PCE เทรดวันแรกพุ่ง 14% พร้อมทุ่มงบ 400-600 ลบ. ขยายกำลังผลิต ตั้งเป้าปี 67 รายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
PCE หรือ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันนี้ (12 ก.ย. 67) เป็นวันแรก โดยเปิดตลาดที่ราคา 2.60 บาท เพิ่มขึ้น 14.04% จากราคาไอพีโอที่ 2.28 บาท ล่าสุดปิดตลาดเช้าที่ระดับ 2.46 บาท เพิ่มขึ้น 7.89%
โดยนายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เปิดเผยว่า ขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความสนใจหุ้น PCE อย่างล้นหลาม สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร ทีมผู้บริหารจะทำหน้าที่ทั้งในส่วนของการบริหารงาน เพื่อสร้างผลประกอบการให้เติบโต รวมถึงสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทจะนำไปเสริมศักยภาพการเติบโต โดยจะลงทุนขยายโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ เพิ่มกำลังการผลิตอีก 4-5 แสนตันต่อปี หรือราว 1 เท่าตัว จากเดิมที่มีกำลังผลิต 4-5 แสนตันต่อปี เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการจัดหาวัตถุดิบน้ำมันปาล์มดิบสำหรับนำเข้าสู่กระบวนการกลั่นต่อไป เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 400-600 ล้านบาท และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จสามารถเปิดดำเนินงานได้กลางปี 2568 ถึงต้นปี 2569
รวมถึงบริษัทจะนำเงินไปลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อขยายกำลังการผลิตน้ำมันปาล์มโอเลอีนเพื่อใช้ในการบริโภคเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1 เท่าตัวเช่นเดียวกัน จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 300 ตันต่อวัน โดยโรงงานทั้งสองแห่งเดินอัตราการใช้กำลังการผลิตไปแล้ว 80-90% ของกำลังการผลิตติดตั้ง
ตลอดจนใช้เงินระดมทุนเพื่อยกระดับประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้ดียิ่งขึ้น รองรับการขยายตลาดในทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและตลาดส่งออก พร้อมทั้งลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการวิจัย และพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และสร้างโอกาสในตลาดใหม่ๆ ในอนาคต
ส่วนแนวโน้มการเติบโตในปี 2567 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 24,722.78 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 310.73 ล้านบาท จากความต้องการน้ำมันปาล์มที่ขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับปริมาณผลผลิตปาล์มในประเทศที่คาดว่าจะสูงขึ้นตามพื้นที่การเพาะปลูกที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทยังมีการบริหารจัดการการดำเนินงานและต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ความสามารถในการรับรู้กำไรสูงขึ้น
นายกีรติ ไชยะกุล ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานบัญชีและการเงิน PCE กล่าวว่า นอกจากการลงทุนขยายโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของบริษัทเองแล้ว บริษัทยังมีแผนจะเข้าซื้อกิจการหรือเข้าลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการสกัดน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มเติมด้วย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณารายหลาย เบื้องต้นบริษัทวางงบลงทุนในส่วนนี้ไว้ราว 500 ล้านบาท
“ปัจจุบันผลผลิตจากการสกัดน้ำมันปาล์มน้ำของบริษัทคิดเป็นเพียง 25% ของความต้องการทั้งหมดที่ถูกป้อนให้กับโรงงานเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 75% เป็นการรับซื้อจากข้องนอก จึงมีความต้องการอีกมาก ดังนั้นการขยายโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มนอกจากจะช่วยเพิ่มปริมาณผลผลิตเข้าสู่โรงงานแล้ว ยังช่วยให้มาร์จิ้นส่วนนี้ปรับตัวดีขึ้นอีกด้วย”
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเน้นประเทศจีนและอินเดียที่มีความต้องการน้ำมันปาล์มดิบสูงเป็นหลัก โดยคาดว่าในอนาคตสัดส่วนรายได้จากการส่งออกจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 40%
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น จากการเน้นจำหน่ายสินค้าในกลุ่มที่ให้มาร์จิ้นสูงอย่างวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนประกอบของสินค้าอุปโภคและบริโภคมากขึ้น รวมถึงการใช้ระบบ AI เข้ามาช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า PCE ถือเป็นหุ้นที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจรรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมีโอกาสเติบโตตามทิศทางขยายตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มทั้งจากกำลังซื้อภายในประเทศ และต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคอุปโภค กลุ่มพลังงานทดแทนที่มีความต้องการเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการใช้โอเลโอเคมิคอลเพื่อเป็นส่วนประกอบในสินค้า เช่น เครื่องสำอาง สบู่ ครีมบำรุงผิว เป็นต้น ตลอดจนอุตสาหกรรมน้ำมันไบโอดีเซล ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและเศรษฐกิจโลก
นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า มั่นใจว่า PCE จะเป็นหุ้น Growth Stock ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ด้วยจุดเด่นในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร ที่มีความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน ที่ให้บริการลูกค้าได้แบบ One Stop Service ซึ่งสามารถช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี จึงทำให้เป็นผู้ประกอบการที่มีพันธมิตรทางการค้าอย่างเหนียวแน่น และการระดมทุนในครั้งนี้จะเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุน เพื่อนำไปใช้ขยายธุรกิจให้เติบโตตามเป้าหมาย