แล้ว สิ่งที่ทำให้พวกเธอต่อสู้ฝ่าฟันมาได้อย่างไม่ย่อท้อก็คือกำลังใจจากคนรัก

กิ๊ก: เราใช้เวลา 6 เดือนในการรักษาแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งหลังจากที่ร้องไห้หนัก ๆ มาแล้ว อะไร ๆ ก็ดีขึ้น จุดเปลี่ยนคือคุณแม่กับแฟนเลย เค้ามีสติกว่าเรา ก็ช่วยเราหาข้อมูลพวกวารสารทางการแพทย์มาให้เราอ่านที่บอกว่ามะเร็งที่เราเป็นชนิดนี้เนี่ยมันมียารักษา ประกอบกับคุณหมอที่ดูแลเคสเราก็เป็นกำลังใจบอกว่าจะทำให้เราได้อยู่กับลูกนาน ๆ ขอแค่ให้เชื่อมั่นในการรักษา เราก็เลยพลิกความคิด เปิดรับทุกอย่างเลย จะผ่าตัดอะไร รักษายังไง เราพร้อมสำหรับมันแล้ว

กิ๊ฟท์: กิ๊ฟท์ให้คีโมเพื่อรักษาทั้งหมด 6 ครั้งซึ่งโชคดีที่คีโมให้ผลดี จากก้อน 6 นิ้วเหลืออยู่ 3 นิ้ว ที่ตับและกระดูกก็เริ่มหายไป แต่มันก็จะมีช่วงที่เราเริ่มไม่ไหวแล้ว เริ่มเครียดกับมันมาก ๆ ก็ได้ซัพพอร์ตจากครอบครัว จากสามี ซึ่งเป็นอะไรที่สำคัญมาก ๆ ที่ทำให้เราผ่านช่วงนั้นมาได้ เขาจะพูดกับเราตลอดว่าเราเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เขารู้จักมาเลย เรื่องนี้แค่เล็กน้อย ยูทำได้อยู่แล้วและเราจะผ่านมันไปด้วยกันซึ่งแค่นี้เลยที่ผู้ป่วยมะเร็งต้องการจากคนรอบข้าง คือกำลังใจและความเข้าใจ

<i>กิ๊กขณะตั้งท้อง</i>
กิ๊กขณะตั้งท้อง

อีกสิ่งที่เสริมกำลังใจและเป็นแรงฮึดที่คอยเติมพลังให้กับทั้งคู่ก็คือลูกน้อยที่เป็นดั่งดวงใจของคุณแม่ทั้งสองนี้…

กิ๊ฟท์: เราได้แต่บอกหมอว่า Anything อะไรก็ได้ที่ทำให้ฉันหายแล้วได้กลับไปอยู่กับลูกก็พอ เราคิดกับตัวเองหลายครั้งนะว่าถ้าเราป่วยตอนที่ยังไม่มีลูก เราคงไม่ได้มีกำลังใจที่ดีขนาดนี้ คงจะแห้งเหี่ยวเพราะไม่รู้จะต้องหายดีไปเพื่อใคร ซึ่งเราขอบคุณลูกมาก ๆ นะที่มาช่วยเราตรงนี้ ทุกครั้งที่เราต้องไปทำคีโม ก่อนจะออกไปโรงพยาบาล เราก็เดินไปหาลูกแล้วก็บอกกับเค้าว่า ‘เดี๋ยวหม่าม้ามานะ เดี๋ยวหม่าม้าไปเติมน้ำมันก่อน กลับมาจะกลายเป็นเฟอรารี่ให้ดูเลย’ หรือบางครั้งที่ร่างกายเรารับยาไม่ค่อยไหวแล้ว มันเหนื่อยและทำให้เราท้อมาก ๆ แค่เห็นหน้าลูกหันมายิ้มให้เรานะ เชื่อไหมว่ากำลังใจเราชาร์จกลับมาเต็มเลย ทำให้เรามีชีวิตอยากอยู่ต่อเพื่อจะได้เห็นลูกประสบความสำเร็จตอนเค้าโตเลย

กิ๊ก: ของกิ๊กคือโดนแยกกับลูกมาตั้งแต่วันแรกเลย เราต้องไปอยู่โรงพยาบาล ผ่าตัด พักฟื้นเป็นเดือน ๆ พอช่วงให้คีโมก็ไม่มีแรงที่จะได้เล่นกับเขาแล้ว มันก็มีบางอารมณ์ที่เราคิดนิดนึงว่าเราจะหายดีได้กลับไปอยู่กับลูกจริง ๆ หรอ ก็มีคิดอยู่เหมือนกัน แต่พอเราไปอ่านคอนเทนต์ของเพจคุณหมอประเสริฐเรื่องการเลี้ยงลูกที่แกเขียนไว้ว่า “ลูกต้องมีแม่” เราก็มีแรงฮึดขึ้นมานะว่าจะต้องเอาชนะมันให้ได้

จากเหตุการณ์หนัก ๆ ที่ผ่านมา ทั้งสองคนบอกกับเราว่ามะเร็งทำให้พวกเธอรู้จักการเป็นผู้ให้ การมองหาความสุขในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ และที่สำคัญคือการยอมรับความจริง

กิ๊ฟท์: สิ่งหนึ่งที่ตัวเราต้องยอมรับก่อนว่ามะเร็งคือส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว เราจะหลีกเลี่ยงหรือจะไปแก้ไขอะไรในอดีตก็คงจะไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทั้งกิ๊กและกิ๊ฟท์โฟกัสก็คืออยู่ร่วมกับโรคอย่างไรให้เราใช้ชีวิตปกติได้มากที่สุด และในเวลาเดียวกัน เราก็อยู่กับความหวังที่มีค่านะ เป็นความหวังที่ว่าสักวันหนึ่งจะมียาที่ช่วยให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและทำให้เราอยู่ได้นานขึ้น

กิ๊ก: ตอนนี้เหมือนโรคกำลังหลับอยู่ แต่ตัวเราเองก็ยังคงต้องไปรับยาอยู่เรื่อย ๆ เพื่อกดมันไว้ จริง ๆ แล้วมะเร็งจะไม่หายไปจากเราได้หรอก แต่กิ๊กจะชอบพูดว่าอยู่กับเค้าให้ได้อย่างมีความสุขมากกว่า คำแนะนำที่อยากแชร์ให้กับผู้ป่วยมะเร็งคนอื่น ๆ ก็คือเราต้องยอมรับความจริงให้ได้ก่อน อย่าไปคิดว่าทำไมเราถึงโชคร้าย ทำไมต้องเป็นเรา มันจะหมดกำลังใจไปเลยทันที ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ลองหาคนที่เค้าสามารถรับฟังเราได้ การมีความสุขและมีกำลังใจที่ดีคือเรื่องสำคัญมาก ๆ ที่จะทำให้เราสู้กับมะเร็งได้

อ่านเรื่องราวของพวกเธอต่อได้ที่เพจ 'แฝดมะเร็งสวย รวยความสุข'

0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0